“ข้าราชการต้องแต่งกายตามเพศกำเนิด” กฎระเบียบสะท้อนการเลือกปฏิบัติทางเพศที่แฝงฝังในระบบราชการไทย

มีคำกล่าวว่า “สังคมไทยยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากแล้ว” อันเนื่องมาจากคนไทยจำนวนมากเริ่มปรับมุมมองว่า ‘ความหลากหลายทางเพศ’ เป็นเรื่องปกติ และสามารถเปิดเผยได้มากขึ้นกว่าในอดีต อีกทั้งยังมีความพยายามในการผลักดันร่างกฎหมายอย่างสมรสเท่าเทียม การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ รวมไปถึงการรณรงค์ทางสิทธิที่กว้างขวาง และการให้ความรู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่าง และหากย้อนไปในเดือนมิถุนายน หรือ Pride Month ที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นการจัดขบวนพาเหรดเพื่อเฉลิมฉลองและเรียกร้องสิทธิในความหลากหลายทางเพศอย่างยิ่งใหญ่

ถึงกระนั้น กลับมีพื้นที่หนึ่งที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศยังไม่สามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ นั่นคือระบบราชการ ที่ยังมีกรอบของกฎระเบียบและวินัยอันเต็มไปด้วยการกีดกันและเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ โดยหนึ่งในกฎที่เป็นที่ถกเถียงอย่างมากคือการบังคับแต่งเครื่องแบบตามเพศกำเนิด แม้ว่าข้าราชการผู้สวมเครื่องแบบนั้นอาจมีอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดก็ตาม

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย การที่ราชการยังคงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านี้จึงไม่ตอบโจทย์ และอาจเรียกได้ว่าเป็นการขัดขวางสิทธิมนุษยชนที่คนคนหนึ่งพึงมี TIJ Common Ground ภายใต้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จึงจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการ หัวข้อ ‘การแสดงออกตามเพศวิถีในบริบทของการรับราชการ’ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์การแสดงออกตามเพศวิถีในสังคมปัจจุบัน และหาทางออกเพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ข้าราชการผู้มีความหลากหลายทางเพศ

ภาพจากงานเสวนา ‘การแสดงออกตามเพศวิถีในบริบทของการรับราชการ’
ภาพถ่ายโดย TIJ

ทำความเข้าใจความหลากหลายของ ‘อัตลักษณ์’ ทางเพศ

นันท์ชัตสัณฑ์ สกุลพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวกและสุขภาพจิตในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้อธิบายถึงมิติทางเพศเพื่อสร้างความเข้าใจเพิ่มเติม ดังนี้

  • เพศกำเนิด (sex assigned at birth) หมายถึง เพศที่ได้รับตั้งแต่กำเนิดโดยดูจากอวัยวะเพศ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 เพศ คือ ชาย หญิง และ intersex โดยกลุ่มหลังสุดหมายถึงคนที่มีอวัยวะเพศกำกวม ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชายหรือหญิง
  • รสนิยมทางเพศ (sexual orientation) หมายถึง ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอในเพศตรงข้าม เพศเดียวกัน รักได้สองเพศ รักได้ทุกเพศ หรืออื่นๆ
  • อัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) หมายถึง เพศที่เรารับรู้และนิยามตนเอง โดยอาจมีได้ทั้งชาย หญิง นอนไบนารี (ไม่ใช่ทั้งชายและหญิง) หรืออื่นๆ

นันท์ชัตสัณฑ์ชี้ว่า เพศกำเนิด รสนิยมทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกัน เช่น ผู้ที่เป็นหญิงข้ามเพศ (transwoman) ถือว่ามีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิง แม้มีเพศกำเนิดเป็นชาย แต่ก็สามารถมีรสนิยมทางเพศในการรักใคร่ชอบพอกับเพศเดียวกันหรือกับผู้หญิงได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่อาจไม่ตรงกับค่านิยมของสังคม อันนำมาสู่ความเกลียดชัง และเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศดังที่เกิดขึ้นในระบบราชการ ซึ่งมีกฎระเบียบที่ยังไม่เปิดกว้างและโอบรับเรื่องความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกาย ที่มักระบุให้แต่งกายตามเพศกำเนิด แม้จะมีเพศสภาพที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดเลยก็ตาม

