ยาแพง-ความมั่นคงทางอาหารตกต่ำ-นวัตกรรมไม่เติบโต (?): จับตาหลุมพราง FTA ไทย-EU กับ เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล

การรื้อฟื้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (European Union: EU) ในปี 2566 หลังจากหยุดชะงักไปเกือบทศวรรษเพราะการรัฐประหาร ถูกมองว่าเป็นความหวังใหม่ของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สดใสนักหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด ข้อตกลงฉบับนี้ถูกคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการค้า การลงทุน และมีการประเมินว่าอาจช่วยเพิ่ม GDP ของไทยกว่าปีละ 1.63% อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ไทยเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของ EU ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ

ในอีกด้านหนึ่ง ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีเพียงแค่โอกาสและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมาพร้อมเงื่อนไขที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนไทยในหลายมิติ ตั้งแต่ผู้ป่วยที่อาจเข้าถึงยารักษาโรคได้ยากขึ้นเพราะราคาสูงขึ้น เกษตรกรรายย่อยอาจต้องเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงภาควิจัยและพัฒนาของไทยที่อาจถูกบีบให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและสิทธิบัตรจากต่างประเทศมากขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้กระทบเพียงบางกลุ่ม แต่สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงคนทั้งประเทศ และนั่นอาจหมายถึงราคาที่ต้องจ่ายซึ่งแพงกว่าผลประโยชน์ที่จะได้มา

ท่ามกลางการเดินหน้าสู่การเจรจารอบที่ 5 ในเดือนมีนาคม และเป้าหมายที่จะสรุปการเจรจาภายในปี 2568 นี้ การจับตาดูการเจรจาของสังคมไทยกลับดูเงียบงัน ไม่นับว่าความสนใจที่เลือนรางยิ่งถูกซ้ำเติมด้วยกฎหมายที่ลดทอนการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้เสียงของผู้ได้รับผลกระทบแทบไม่ปรากฏอยู่ในสมการการเจรจา

‘ยาจะแพง – ความมั่นคงทางอาหารจะตกต่ำ – นวัตกรรมจะไม่เติบโต’ แม้ยังเร็วไปที่จะยืนยันได้ว่าสถานการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่การติดตามและตั้งคำถามต่อการเจรจาในช่วงเวลานี้อาจเป็นโอกาสสุดท้าย ก่อนที่อนาคตของคนไทยจะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขในหน้ากระดาษที่ลงนามไปแล้ว -ในแบบที่เราอาจไม่ได้มีส่วนร่วมตั้งแต่แรก

วันโอวันชวนจับตาการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปกับ เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย หาคำตอบว่าข้อกังวลในการเจรจามีอะไร และชีวิตของคนไทยอาจต้องแลกอะไรบ้างกับข้อตกลงนี้?

จากการติดตามการประชุมเจรจา FTA ระหว่างไทยและ EU มา 4 รอบ คุณพอจะให้ภาพรวมคร่าวๆ ได้ไหมว่ามีการพูดคุยหรือสรุปอะไรไปแล้วบ้าง  

คงยังตอบได้ไม่ชัด เพราะ 4 รอบแรกก็เหมือนการคุยเกริ่นๆ กันว่าจะเจรจาเรื่องไหน อย่างไร และมีการแลกเปลี่ยนตัวเนื้อหาว่าการเจรจาจะครอบคลุมประเด็นไหนบ้าง ตามที่มีการเปิดเผย หมวดในการเจรจาจะมีประมาณ 15 บท โดยมีประเด็นแตกต่างกันไป ดังนั้น หากถามว่าการเจรจาเป็นอย่างไร เราคงต้องบอกว่าเราไม่รู้เพราะทางการไม่ได้เปิดเผยข้อมูลว่าคุยเรื่องอะไรกัน ข้อมูลส่วนมากที่เราได้จะมาจากเว็บไซต์ของ EU ซึ่งให้รายละเอียดคร่าวๆ เป็นรายงานสรุปการพูดคุยแต่ละรอบ ไม่ได้เจาะลงลึกมากว่าคุยอะไร

สำหรับการเข้าถึงข้อมูลจากทางการไทย ตามตัวบทกฎหมายแล้วเราไม่มีการกําหนดว่าต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดการประชุมหรือต้องชี้แจงเป็นสาธารณะ ขณะที่ฝั่ง EU จะมีความโปร่งใสอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะ EU มีกฎหมายที่ระบุว่าร่างข้อตกลงหรือความร่วมมือต่างๆ เมื่อผ่านสภาของยุโรปแล้วจะต้องเผยแพร่เป็นสาธารณะ เราจึงได้ข้อมูลมาจากตรงนั้นและทำให้รู้ว่า EU ต้องการอะไร มีอะไรน่ากังวล และมีข้อเสนอแนะกลับไปได้ว่าทำไมเรากังวลประเด็นนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ร่างที่ถูกตีพิมพ์ให้อ่านถือเป็นร่างแรกๆ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าร่างสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเพราะต้องผ่านกระบวนการเจรจาอีกหลายรอบ และระหว่างทางก็ยังไม่มีการอัปเดตว่าร่างที่ถูกเจรจาแล้วมีการตกลงเรื่องไหนไปแล้วบ้าง กว่าจะมีร่างฉบับสุดท้ายออกมาก็ต้องผ่านไปถึงกระบวนการให้สัตยาบัน ซึ่งอาจจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น แต่นั่นก็เป็นกระบวนการท้ายๆ แล้ว ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็อาจจะไม่ทันแล้ว

ที่คุณเล่ามาก็พอจะเห็นแล้วว่ามีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล จริงๆ แล้วการเจรจา FTA ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งใน FTA ฉบับสำคัญครั้งแรกๆ หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีเนื้อหาที่จำกัดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการการเจรจามากกว่าฉบับก่อน อยากให้คุณช่วยแบ่งปันประสบการณ์ว่าทำงานยากขึ้นแค่ไหน

อาจจะต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มีมาตรา 190 บัญญัติกระบวนการที่ทำให้เกิดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเจรจาจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ตอนนั้นมีการเจรจาเกิดขึ้น 2 ฉบับ

ฉบับแรกคือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ที่เป็นความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างชาติสมาชิกอาเซียน +6 (กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศกับอีก 6 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ในระหว่างการเจรจาอินเดียได้ถอนตัวไป) เริ่มการเจรจาเมื่อปี 2555 ความตกลงนี้มีความพยายามที่จะใช้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยการให้ข้อมูลกับสาธารณชน เปิดเผยเนื้อหาการเจรจา และสร้างการมีส่วนร่วม ช่วงแรกเรามีโอกาสได้พูดคุยกับหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของไทย เพราะเราต้องการติดตามความคืบหน้าของการเจรจาแต่ละครั้งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งผู้แทนเจรจาของไทยก็ตอบรับ ทำให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและอัปเดตข้อมูลกันว่าแต่ละเรื่องทำได้แค่ไหน หรือขยับเพดานได้แค่ไหน

จากวงพูดคุยเล็กๆ ก็กลายเป็นการประชุมที่เปิดพื้นที่ให้แต่ละฝ่ายมีส่วนร่วมมากขึ้น มีการเรียกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างภาคประชาสังคม บริษัทเอกชน และหน่วยงานรัฐทุกกระทรวงที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้ามานั่งพูดคุยและรับฟังกัน เนื่องจากตลอดกระบวนการมีการพูดคุยที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้ผลที่ได้จากการเจรจา RCEP เกิดแรงต้านน้อย เพราะมีความโปร่งใสเยอะ อีกด้านหนึ่ง RCEP เป็นการเจรจาในฐานะอาเซียน ซึ่งชาติสมาชิกมีความกังวลหลายๆ อย่างคล้ายกัน รายละเอียดที่เจรจากันมาถือว่าได้รับความเห็นชอบภายในอาเซียนด้วยกันในระดับหนึ่งแล้ว RCEP จึงจบลงและเซ็นสัญญาไปด้วยดี ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เรามีมาตรา 190 อยู่