นันท์ชัตสัณฑ์ สกุลพงศ์
ภาพถ่ายโดย TIJ

กฎหมายและระบบราชการ ที่ยังเลือกปฏิบัติทางเพศ

นาดา ไชยจิตต์ นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน และที่ปรึกษากรรมการบริหารอาวุโสด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ยกตัวอย่างมาตรา 27 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ระบุถึงความเสมอภาคกันของบุคคล และต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ ซึ่งได้มีการเพิ่มข้อความจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าว่า “บุคคลผู้เป็นทหาร ตํารวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กร ของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จํากัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนที่ เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม”

นาดาชี้ว่าข้อความนี่สะท้อนถึงการจำกัดสิทธิบางประการที่ข้าราชการพึงมี โดยหากข้าราชการมีความ ‘กระด้างกระเดื่อง’ ไม่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา รวมถึงการแต่งกายตามเพศสภาพ จะเท่ากับการขาดวินัยและมีผลต่อการเลื่อนขั้นและขึ้นเงินเดือน อย่างไรก็ดี ยังมีกฎหมายอีกฉบับที่อาจช่วยผลักดันสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ คือ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งระบุมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เช่น การแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ แต่นาดามองว่าสิ่งนี้คือความ ‘ลักลั่น’ ของระบบราชการไทย เพราะในทางปฏิบัตินั้น พระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้เป็นการทั่วไป และต้องให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแสดงเจตนารมณ์ หรือมีการทำ MOU เพื่อนำพระราชบัญญัตินี้ไปบังคับใช้ ส่งผลให้ในปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ในองค์กรทางราชการที่อาจไม่ได้ยอมรับและนำพระราชบัญญัติดังกล่าวไปปรับใช้

นาดา ไชยจิตต์
ภาพถ่ายโดย TIJ

นาดายกตัวอย่างกรณี ‘ครูกอล์ฟ’ ครูหญิงข้ามเพศ ที่เผชิญปัญหาเมื่อบัตรข้าราชการหมดอายุ แต่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่สังกัดอยู่กลับไม่ดำเนินการต่ออายุให้ ด้วยเหตุผลว่าครูกอล์ฟไม่แต่งกายตามเพศกำเนิด ครูกอล์ฟจึงยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ คุรุสภา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสำนักนายกรัฐมนตรี ในสามสถาบันแรก ครูกอล์ฟชนะตามคำวินิจฉัย และได้รับคำรับรองจากคุรุสภา แต่สำนักนายกรัฐมนตรีกลับฟ้องศาลปกครองกลางเพื่อให้เพิกถอนคำร้อง ด้วยไม่ต้องการให้มีการแก้ไขกฎระเบียบให้สามารถแต่งกายตามเพศสภาพได้ โดยในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปและต้องจับตามองต่อไป

“เราอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การที่คนคนหนึ่งจะต้องการแสดงออกให้ตรงตามเพศวิถีและความรู้สึกของตัวเอง ทำไมถึงจะต้องมาเจอเรื่องราวมากมายขนาดนี้” นาดากล่าว

การถูกเลือกปฏิบัติเช่นนี้ได้นำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสุขภาพจิต โดยนันท์ชัตสัณฑ์ยกตัวอย่างงานวิจัยที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ซึ่งมีการสำรวจวัยรุ่นที่มีความหลากหลายทางเพศจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวนกว่า 5,000 คน พบว่า วัยรุ่นที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวนกว่า 50-60% จากทั้งหมดที่เผชิญปัญหาโรคซึมเศร้า โดยส่วนหนึ่งมีความพยายามฆ่าตัวตายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ในงานวิจัยยังมีการพูดคุยกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มีความสุขในการทำงาน โดยพบว่าความสุขนั้นมีเหตุสำคัญจากนโยบายที่เปิดรับ และเอื้อให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ในบรรยากาศที่ไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ

สร้างสถานที่ทำงานอย่างไรให้มีความเป็นธรรมทางเพศ

นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า “กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเรา ขอประกาศตนว่าเป็น LGBTQ+-Friendly Organization” 