ต่อมาในปี 2556 EU ก็เข้ามาขอเจรจาเปิดการค้าเสรี เรียกว่าเป็น FTA ฉบับที่สองในรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ได้ ปัญหาตอนนั้นคือ EU ไม่ได้แสดงเนื้อหาที่เป็นรายละเอียดข้อตกลงที่ชัดเจน แม้จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภูมิภาคและถกถามถึงข้อกังวลว่ามีอะไรบ้าง แต่ภาคประชาชนก็ไม่สามารถสะท้อนความคิดเห็นได้ เพราะไม่รู้ว่าเนื้อหาที่พูดคุยกันคือเรื่องอะไร

ขณะเดียวกันก็มีความพยายามจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่ศึกษาวิจัยว่าถ้าเรายอมรับเงื่อนไขต่างๆ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง เช่น ในด้านสาธารณสุข มีการคำนวณว่ายาจะแพงขึ้นเท่าไหร่ โดยอาศัยข้อมูลจาก FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่เคยเจรจาและหยุดไปเนื่องจากเกิดการรัฐประหารในสมัยนายกทักษิณ และจาก FTA ของ EU ที่เจรจาจบแล้วหรือกำลังเจรจากับประเทศอื่นอยู่ งานวิจัยเหล่านี้ถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้กับคณะเจรจาด้วย แต่สุดท้ายการเจรจาก็ไปจบลงแค่รอบที่ 4 เพราะเกิดการรัฐประหารขึ้น

พอมีรัฐธรรมนูญ 2560 ขึ้นมา ก็มีมาตรา 178 มาแทนมาตรา 190 ซึ่งเนื้อหาแตกต่างกันมากในส่วนของการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส เพราะในมาตรา 178 ไม่ได้บังคับให้รัฐบาลต้องให้ข้อมูลและรับฟังประชาชน ‘ก่อน’ ดำเนินการเจรจา อีกทั้งยังเจรจาได้เลยโดยไม่ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบก่อนดำเนินการ และในขั้นตอนหลังเจรจาเสร็จ ก่อนจะทำหนังสือสัญญาก็บัญญัติให้รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ถ้าไม่เสร็จให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ ซึ่งในระหว่างการเจรจาอาจจะไม่มีการมาขอความเห็นชอบจากแต่ละฝ่ายก็ได้ พูดให้เข้าใจง่ายคือทุกอย่างเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของคณะรัฐมนตรี

มาตรา 178 จึงถือว่ามีข้อด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับมาตรา 190 แต่รัฐก็อ้างเรื่องความคล่องตัวของหน่วยงาน บางครั้งก็บอกว่าเนื้อหาการเจรจาเป็นความลับ จะเปิดเผยเนื้อหาไม่ได้ และจะทำให้อีกฝ่ายรู้ท่าทีการเจรจา

ในทางปฏิบัติ กระบวนการรับฟังและมีส่วนร่วมก็ควรจะเกิดขึ้นแม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือเปล่า?

พอมีการเจรจา FTA กับ EU เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2566 ทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศก็คำนึงถึงเรื่องการมีส่วนร่วม เพราะท่าทีของเรานั้นชัดเจนว่าต้องการจะติดตามและอยากเข้าไปมีส่วนร่วม เขาจึงเปิดเวทีให้พูดคุย มีการเรียกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามารับฟัง พร้อมอัปเดตข้อมูลต่างๆ ซึ่งเป็นท่าทีที่มีการดำเนินการมาตลอด แม้ว่าจะไม่มีตัวบทกฎหมายบัญญัติไว้ก็ตาม เพราะเขาเห็นต้นแบบจากการเจรจา RCEP ที่แทบไม่มีแรงต้านจากฝั่งไหนเลย

อย่างไรก็ตาม มีข้อตกลงกันว่าการพูดคุยต้องเป็นความลับ ไม่เอาข้อมูลออกมาสู่สาธารณะ เพราะเป็นข้อมูลที่ยังอยู่ในระหว่างการเจรจา แต่ช่วงหลังวงพูดคุยกว้างขึ้นมาก กลายเป็นว่าข้อมูลที่ได้ไม่ค่อยลงรายละเอียด แต่จะรายงานเป็นภาพกว้างๆ ว่าคุยเรื่องอะไร เรื่องเดิมขยับไปถึงไหน ไม่ได้ดึงรายละเอียดปลีกย่อยออกมาพูดคุย เรียกได้ว่าเป็นการรายงานมากกว่า ฝ่ายที่ติดตามการเจรจาจึงต้องจี้ถามผู้แทนฯ เป็นรายประเด็นไป พอข้อมูลมีอยู่อย่างผิวเผินมาก เราก็ต้องสังเกตและติดตามกันต่อไป

ก่อนการเจรจา FTA ไทย-EU รอบที่ 4 เครือข่ายภาคประชาสังคมได้ร่วมกันแถลงข้อกังวลต่อการเจรจาไว้ว่า FTA ฉบับนี้จะทำให้ ‘ยาแพง เกษตรหนี้เพิ่ม บัตรทองพัง’ อยากให้คุณช่วยขยายความข้อกังวลเหล่านี้

ผลกระทบต่อการเข้าถึงยา

ประการแรกคือการให้สิทธิในการผูกขาดยาและการจดสิทธิบัตร ต้องกล่าวก่อนว่ากฎหมายสากลโดยทั่วไปกำหนดการให้การคุ้มครองสิทธิบัตรยามีอายุอยู่ที่ 20 ปี แต่ใน FTA ที่ EU เสนอ ต้องการที่จะขยายการคุ้มครองเกินกว่า 20 ปี โดยมาตรการแรกเรียกว่า ‘การผูกขาดข้อมูลทางยา’ (data exclusivity) ซึ่งแม้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิบัตรโดยตรง แต่จะเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนยา กล่าวคือหากจะนำยาตัวใดมาขายในประเทศไทย ‘ยาทุกตัว’ ต้องมาขอทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน โดย อย. มีหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัย ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยา เมื่อ อย. ให้ผ่านและจดทะเบียนให้ ยาตัวนั้นก็สามารถนำมาขายได้

ต้องอธิบายกระบวนการขึ้นทะเบียนยาก่อนว่า ถ้าเป็น ‘ยาต้นแบบ’ หรือยาตัวแรกที่ออกมาในตลาด คือไม่มีใครเคยทำมาก่อน เมื่อต้องการจดทะเบียนยา กระบวนการตรวจสอบจะค่อนข้างละเอียด โดยจะต้องทดลองในระดับต่างๆ และต้องใช้ผลการวิจัยในคน (clinical trial) มาสนับสนุนในการขึ้นทะเบียนยาใหม่ กระบวนการนี้ใช้ต้นทุนพอสมควรและใช้ระยะเวลานาน  ส่วนมากยาต้นแบบเหล่านี้มักจะนำมาขอจดสิทธิบัตรซึ่งหมายความว่าจะผูกขาดไปอีก 20 ปี เมื่อใกล้ครบ 20 ปี อาจมีบริษัทอื่นที่ทำยาตัวนี้ออกมาขายในตลาดเช่นกัน เราจะเรียกว่า ‘ยาชื่อสามัญ’ ซึ่งยานี้ก็ต้องมาขึ้นทะเบียนยากับ อย. ด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากยาชื่อสามัญนี้เป็นตัวเดียวกับยาต้นแบบที่เคยขึ้นทะเบียน ดังนั้น อย. จะไม่ได้ดูรายละเอียดขนาดนั้น กล่าวคือ บริษัทยาจะต้องแสดงผลการวิจัยที่เทียบคุณภาพหรือประสิทธิภาพของยาชื่อสามัญกับยาต้นแบบว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าเทียบกันแล้วพบว่าเท่ากันและใช้รักษาได้เหมือนกัน อย. ก็จะให้ทะเบียนยา