นรีลักษณ์แบ่งปันถึงตัวอย่างการสร้างบรรยากาศที่ทำงาน ‘กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ’ ให้เป็นมิตรต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งการให้บุคลากรแต่งกายและแสดงออกตามเพศสภาพได้อย่างเต็มที่ทั้งชุดข้าราชการและชุดในวันทำงานทั่วไป มีการขับเคลื่อนเชิงกฎหมายเป็นแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยบรรจุให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับการคุ้มครอง รวมถึงการใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยผลักดันให้ภาคธุรกิจเคารพสิทธิมนุษยชน แรงงานผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมตั้งแต่การจ้างงานจนถึงเลิกจ้าง

ขณะที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ในเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศโดยมุ่งเน้นใน 6 ประเด็น คือ

1.         สามารถแต่งกายตามเพศสภาพได้

2.         เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ

3.         ใช้คำพูด หรือข้อความในเอกสารให้เหมาะสม ไม่ให้มีการเหยียดหยามเรื่องเพศ

4.         จ้างงานอย่างเป็นธรรม

5.         ขจัดความรุนแรงในที่ทำงาน

6.         เลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นธรรม

นโยบายดังกล่าว ได้ถูกส่งต่อให้กับทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และอื่นๆ เพื่อขอความร่วมมือในการประกาศใช้และปฏิบัติตาม

นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ
ภาพถ่ายโดย TIJ

นรีลักษณ์ระบุเพิ่มเติมว่า กฎหมายที่เป็นที่จับตามองอย่าง ‘สมรสเท่าเทียม’ ในปัจจุบันนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของกรมคุ้มครองสิทธิฯ เช่นกัน โดยหลังตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยจะเร่งผลักดันให้เสนอกฎหมายดังกล่าวต่อไป รวมถึง ‘พระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติ’ ที่จะมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน นอกจากนั้นยังมี ‘ร่างพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ’ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ครอบคลุมถึงสิทธิที่ตกหล่นไปในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนคำนำหน้านามให้ตรงกับเพศสภาพ

นอกเหนือจากนโยบายต่างๆ ยังมีรายละเอียดเล็กๆ อีกมากมายที่นรีลักษณ์กล่าวว่ามีการนำมาใช้ในกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องเพศหลากหลาย การเรียก ‘คุณ’ แทนการระบุว่าเป็นนายหรือนางสาว หรือการเปลี่ยนห้องน้ำให้เป็นห้องน้ำสำหรับทุกเพศ (all-gender restroom) โดยเจ้าหน้าที่จะต้องคำนึงถึงการโอบรับความแตกต่างทางเพศสภาพขณะปฏิบัติงานเสมอ ทั้งต่อบุคลากรด้วยกันและต่อประชาชนที่มาเข้ารับบริการ

“ปัจจุบัน มีเรื่องที่น่าดีใจของวงการราชการ อย่างในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่ากรมของเราก็มีการตระหนักรู้ในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น อย่างในเดือนไพรด์ที่ผ่านมาก็ได้มีการสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ” นรีลักษณ์กล่าว โดยตนมีความคาดหวังว่าจะยิ่งมีความตระหนักรู้ และการจัดทำโครงการที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศได้มากขึ้นอีกในโอกาสต่อๆ ไป

สุภาณี พงษ์เรืองพันธุ์ ผู้จัดการโครงการด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศและการมีส่วนร่วมทางสังคม โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย เสริมถึงสิ่งที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติพยายามผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างเพศเช่นกัน โดยมีลักษณะนโยบายที่คล้ายคลึงกันกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดังที่นรีลักษณ์ได้กล่าวไป

สุภาณีเล่าถึงโครงการที่น่าสนใจที่จัดร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) อย่างการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เรื่องการดูแลผู้ต้องขังข้ามเพศ ตั้งแต่การให้ผู้ต้องขังระบุตนเอง (self-identify) ว่าเป็นคนข้ามเพศหรือไม่ และจัดสรรห้องขังตามเพศสภาพ เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ต้องขังข้ามเพศที่อาจมีกิจวัตรต่างจากคนอื่นๆ รวมถึงการออกนโยบายว่าผู้ต้องขังข้ามเพศจะต้องสามารถใช้ยาฮอร์โมนต่อไปได้  