แต่สิ่งที่ EU เสนอคือ ถ้ายาชื่อสามัญต้องการมาขึ้นทะเบียนยากับ อย. จะไม่สามารถทำได้ เพราะถือว่าอาศัยข้อมูลของบุคคลอื่นในการเปรียบเทียบขึ้นทะเบียนยา บริษัทยาต้นแบบสามารถอ้างสิทธิการเป็นเจ้าของข้อมูล ทั้งที่ข้อมูลนั้นอาจกลายเป็นข้อมูลสาธารณะไปแล้วและอายุการจดสิทธิบัตรอาจจะหมดไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้น หากยาชื่อสามัญต้องการขึ้นทะเบียน กระบวนการจะเหมือนกับการขึ้นทะเบียนยาต้นแบบ โดยจะต้องทดลองใหม่ ไม่สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ ทำให้กระบวนการจดทะเบียนยาใช้เวลานานและใช้ต้นทุนจำนวนมาก ไม่นับว่าเป็นการเอาชีวิตของอาสาสมัครมาทดลองซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการละเมิดจรรยาบรรณในการทดลองเช่นกัน ใน FTA ที่ EU เสนอต่อไทย EU ขอเรื่องการผูกขาดข้อมูลทางยา แต่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา นั่นหมายความว่า ถึงแม้อายุสิทธิบัตร 20 ปีจะหมดลงแล้ว แต่ยังสามารถผูกขาดต่อได้อีก

ประเด็นสุดท้ายของเรื่องยาคือการขอขยายอายุสิทธิบัตร (patent terms extension) ดังที่บอกไปแล้วว่ากฎหมายทั่วไปคือ 20 ปี แต่ EU บอกว่าระยะเวลา 20 ปีนั้นไม่พอ โดยอ้างเหตุผลว่า อย. หรือหน่วยงานที่ดูแลการขึ้นทะเบียนยาใช้เวลาดำเนินการนาน หมายความว่าถ้าใช้เวลาดำเนินการนานเท่าไหร่ จะต้องบวกเพิ่มจาก 20 ปี เช่น ถ้ามียาตัวหนึ่งมาขอขึ้นทะเบียนยา แล้ว อย. ใช้เวลาพิจารณาอยู่ 8 ปี EU ขอชดเชยโดยบวกไปอีก 20 ปี ทำให้อายุสิทธิบัตรของยาตัวนั้นอยู่ที่ 28 ปี ใน FTA ฉบับนี้ EU ขอการขยายอายุสิทธิบัตรเพิ่มอีกไม่เกิน 5 ปี และถ้าเป็นยาสูตรสำหรับใช้ในเด็ก EU ขอการขยายอายุสิทธิบัตรมากกว่า 5 ปี

ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่ากังวลเพราะขั้นตอนการพิจารณาเรื่องความปลอดภัย ประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้ระยะเวลาและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบ ซึ่งเรามองว่าการขอขยายอายุสิทธิบัตรอาจเป็นกลวิธีหาผลประโยชน์ของคนที่ยื่นจดสิทธิบัตรเอง โดยผู้จดสิทธิบัตรอาจตั้งใจยื่นข้อมูลขอขึ้นทะเบียนยากับ อย. ไม่ครบบ้าง หรือให้ข้อมูลช้า หรืออาจเป็นข้อผิดพลาดจากผู้ยื่นขึ้นทะเบียนยาเองที่ทำให้ อย. ใช้เวลานานในการตรวจสอบเพื่ออนุมัติ แต่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการขยายอายุสิทธิบัตร

อันที่จริง ตามกฎหมายสิทธิบัตร อายุการคุ้มครองสิทธิบัตรเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ‘ยื่น’ ขอจดสิทธิบัตร ไม่ใช่วันที่ได้รับการอนุมัติสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือวันที่ได้รับอนุมัติการขึ้นทะเบียนยาจาก อย. ดังนั้น หากเกิดการละเมิดในช่วงที่ดำเนินการขอรับสิทธิบัตรหรือขอขึ้นทะเบียนยา เมื่อบริษัทได้รับสิทธิบัตรก็ยังฟ้องเรียกร้องความเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรได้ โดยมีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่ขอจดสิทธิบัตร ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะขยายอายุสิทธิบัตรเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ยื่นจดสิทธิบัตรจะเสียผลประโยชน์เลย การบอกว่าการคุ้มครองน้อยเกินไปแล้วขอเพิ่มนั้นเป็นที่น่าตั้งคำถาม

ผลกระทบต่อภาคการเกษตร

ประเด็นต่อมา ภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเข้าเป็นภาคี UPOV 1991 (International Union for the Protection of New Varieties of Plants) หรืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ตอนนี้ไทยเป็นภาคีของ UPOV 1978 อยู่ แต่ UPOV 1991 นั้นมีความเข้มงวดมากขึ้นและเป็นสิ่งที่ EU เรียกร้องมาตลอดว่าอยากให้ไทยเข้าร่วมในอนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับนี้

หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลคืออนุสัญญา UPOV 1991 มีมาตรการที่คล้ายกับการนำระบบสิทธิบัตรมาใช้กับพันธุ์พืชซึ่งอาจทำให้เกิดการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ ปัจจุบัน กฎหมายของไทยไม่มีการรับจดสิทธิบัตรสำหรับพันธุ์พืช แต่เรามี พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ที่สอดคล้องกับอนุสัญญา UPOV 1978 ซึ่งให้สิทธิแก่เกษตรกรในการขาย จ่ายแจกเมล็ดพันธุ์ หรือขยายพันธุ์ การมีมาตรการที่คล้ายกับระบบสิทธิบัตรใน UPOV 1991 จึงทำให้เกิดข้อกังวลที่ว่า พันธุ์พืชที่คิดขึ้นใหม่อาจใช้ต้นพ่อต้นแม่มาจากสิ่งที่มีในธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่เอามาปรับแต่งและขอจดเป็นพันธุ์พืชใหม่ขึ้นมา การทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิของคนหรือธรรมชาติที่เป็นเจ้าของเดิม

เช่นนั้นแล้ว วิถีดั้งเดิมของเกษตรกรที่ใช้วิธีแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์กัน ทำพันธุ์ขึ้นมาแล้วแจกจ่าย หรือการเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกต่อในฤดูถัดไปจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไปหากไทยเข้าร่วมอนุสัญญา UPOV 1991 เพราะหากเป็นพันธุ์พืชที่ขอจดไว้แล้ว จะใช้ประโยชน์ได้จากผลผลิตจากการเพาะปลูกครั้งแรกเท่านั้น โดยจะเก็บมาเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกต่อไม่ได้ หรือนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นก็ไม่ได้ เพราะนับว่าเป็นการละเมิด ในอเมริกาเคยมีคดีฟ้องร้องเป็นคดีอาญาเกิดขึ้นแล้วจากการใช้มาตรการนี้ การเข้าเป็นภาคี UPOV 1991 จึงทำให้ภาคการเกษตรค่อนข้างกังวลว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกการปลูก ซึ่งอาจกระทบกับความมั่นคงทางอาหารในอนาคต

อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาแสดงความกังวล คือ TRIPS-Plus ถ้าไทยต้องปรับกฎหมายสิทธิบัตรให้เป็นไปตาม TRIPS-Plus จะทำให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง  

ต้องเกริ่นก่อนว่า ก่อนหน้านี้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ที่มีสมาชิกประมาณ 150 ประเทศในขณะนั้น เคยประชุมและมีมติในการออกกฎระเบียบเพื่อดูแลการค้าทุกอย่างภายใต้ WTO เมื่อกฎระเบียบนี้ออกมา ประเทศสมาชิกก็ต้องเอากฎระเบียบดังกล่าวมาบัญญัติเป็นกฎหมายของประเทศตัวเอง หรือถ้ามีกฎหมายนี้อยู่แล้ว ก็ต้องพัฒนาให้อยู่ในมาตรฐานขั้นต่ำของ WTO ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา มีข้อตกลงที่เรียกว่า Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights (TRIPS) ซึ่งกลายเป็นรากฐานของกฎหมายสิทธิบัตรหลายประการ เช่น การคุ้มครองอายุสิทธิบัตร 20 ปี หรือการกำหนดข้อยกเว้นในการจดสิทธิบัตร ไทยเองก็เอาความตกลง TRIPS มาบัญญัติเป็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับการค้าต่างๆ แต่สิ่งที่ EU เรียกร้องคือขอให้กฎหมายสิทธิบัตรมีความเข้มงวดกว่านี้ เราจึงเรียกว่า TRIPS-Plus ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เข้มงวดเกินความตกลง TRIPS ของ WTO

มาตรการที่ถือว่าเป็น TRIPS-Plus จะทำให้เกิดผลกระทบด้านลบตามมาโดยเฉพาะต่อการเข้าถึงยา เช่น การผูกขาดข้อมูลทางยา ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วว่าถ้าบริษัทยาชื่อสามัญต้องการขึ้นทะเบียนยา บริษัทนั้นจะต้องทำการวิจัยและทดลองเกี่ยวกับยานั้นใหม่เองทั้งหมด เพื่อนำผลมาเป็นข้อมูลขอขึ้นทะเบียนยากับ อย. ต้องบอกก่อนว่าโดยทั่วไปทาง WTO มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลและในกฎหมายไทยมีมาตรการนี้อยู่แล้ว คือ ถ้าจะมาขึ้นทะเบียนยากับ อย. คุณเอาข้อมูลการวิจัยและการผลิตยามาให้ อย. พิจารณา จากนั้น อย. จะต้องเก็บข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับและไม่สามารถเผยแพร่ให้คนอื่นได้ แต่สิ่งที่ EU ต้องการจะเข้มงวดไปมากกว่านั้น คือ อย. จะไม่สามารถรับพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนยาของยาชื่อสามัญได้โดยใช้ข้อมูลงานวิจัยเปรียบเทียบระหว่างยาชื่อสามัญและยาต้นแบบที่ได้ทะเบียนยาและขายอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว ทำให้บริษัทต้องไปเริ่มใหม่เองหมด

เราพูดได้ว่าความเข้มงวดที่มากขึ้นนี้ทำให้เสียเวลามาก ใช้งบประมาณมาก และละเมิดจริยธรรมด้านการวิจัย ที่ไม่สมควรเอาสุขภาพและชีวิตของอาสาสมัครมาเสี่ยงในการทดลองซ้ำ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ายาต้นแบบที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ด้วยเงื่อนไขที่ อย. ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลยาของบริษัทยาต้นแบบที่ขึ้นทะเบียนยาไว้ให้ผู้อื่น คงไม่มีบริษัทยาชื่อสามัญทั้งในและนอกประเทศจะลงทุนวิจัยและผลิตยาชื่อสามัญออกมาขาย เพราะไม่คุ้ม   

ยิ่งไปกว่านั้น การผูกขาดข้อมูลยายังมีผลให้หน่วยงานรัฐไม่สามารถนำมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา (compulsory licensing: CL) ในกฎหมายสิทธิบัตรมาใช้ได้ เพราะแม้ว่ามาตรการ CL จะอนุญาตให้ระงับการคุ้มครองสิทธิบัตรชั่วคราวเพื่อให้มีการนำเข้าหรือผลิตยาได้ แต่จะมีข้อจำกัดเรื่องการขึ้นทะเบียนยาที่มีการผูกขาดข้อมูลยามาขวางไว้ ไม่ว่ายานั้นจะเป็นยาต้นแบบ ยาชื่อสามัญ หรือยาที่ประกาศใช้มาตรการ CL ก็ต้องผ่านการตรวจสอบและการอนุญาตจาก อย. ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย เมื่อรวมผลกระทบจากการผูกขาดข้อมูลยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร ที่ EU ต้องการเกินกว่า 20 ปี ก็จะทำให้ไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้ยาต้นแบบที่มีราคาแพง

นอกจากนี้ ถ้าไทยยอมเซ็น FTA กับ EU ที่มีข้อผูกมัดเหล่านี้ ไทยต้องให้สิทธินั้นกับประเทศสมาชิกอื่นใน WTO ทั้งหมดด้วย ไม่สามารถเลือกปฏิบัติให้สิทธินั้นกับ EU เท่านั้นไม่ได้

คุณมองว่าทำไมตอนที่ไทยเกือบเข้าร่วม CPTPP คนถึงตื่นตัวเรื่อง TRIPS-Plus และ UPOV 1991 กันมาก แต่พอเป็น FTA ไทย-EU ซึ่งมีข้อกังวลคล้ายกัน กลับดูเงียบกว่า

ผมมองว่า CPTPP มีความน่าสนใจอยู่สองประการที่ทำให้กลายเป็นประเด็นครึกโครมในสังคม

ประการแรก CPTPP เกิดขึ้นในยุครัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มีความชอบธรรม มาจากการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดแรงต่อต้านจากสังคมในระดับหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นความตกลง CPTPP เจรจาเสร็จสิ้นไปแล้ว หากไทยจะเข้าร่วมก็ต้องยอมรับข้อตกลงทั้งหมดโดยไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ อาจจะต่อรองได้เพียงการกำหนดเวลาในการปรับเปลี่ยนข้อกฎหมายว่าจะใช้เวลากี่ปี และการที่ไทยจะเข้าร่วมก็จะต้องไปคุยกับอีก 11 ประเทศ เพื่อให้เห็นชอบในการเข้าร่วม ซึ่งการไปคุยนี้ย่อมมาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างด้วย เหมือนเป็นการเสียค่าต๋งหรือค่าแรกเข้าในกับคนที่มาก่อน เมื่อต่อรองอะไรไม่ได้ แถมต้องยอมเสียประโยชน์ก่อนเข้าเป็นสมาชิกและต้องแก้กฎหมายอีกมากมายเมื่อเป็นสมาชิกแล้ว จึงทำให้เกิดแรงต้านว่าไทยไม่ควรเข้าร่วมเป็นวงกว้าง

ประการต่อมา ความดันทุรังจะเข้าร่วมของรัฐบาลท่ามกลางแรงต้านยิ่งทำให้เป้าประสงค์ของการเข้าร่วมครั้งนี้น่าสงสัย แม้จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น แต่ก็เป็นการรับฟังที่ฉาบฉวยมาก ซึ่งเราก็เห็นอยู่แล้วว่าเนื้อหาของ CPTPP คืออะไร มีความน่ากังวลตรงไหน แต่แก้อะไรไม่ได้แล้วเพราะการพูดคุยนั้นจบลงไปแล้ว

งานวิจัยต่างๆ ยังชี้ให้เห็นว่า CPTPP นั้นส่งผลเสียหายค่อนข้างมากหากเทียบกับการเจรจา FTA กับ EU เพราะการเจรจา FTA กับ EU เหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ สามารถเจรจาต่อรองได้ และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนได้ แต่ CPTPP ไม่ใช่ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมรัฐบาลประยุทธ์ถึงอยากเข้าร่วมมากขนาดนั้น ซึ่งเรามองว่าอาจเป็นความพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล เนื่องจากรัฐบาลนี้มีข้อครหาจากหลายทิศทางทั้งในและต่างประเทศ การมีผลงานอย่างการเซ็นสนธิสัญญาฉบับใหญ่ๆ ได้ อาจเหมือนการได้กู้หน้ากู้ตารัฐบาล