“เขามองว่าการเข้าถึงฮอร์โมนเป็นเรื่องของความสวยงาม แต่จริงๆ แล้วฮอร์โมนคือเรื่องของสุขภาพ และนอกจากนั้นยังมีนโยบายยังครอบคลุมถึงการฝึกอาชีพที่จะลดการทำตามภาพจำทางเพศ ว่าเพศชายต้องทำงานช่าง หรือเพศหญิงต้องทำงานฝีมือ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้เลือกฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับตนเอง” สุภาณีกล่าว

สุภาณี พงษ์เรืองพันธุ์
ภาพถ่ายโดย TIJ

“ทนรับ แต่ไม่ได้ยอมรับ” ทัศนคติต่อเพศหลากหลายที่ขัดขวางสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ดี จากรายงานของ UNDP เรื่อง ‘Tolerance but not inclusion’ ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,210 คน ทั้งผู้ที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ และบุคคลทั่วไป พบว่า 88% ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับได้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ตัวเลขกลับลดลงเหลือเพียง 75% เท่านั้นที่จะยอมรับได้หากผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นสมาชิกในครอบครัว สุภาณีจึงสรุปนิยามว่าคนไทยเพียง ‘ทนรับ’ ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ แต่ไม่ได้ ‘ยอมรับ’ ในอัตลักษณ์ของพวกเขาอย่างแท้จริง

นันท์ชัตสัณฑ์กล่าวว่า “คนทั่วไปมักจะชอบใช้คำเรียกว่าชายจริงหญิงแท้ แต่เราไม่ชอบคำนี้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากสังคมว่าชายต้องมีลักษณะอย่างไร หญิงต้องมีพฤติกรรมอย่างไร”

นันท์ชัตสัณฑ์ย้ำว่านี่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างภาพจำและอคติ จึงควรใช้คำว่า Cisgender ซึ่งหมายถึงคนที่มีการแสดงออก หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับเพศ โดยอาจมีรสนิยมทางเพศที่ไม่ตรงกับค่านิยมของสังคม เช่น เพศกำเนิดเป็นชาย และนิยามตนเองเป็นเพศชายตรงตามเพศกำเนิด แต่ชอบเพศเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้แทบจะปกติ เนื่องจากยังมีพฤติกรรมต่างๆ ที่ตรงกับสิ่งที่สังคมยอมรับได้ อย่างกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการแต่งกายซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก

ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่ใช่ Cisgender ถือเป็นกลุ่มที่เป็นชายขอบมากที่สุด ซึ่งเรียกว่ากลุ่ม TGNC หรือ Transgender และ Gender Noncomforming โดยคนกลุ่มนี้อาจมีการแสดงออกที่ไม่ตรงกับค่านิยมสังคม อย่างการมีเพศกำเนิดเป็นหญิงแต่แต่งตัวเป็นชาย คนในสังคมอาจไม่เข้าใจและยอมรับได้ยากกว่า จนนำมาสู่การเลือกปฏิบัติ หรืออย่างร้ายคือการมองข้ามปัญหาที่กลุ่ม TGNC ต้องเผชิญไปเลย เพราะไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องพบปัญหาอะไรบ้าง

ต่อจากนี้จึงต้องจับตาต่อไปว่าสิทธิทางเพศในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายขององค์กรต่างๆ จะปรับปรุงเพื่อรองรับผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไร โดยนาดาฝากว่า “หากหัวไม่แก้ หางก็ไม่กระดิก” ซึ่งหมายถึงองค์กรที่มีอำนาจต้องยอมรับและแก้ไขก่อน เพื่อให้ภาคส่วนที่เล็กกว่าได้แก้ไขนโยบายตามเพื่อตอบโจทย์ความเท่าเทียมทางเพศต่อไป


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Law

20 Aug 2023

“ยิ่งจริง ยิ่งไม่หมิ่นประมาท”: ความผิดฐานหมิ่นประมาทกฎหมายเยอรมัน

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกฎหมายหมิ่นประมาทไทย และยกตัวอย่างกฎหมายหมิ่นประมาทเยอรมันเป็นแนวทางหนึ่งในการปรับปรุงกฎหมายต่อไป

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ

20 Aug 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save