ตอนนั้น ทางรัฐบาลอาจจะอ้างว่า CPTPP ดีกว่า FTA หลายฉบับในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะมีการ ‘แขวน’ หลายประเด็นที่เป็น TRIPS – Plus ไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้เอาออกนะ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องยาทั้งนั้น ถึงกระนั้นบางมาตรการที่หลุดรอดมาก็ทำให้สาธารณชนเป็นกังวลไม่น้อย เช่น การเชื่อมโยงสถานะสิทธิบัตรกับการขึ้นทะเบียนยา (patent linkage) ซึ่งอาจทำให้มียาชื่อสามัญเข้ามาในตลาดได้ช้าลง เพราะ อย. จะไม่สามารถรับพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนยาของยาชื่อสามัญได้ ถ้ามียาต้นแบบยื่นขอจดสิทธิบัตรหรือมีสิทธิบัตรแล้วในไทย จนกว่าสิทธิบัตรจะหมดอายุ โดยปกติบริษัทยาชื่อสามัญจะยื่นขอขึ้นทะเบียนยากับ อย. ในปีท้ายๆ ก่อนที่ยาต้นแบบที่มีสิทธิบัตรจะหมดอายุสิทธิบัตรลง เพื่อจะสามารถผลิตและขายได้ทันทีที่สิทธิบัตรของยาต้นแบบหมดอายุ เรื่องจะแตกต่างจากการผูกขาดข้อมูลยาตรงที่ patent linkage เป็นการใช้เงื่อนไขสิทธิบัตรมากีดกัน แต่ data exclusivity เป็นการใช้เงื่อนไขข้อมูลงานวิจัยยามากีดกัน

นอกจากนี้ยังมีประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิบัตรแต่ก็ส่งผลกระทบกับเรื่องยา เพราะรัฐบาลที่เป็นประเทศคู่ค้าจะไม่สามารถมีนโยบายหรือออกกฎหมายส่งเสริมการใช้ยาที่ผลิตภายในประเทศได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนายาภายในประเทศด้วย ถ้ามีกฎหมายอยู่ก็ต้องแก้ไขเพื่อยกเลิกหรือห้ามไม่ให้มีนโยบายเหล่านั้น

ข้อกังขาและความกังวลเหล่านี้ในกลุ่มคนที่ติดตามเรื่อง FTA เกิดขึ้นในช่วงที่คนรุ่นใหม่ออกมาส่งเสียงไม่เห็นด้วยกับหลายสิ่งที่รัฐบาลทำพอดี เราจึงได้เห็นชาวเน็ตนำข้อมูลของเราที่โพสต์อยู่บนเว็บไซต์ FTA Watch และสื่อต่างๆ มาวิเคราะห์ ดัดแปลง และเผยแพร่ในรูปแบบอินโฟกราฟิก นำไปแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย ทำให้ประเด็นการเข้าร่วม CPTPP ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโซเซียลมีเดียและขยายกลายเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมได้ สุดท้ายก็มีการผลักดันจนมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมา เพื่อพิจารณาผลกระทบของ CPTPP เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาถกเถียงและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น จนมีรายงานจากคณะกรรมาธิการยื่นต่อรัฐสภา โดยที่รัฐสภามีความคิดเห็นว่าไทยยังไม่พร้อมเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลง CPTPP

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าฝ่ายรัฐบาล นำโดยกระทรวงการต่างประเทศยังไม่เลิกล้มความพยายาม โดยจัดการประชุมทั้งวงใหญ่และวงเล็กเพื่อที่จะหาเหตุผลมาหักล้างข้อมูลในรายงานของคณะกรรมาธิการ และดำเนินการให้รัฐบาลมีจดหมายแสดงความจำนงเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTPP แต่ก็ถูกติดตามและคัดค้านโดยภาคประชาสังคมมาโดยตลอด และประเด็นก็ค่อยๆ เงียบหายไปโดยที่ไม่มีการตัดสินใจของรัฐบาลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้

อยากให้ช่วยขยายความประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพราะใน FTA ที่กำลังเจรจากันอยู่นี้ ทาง EU เสนอมาตรการที่จะเปิดทางให้บริษัทใน EU มีสิทธิเข้าร่วมประมูลสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเทียบเท่ากับบริษัทในไทย ฟังดูเป็นอีกเรื่องที่ฟังดูน่ากังวลอยู่ไม่น้อย 

อันที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพูดถึงประเด็นนี้ เพราะถูกบรรจุอยู่ใน FTA หลายฉบับ แต่เนื้อหาไม่ได้ถูกชูขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่ แต่สาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอีกครั้ง เป็นเพราะในการเจรจารอบที่สอง EU เสนอว่าไทยต้องพิจารณาการเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มิเช่นนั้นอาจจะมีผลต่อการเจรจาในบทอื่นๆ ต่อไป เหมือนบีบว่าคุณต้องพิจารณาเรื่องนี้ ถ้าไม่ทำเรื่องอื่นอาจจะไม่ได้เจรจา

ประเด็นนี้มีความน่ากังวลคล้ายกับมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐใน CPTPP ในแง่ที่ว่า โดยปกติประเทศเรามีกฎหมายสนับสนุนอุตสาหกรรมและการสร้างนวัตกรรมต่างๆ ภายในประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบสาธารณสุขไทยทั้งในแง่การผลิตยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ แต่ถ้าไปลงนาม FTA ที่มีมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างฯ อย่างที่ปรากฏอยู่ใน CPTPP และ EU เสนอ เราจะต้องยกเลิกกฎหมายเหล่านั้น เพื่อเปิดตลาดให้บริษัทอื่นเข้ามาแข่งขัน

หนึ่งในกฎหมายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งให้สิทธิประโยชน์แก่อุตสาหกรรมภายในประเทศพอสมควร เพราะต้องการให้อุตสาหกรรมของเราเข้มแข็ง โรงพยาบาลของรัฐก็จัดซื้อจัดหายาและเวชภัณฑ์โดยพิจารณายาที่ผลิตภายในประเทศก่อน โดยมีเกณฑ์เรื่องราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ว่าจะขายเท่าไรก็ได้ เพื่อทำให้อุตสาหกรรมยาในประเทศอยู่รอด ประเทศมีความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์

ปัจจุบัน ยาที่ใช้อยู่ในระบบบัตรทองและระบบประกันสังคมส่วนใหญ่จึงเป็นยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ราคาไม่สูง ทำให้การจัดหายาให้กับผู้ป่วยเป็นไปโดยใช้งบประมาณที่มีอยู่จำกัดอย่างคุ้มค่า เพราะฉะนั้นถ้ายกเลิกเรื่องนี้ ผลกระทบจะรุนแรงมาก กล่าวคือทำให้ค่าใช้จ่ายยาภายในประเทศสูงขึ้น เพราะแทนที่เราจะซื้อยาภายในประเทศได้ เรากลับต้องซื้อยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งที่มีและไม่มีสิทธิบัตร ในระยะสั้นอาจกระตุ้นให้มีการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะยาที่ไม่มีสิทธิบัตร แต่ในระยะยาวอุตสาหกรรมยาในประเทศจะอ่อนแอลงและตลาดจะตกอยู่ในมือบริษัทยาต่างประเทศ เมื่อไม่มีบริษัทยาในประเทศเป็นคู่แข่ง บริษัทยาต่างประเทศจะฉวยโอกาสขึ้นราคาได้ตามใจชอบ ถึงตอนนั้นอุตสาหกรรมยาในประเทศก็ไม่อาจฟื้นตัวได้แล้ว ตลาดยาของไทยก็จะถูกครอบครองโดยบริษัทยาจากต่างประเทศ และยิ่งในกรณีที่เกิดภาวะโรคระบาด ประเทศไทยจะไม่สามารถพึ่งพาตนเองในการผลิตยาได้เลย จะนำเข้าก็ลำบาก เพราะทุกประเทศมีความต้องการและทั่วโลกขาดแคลนยา

นอกจากนี้เรายังมี พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่มีวัตถุประสงค์ในการรส่งเสริมให้มีการผลิตนวัตกรรมภายในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงยาด้วย เพราะว่าเราเห็นว่าการวิจัยและพัฒนา (research and development: R&D) สำคัญ และยิ่งมีปัญหาโควิด-19 เกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในการผลิตยาหรือการมีงานวิจัยเอง อาจทำให้เกิดผลกระทบจำนวนมหาศาลได้

แต่เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐยังเป็นจุดบอดของเรา เพราะยังไม่มีงานวิจัยที่วิเคราะห์ผลกระทบว่าจะมีมากน้อยเพียงใด อาจจะมีงานวิจัยออกมาบ้างแต่ก็ยังไม่ได้ลงรายละเอียด เราต้องมีงานวิจัยที่ลงรายละเอียดมากกว่านี้ เพื่อเป็นข้อมูลที่ใช้อ้างอิงในการเจรจาและหาแนวทางในการตั้งรับว่าจะใช้เหตุผลใดในการปฏิเสธเงื่อนไขต่างๆ หรืออาจจะยอมรับแต่มีเงื่อนไขบางอย่าง เช่น ยกเว้นเรื่องยาและเวชภัณฑ์

หากพิจารณาถึงเนื้อหาในการเจรจากับ EU โดยเปรียบเทียบร่างที่ไทยเคยเจรจาก่อนจะเกิดรัฐประหารกับร่างที่กลับมาเจรจาใหม่ มีอะไรเปลี่ยนไปมากไหม

เปลี่ยนอยู่แล้ว ถ้าดูโดยรวมมีหลายเรื่องที่ EU ไม่ได้เสนอในรอบนี้ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา เราพบว่ามีหลายมาตรการที่ถูกเอาออก เช่น การขยายนิยามที่จะขอจดสิทธิบัตรได้ ซึ่ง EU เคยเสนอเรื่องนี้ในการเจรจาครั้งก่อน ผลกระทบที่อาจตามมาก็คือถ้าเรายอมแก้กฎหมายตามข้อเรียกร้องจะทำให้มีการขอจดสิทธิบัตรผูกขาดได้กว้างและนานขึ้น เช่น บริษัทยาหนึ่งขอจดและได้สิทธิบัตรในตัวยาหรือสารสำคัญของตัวยาไป ถัดมาอีก 4-5 ปี ขอยื่นจดสิทธิบัตรเรื่องการใช้ในการรักษา และถ้าได้การคุ้มครองสิทธิบัตรเรื่องการใช้ไปอีก การผูกขาดในยาตัวนั้นจะไม่จบที่ 20 ปีเมื่อสิทธิบัตรใบแรกหมดอายุ แต่ยังมีฉบับอื่นๆ ที่ขอและได้สิทธิบัตรทีหลังอีก

และอีกมาตรการที่เอาออกคือมาตรการชายแดน ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญภายในสหภาพยุโรป คือ สมมติประเทศในแอฟริกาซื้อยาจากประเทศไทย โดยผู้ค้าไทยพิจารณาแล้วว่าไม่มีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรในประเทศปลายทางและในไทย แต่ยาตัวนี้จำเป็นต้องมีการถ่ายสินค้าระหว่างทางในประเทศในยุโรป ซึ่งประเทศตรงกลางนี้มีอำนาจตรวจสอบและจับยึดสินค้าได้ถ้าต้องสงสัยว่าละเมิดทรัพย์ทางปัญญา มาตรการนี้ตามความตกลงทริปส์ทำไม่ได้ เพราะรัฐไม่สามารถยึดจับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่อยู่ระหว่างการขนส่งได้

ถือว่าเป็นผลดีที่เอาออก?

ใช่ เพราะเรื่องคล้ายๆ กับที่ยกตัวอย่างไปเคยเกิดขึ้นจริง เป็นประเด็นที่ถูกโจมตีและถกเถียงกันมากในสภายุโรป เหตุการณ์เกิดขึ้นราวปี 2008 ตอนนั้นประเทศในแอฟริกาใต้จำเป็นต้องใช้ยาหลายตัวมาก ทั้งยาที่ใช้รักษา HIV ยาจิตเวช และยาปฏิชีวนะ ประเทศในแอฟริกาสั่งยาจากอินเดีย โดยอินเดียจัดส่งยาไปทางเรือ และเรือสินค้าจะต้องไปเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เนเธอแลนด์และเยอรมนี ซึ่งสองประเทศนี้ได้ใช้มาตรการดังกล่าวตรวจยึดสินค้าไว้ โดยอ้างว่ายาบางตัวต้องสงสัยว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหรืออาจเป็นยาปลอม สุดท้ายแล้ว ยาเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกส่งไปที่ประเทศปลายทาง

ในระหว่างนั้น มีการเสนอ Anti-Counterfeiting Trade Agreement (ACTA) ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ที่คล้ายคลึงกับมาตรการชายแดนดังกล่าว คือเป็นกฎหมายต่อต้านสินค้าปลอมแปลง ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ยกกรณีการตรวจยึดยาที่ชายแดนเนเธอแลนด์และเยอรมนีมาพูดอีกครั้ง เพราะยาที่ถูกตีกลับหรือถูกทำลายเป็นยาชื่อสามัญ ไม่ใช่ยาปลอม และไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรแต่อย่างใด เมื่อมีการโหวตกันในสภา ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงถูกคว่ำ เป็นเหตุให้ไม่มีมาตรการนี้เสนออยู่ใน FTA ของอียูฉบับหลังๆ ไปด้วย

ถ้าย้อนมองประสบการณ์การเจรจา FTA ฉบับที่ผ่านๆ มา ภาคประชาชนสามารถถอดบทเรียนจากครั้งไหนได้บ้างเพื่อนำมาปรับใช้ในการเจรจากับ EU

ผมมองว่าการมีส่วนร่วมในปัจจุบันมีวิวัฒนาการมาจากสมัยก่อนมากนะ ถ้าย้อนไปสมัยที่ไทยเจรจา FTA กับสหรัฐฯ (พ.ศ. 2544-2549) ตอนนั้นทุกอย่างเก็บเป็นความลับหมด ปิดห้อง ปิดประตูคุยกัน ข้อมูลที่เราได้มาเป็นข้อมูลที่รั่วออกมาจากเพื่อนต่างประเทศบ้าง มาจากแหล่งอื่นๆ บ้าง เราถึงรู้ว่าเนื้อหาการเจรจาเป็นอย่างไร พอคนเห็นว่าจะทำให้เกิดผลกระทบต่อหลายภาคส่วนก็นำไปสู่การประท้วงใหญ่หลายครั้ง จากนั้นพอมีรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงมีมาตรา 190 ขึ้นมาเพื่อทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมและเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น เพราะผู้มีอำนาจเห็นแล้วว่าปัญหาหลักในการเจรจา FTA ครั้งก่อน คือประชาชนไม่รู้ว่าคุณคุยอะไรกัน และเอาอะไรไปแลกมาบ้าง ทั้งที่ผลกระทบรุนแรงและกว้างขวาง จนทำให้เกิดแรงต่อต้านรุนแรง โดยเฉพาะจากคนเล็กคนน้อย

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือหลังการเจรจา FTA กับสหรัฐฯ มีนักวิจัยที่เป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยออกมาทำงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบจากความตกลงการค้าเสรีมากขึ้น ทำให้มีการวิเคราะห์ออกมาเป็นระบบและเป็นทางการมากขึ้นว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง เช่น ยาจะแพงขึ้นเท่าไหร่ ตลาดยาชื่อสามัญจะมีขนาดลดลงมากน้อยแค่ไหน เกษตรกรกลุ่มใดจะกระทบหนักสุด นี่คือสิ่งที่ถูกทำต่อมาเรื่อยๆ ใน FTA หลายฉบับ นั่นทำให้เมื่อมีการถกเถียงหรือคัดค้านกันเกิดขึ้นก็จะไม่ได้ค้านโดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์เป็นหลัก แต่ตั้งอยู่บนข้อมูลวิชาการ

การเจรจากับ EU ในรอบนี้ มีประเด็นใดเป็นเรื่องใหม่มากๆ บ้างไหม ที่การเจรจา FTA ฉบับก่อนๆ อาจจะยังไม่มีบทเรียนให้ถอด

ใน FTA ที่กำลังเจรจากันอยู่นี้ EU มีการเรียกร้องเพิ่มเติมในเรื่องของ e-commerce ซึ่งเรายังไม่มีความรู้ว่าเป้าประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรหรือมีอะไรที่เป็นข้อห่วงกังวล และอีกประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีการศึกษาคือมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่ใช้แล้วแต่ปรับปรุงทำเสมือนใหม่ (remanufactured goods) ประเด็นนี้จะคล้ายกับความตกลงใน CPTPP ที่กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคเคยแสดงความกังวล โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เป็นเครื่องมือแพทย์ ซึ่งประเทศไทยต้องยอมให้นำเข้าเครื่องมือแพทย์มือสองหรือเครื่องมือแพทย์ที่ใช้แล้วและปรับปรุงทำเสมือนใหม่เข้ามาใช้ ประเด็นคือเราจะมีความมั่นใจได้อย่างไรว่าเครื่องมือเหล่านี้จะมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเหมือนเครื่องมือใหม่ และในปัจจุบันกฎหมายไทยก็ยังไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องมือแพทย์มือสอง

ในการประชุมกรรมาธิการฯ ของ CPTPP เคยมีการถามกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ายังไม่มีศักยภาพพอที่จะตรวจสอบเครื่องมือเหล่านี้ว่าปลอดภัยหรือไม่ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างไร รวมถึงเรื่องอายุการใช้งาน  ถ้าหากโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนต้องการลดต้นทุนแล้วสามารถสั่งเครืองมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มือสองแบบนี้เข้ามา การวินิจฉัยและการรักษาจะมีประสิทธิภาพไหม เรื่องนี้นับเป็นประเด็นที่เราควรกังวลอย่างมาก เพราะเราไม่มีมาตรการป้องกันหรือตรวจสอบ เพื่อทำให้ความปลอดภัยของผู้บริโภคเกิดขึ้นจริง

ประเด็นนี้ยังเกี่ยวโยงกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ถ้าเครื่องมือแพทย์นั้นๆ เป็นเทคโนโลยีเก่าที่ทาง EU ไม่ใช้แล้ว เลยโละทิ้งมาขาย แบบนี้ประเทศไทยอาจจะเป็นที่ทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ของเขาก็ได้ แล้วเราต้องมารับผิดชอบในการกำจัดทิ้งอีก ซึ่งต้นทุนในการกำจัดนั้นสูงมาก เรื่องน่ากังวลเหล่านี้เป็นประเด็นที่ทาง EU เสนอเข้ามา ซึ่งฉบับก่อนหน้านั้นไม่มี แต่เพิ่งมาปรากฏในฉบับนี้

ภาคประชาสังคมใน EU เอง มีการพูดถึงข้อกังวลหรือประเด็นอ่อนไหวอะไรบ้างไหม

เราได้มีการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่บ่อยๆ ว่าความคืบหน้าในไทยเป็นอย่างไรและฝั่งเขาเป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนเห็นชอบไปตามนั้นทั้งหมด เพราะประเด็นเรื่อง TRIPS – Plus หรือ UPOV 1991 ก็เป็นประเด็นทางการเมืองภายในประเทศของเขาเหมือนกัน เนื่องจากบริษัทยาข้ามชาติ บริษัทเกี่ยวกับการเกษตร และบริษัทเมล็ดพันธุ์ ต่างก็มีอำนาจและอิทธิพลใน EU และคอยสนับสนุนนักการเมืองในยุโรป ภาคประชาสังคมของ EU ก็ไม่ได้เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าทำ FTA กับไทยแล้วจะดีทั้งหมด เพราะ EU ได้ประโยชน์แต่ประเทศคู่ค้าเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน ยา เกษตร สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาก็ไม่เห็นด้วย

แล้วฝั่งภาคประชาสังคมไทยมีโอกาสได้พูดคุยกับตัวแทนการเจรจาจากยุโรปบ้างหรือเปล่า

สส. จากรัฐสภายุโรปมักมาไทยเป็นประจำเมื่อสหภาพยุโรปจะเริ่มเจรจา FTA เหมือนเป็นกระบวนการตามปกติของเขาที่มารับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม ผมเองก็เคยถูกเชิญไปพร้อมกับ NGO ประมาณ 4 องค์กร ข้อสังเกตที่ผมเห็นจากการประชุมกับคณะผู้แทนจากรัฐสภายุโรป คือมักมีการพูดหว่านล้อมให้คำหวานแลสร้างความหวังกับภาคประชาสังคมในไทยที่ทำงานประเด็นทางสังคมด้านอื่น เช่น แรงงานข้ามชาติ แรงงานประมง ผู้แทนจากรัฐสภายุโรปมักถามเกี่ยวกับเรื่องการละเมิดสิทธิแรงงานในไทย รัฐบาลไทยแก้ไขปัญหาอย่างไร กฎหมายด้านแรงงานของไทยเป็นอย่างไร อะไรคือปัญหาและช่วงโหว่ แล้วเขาก็พูดทำนองโน้มน้าวว่า การเจรจา FTA กับ EU จะช่วยแก้ปัญหาด้านสิทธิแรงงาน เพราะรัฐบาลไทยจะต้องยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นสากล เช่น การให้สัตยาบันในอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ที่เป็นการรับรองสิทธิลูกจ้างทั้งไทยและต่างชาติให้จัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างได้ เรารู้สึกว่าเขาพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการเจรจาโดยบอกเป็นนัยว่าเราต้องยอมแลกเรื่องยา เรื่องเกษตร เพื่อให้ได้เรื่องสิทธิแรงงาน มองในแง่ร้าย มันเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่องค์กรภาคประชาสังคมอยู่เหมือนกัน

ผมก็พยายามแทรกจังหวะและถามกลับไปว่าประเทศยุโรปช่วงโควิดเกิดอะไรบ้าง คุณมีวัคซีน มียาเพียงพอไหม? เป็นเพราะการคุ้มครองสิทธิบัตรแบบที่คุณอยากให้ไทยยอมรับหรือเปล่าที่ทำให้คนมากมายไม่ได้รับวัคซีน เข้าไม่ถึงยารักษา วัคซีนไม่พอ ยาไม่พอ ขนาดพวกคุณเองยังยกเรื่องนี้มาถกกันในสภาเลยว่าจะให้มีกฎหมายที่ทำให้ใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา หรือ CL ได้ง่ายขึ้นในกรณีที่มีโรคระบาด เพราะกฎหมายที่เขียนไว้รัดตัวมาก มีข้อจำกัดและเงื่อนไขขั้นตอนเยอะ จนนำมาบังคับใช้ไม่ได้ในสถานการณ์ที่เร่งด่วน ขนาดพวกคุณยังพูดว่าอยากปกป้องชีวิตประชาชนของพวกคุณเลย แต่ทำไมมาเรียกร้องการคุ้มครองสิทธิบัตรที่เข้มงวดจากเรา

ที่พูดมาผมไม่ได้จะต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับการที่เราจะมีมาตรการคุ้มครองแรงงานหรือสิทธิมนุษยชนที่ดีขึ้น แต่มันต้องไม่ใช่การเสียสละสิ่งสำคัญหนึ่งเพื่อแลกกับสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง อันนี้ผมว่าไม่ถูกต้อง เราสามารถมีมาตรการคุ้มครองแรงงานที่ดีขึ้นไปพร้อมกับการคุ้มครองสิทธิการเข้าถึงยาและปกป้องภาคเกษตรไปควบคู่กันได้ ถ้าจะบอกว่าคุณขับเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน การเข้าถึงยาก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเหมือนกัน

คุณมองว่าเป้าหมายที่ทั้งไทยและ EU ตั้งไว้ว่าจะสรุป FTA ให้เสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งหมายถึงต้องสรุปให้ได้ในปี 2568 นี้ เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

กรอบเวลานี้ก็คงเป็นความทะเยอทะยานอย่างหนึ่งของทั้งสองฝ่าย อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดแบบสาหัสไปพอสมควร ทุกคนจึงมองว่า FTA เป็นโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศตัวเองดีขึ้น แต่สุดท้ายการเจรจาก็ต้องคุยลึกถึงรายละเอียดว่าประเด็นอ่อนไหวต่างๆ จะถูกขับเคลื่อนไปทางไหน จะยอมกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งตอนนี้ฝั่ง EU ก็ไม่ได้คุยกับไทยแค่ประเทศเดียว มีการคุยกับอินเดียและอินโดนีเซียด้วย

ช่วงที่ไทยกับ EU เจรจารอบที่ 4 กันที่กรุงเทพฯ เป็นช่วงเดียวกับที่ไทยปิดดีลกับ EFTA หรือสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations) ได้สำเร็จ ทำให้เราเห็นข่าวนี้ในหน้าสื่อมากกว่าการเจรจากับ EU เสียอีก เพราะถือเป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับยุโรป คุณมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นต่อข้อตกลงกับ EFTA ด้วยหรือเปล่า และมีกระบวนการเจรจาต่างกันไหม

ผมไม่ได้เห็นเอกสารในแต่ละรอบการเจรจากับ EFTA แต่เขาก็จะมีกระบวนการคล้ายกับ EU คือมี สส. มาไทยแล้วเชิญภาคประชาสังคมหลายกลุ่มไปพูดคุยด้วย ในแง่ของการเจรจา EFTA ที่มีสมาชิกเพียง 4 ประเทศ (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) และไม่อยู่ในสหภาพยุโรป ย่อมตกลงกันได้ง่ายกว่าการเจรจากับ EU ที่มี 27 ประเทศอยู่แล้ว เห็นได้จากประเด็นอ่อนไหวที่น่ากังวลของภาคประชาสังคมไทยซึ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ยา และ UPOV 1991 ถูกเอาออกหมด

อย่างไรก็ตาม หากไทยปิดดีลกับ EU ได้และยอมตามที่ EU เรียกร้อง กลุ่มประเทศ EFTA ก็ต้องได้ด้วย เพราะมีหลักการในความตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เรียกว่าการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favoured Nation Principle: MFN) คือเราไม่สามารถเลือกปฏิบัติกับใครได้ ถ้าให้ประเทศไหนก็ต้องให้เหมือนกันหมด สมมติเราเซ็นกับ EU ปุ๊บ สิ่งที่เราให้ EU ก็กระจายทันที เปิดให้ประเทศอื่นๆ ที่มี FTA กับไทยเหมือนกัน

ก่อนการเจรจากับ EU รอบที่ 5 จะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า (มีนาคม 2568) อยากให้คุณยกตัวอย่างผลกระทบที่ใกล้ตัวที่สุดที่อาจเกิดขึ้น เผื่อว่าสังคมไทยจะหันมาสนใจและช่วยจับตาการเจรจานี้มากขึ้น

คนทุกคนเคยเจ็บป่วย หลายคนอาจจะมีโรคประจำตัวหรือมีญาติที่ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผลกระทบที่ใกล้ตัวที่สุดคือเรื่องหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลยามเราเจ็บป่วยแน่นอน ปัจจุบันระบบสุขภาพแห่งชาติอยู่ได้และสามารถจัดหายาให้กับผู้ป่วยได้เพราะมียาที่ราคาสมเหตุสมผล ยารักษา HIV ยารักษาไวรัสตับอักเสบ หรือยาโรคหัวใจก็อยู่ในระบบนี้ทั้งนั้น ฉะนั้น ถ้าไม่มียาชื่อสามัญในราคาที่สมเหตุสมผลก็จะเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ยารักษาหลายโรคเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทองหรือระบบอื่นๆ ถ้าไทยลงนาม FTA ก็จะมีผลกระทบโดยตรง เพราะจะทำให้ค่ายาแพงขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากขึ้น

โดยทั่วไปแล้วงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่ให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มักจะไม่เคยได้เท่าที่ขอไปในทุกปี โดยจะมีการต่อรองให้ลดลงมาตลอด จึงทำให้ สปสช. ต้องบริหารจัดการกองทุนที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นคือมียาบางตัวที่ราคาสูงมาก สูงถึง 30,000 บาทต่อเม็ด ผู้ป่วยหนึ่งคนต้องกิน 84 เม็ด จะมีค่ายาตกอยู่ที่คนละประมาณ 2,500,000 บาท เรารณรงค์และพยายามจะทำให้ยาตัวนี้อยู่ในระบบมาโดยตลอด โดยทาง สปสช. บอกว่าตัดสินใจไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับคณะบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่สุดท้ายก็มีการศึกษาวิจัยว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ และผลปรากฏออกมาว่าคุ้มค่า จึงเกิดการกดดันกันไปมาในแต่ละฝ่าย และสุดท้ายประเทศไทยก็ได้สิทธิซื้อยาชื่อสามัญในราคาถูกได้ เรื่องนี้คณะบัญชียาหลักแห่งชาติขับเคลื่อนกันถึง 7 ปี

ภายใน 2 อาทิตย์หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศ CL ในยาตัวเดียวกัน บริษัทยาต่างชาติที่ขอจดสิทธิบัตรไว้เริ่มกลัวผลกระทบว่าจะเกิด domino effect ให้ประเทศอื่นประกาศ CL ตาม ก็เลยตัดสินใจประกาศให้ไทย มาเลเซีย และประเทศกำลังพัฒนาซื้อยาตัวเดียวกันนี้ที่เป็นยาชื่อสามัญจากอินเดียได้โดยไม่ถือว่าละเมิดสิทธิบัตร ยาดังกล่าวจึงผ่านการพิจารณาเข้าสู่ระบบการรักษาภายใต้หลักประกันสุขภาพทั้ง 3 ระบบ แต่เดิมยาที่ราคาเม็ดละ 30,000 บาท ก็เหลือเม็ดละ 120 บาท ดังนั้นอยากให้นึกตามว่าหากระบบนี้ถูกทำลายไป จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาล   

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Interviews

5 May 2024

สวนกล้วยของคนจีน-ชีวิตอาบสารเคมีของคนลาว: เสถียร ฉันทะ

101 คุยกับ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ ผู้ทำวิจัยเรื่องสวนกล้วยจีนในลาวและพม่า ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นและการคืบคลานของสวนกล้วยจีนที่ขยายไปในลุ่มน้ำโขง อย่างพม่าและกัมพูชา

วจนา วรรลยางกูร

5 May 2024

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save