หลี่ เค่อเฉียง อดีตนายกฯ จีนซึ่งครองตำแหน่งถึง 10 ปี ในช่วง ค.ศ. 2012-2022 เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ในประวัติศาสตร์ การตายของอดีตผู้นำจีนมักเป็นเรื่องเปราะบางทางการเมือง อย่างการตายของอดีตนายกฯ โจว เอินไหล หรืออดีตผู้นำพรรคอย่างหู เย่าปัง ล้วนเคยนำไปสู่บรรยากาศสั่นคลอนทางการเมือง
โดยเฉพาะการตายของหู เย่าปัง ซึ่งเป็นนักปฏิรูปในยุคเติ้ง เสี่ยวผิง และเคยถูกพรรคถอดออกจากตำแหน่งผู้นำพรรค สุดท้ายนำไปสู่กระแสการไว้อาลัยและเรียกร้องให้ชำระชื่อเสียงของเขาเสียใหม่ หนึ่งสัปดาห์ภายหลังการตายของหู เย่าปัง ก็เกิดการชุมนุมใหญ่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square Protests and Massacre) จนเป็นเหตุการณ์ลือลั่นในปี 1989
มาตอนนี้ ภายหลังมรณกรรมของหลี่ เค่อเฉียง ประชาชนจำนวนมากต่อแถวนำดอกไม้และเทียนไขวางหน้าบ้านเกิดหรือหน้าสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับท่าน แต่หากค้นหาคำว่า ‘หลี่ เค่อเฉียง’ ในโซเชียลมีเดียของจีน จะค้นไม่พบภาพเหล่านี้ สะท้อนว่ารัฐบาลจีนพยายามควบคุมกระแสสังคมและไม่ประสงค์ทำข่าวการเสียชีวิต รวมทั้งการไว้อาลัยให้ใหญ่โต
หลายคนสังเกตว่า ข่าวทางการในช่องโทรทัศน์ของรัฐบาลที่ประกาศการเสียชีวิตของอดีตนายกฯ มีการนำเสนอข่าวสั้นๆ เพียง 2-3 นาที จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนดำเนินไปเช่นปกติ ไม่มีพิธีกรรม สารคดี หรือความประสงค์ให้เกิดกระแสการไว้อาลัยระดับชาติที่นำโดยรัฐ
ดูเหมือนรัฐบาลจีนตัดสินใจไม่จัดพิธีเคารพศพอย่างยิ่งใหญ่แบบการตายของอดีตผู้นำเจียง เจ๋อหมิน เมื่อปีก่อน ซึ่งอาจมองได้ว่าเพราะหลี่ เค่อเฉียงไม่ใช่อดีตผู้นำสูงสุด พิธีการที่แจ้งในขณะนี้คือ ในวันเผาศพจะมีการลดธงชาติลงครึ่งเสาทั่วประเทศ และมีพิธีส่งดวงวิญญาณ แต่จะไม่เชิญแขกต่างชาติและไม่เชิญผู้นำจากมณฑลต่างๆ นอกปักกิ่งเข้าร่วมงาน โดยอ้างว่าเป็นไปตามแนวทางการจัดงานศพผู้นำอย่างเรียบง่ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ทว่าคำถามสำคัญคือ เหตุใดมรณกรรมของหลี่ เค่อเฉียงจึงกลายเป็นเรื่องเปราะบางทางการเมืองในจีน คำตอบคือทุกคนทราบดีว่า หลี่ เค่อเฉียงเคยเป็นคู่แข่งทางการเมืองกับสี จิ้นผิง แต่สุดท้ายในปี 2012 พรรคเลือกให้สีจิ้นผิงเป็นเบอร์ 1 และให้หลี่เค่อเฉียงเป็นเบอร์ 2
หลี่ เค่อเฉียงจึงเป็นสัญลักษณ์ของอีกความเป็นไปได้ของจีนที่ไม่ได้เกิดขึ้น หลายคนชวนถามว่า หากในปี 2012 ประเทศจีนได้ผู้นำเบอร์ 1 เป็นหลี่ เค่อเฉียง จีนวันนี้จะเหมือนหรือแตกต่างจากที่เป็นอยู่อย่างไร
แน่นอนประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปไม่ได้ และจีนภายใต้การนำของหลี่ เค่อเฉียงอาจแย่หรือดีกว่าจีนวันนี้ก็ได้ แต่หลายคนที่ไม่พอใจสภาพการณ์ของจีนในปัจจุบันย่อมชวนตั้งคำถามดังกล่าว
นอกจากนี้ หลายคนมองว่า หลี่ เค่อเฉียงเป็นทั้งนักกฎหมายและนักเศรษฐศาสตร์ (เขาจบปริญญาตรีโทกฎหมายและปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง) เป็นผู้ที่เคยเรียกร้องการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในจีน ดังนั้น หากเขามีอำนาจสูงสุดน่าจะทำให้จีนเสรีและเปิดกว้างกว่าภาพของจีนที่ปิดและควบคุมหนักขึ้นเช่นในวันนี้ และจีนน่าจะเปิดกว้างต่อเอกชนและพ่อค้า มากกว่าภาพที่จีนกำราบเอกชนและพ่อค้าอย่างหนักภายใต้การจัดระเบียบธุรกิจของสี จิ้นผิง
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมการตายของหลี่ เค่อเฉียงจึงกลายเป็นเรื่องเปราะบางในทางการเมืองไปได้
เพราะหลี่ เค่อเฉียงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่กำลังหายไปของจีน ไม่ว่าจะเป็นยุคของการเปิดกว้างมากขึ้น ยุคของการเชื่อมกับตะวันตกมากขึ้น ยุคของเศรษฐกิจเอกชน และยุคที่ความร่ำรวยเป็นเกียรติยศ
สมัยเป็นนักศึกษา ตัวหลี่ เค่อเฉียงเคยร่วมแปลหนังสือ Due Process of Law จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน เขาเป็นนักการเมืองจีนระดับสูงที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว และมีดีกรีปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ ทำให้เขาชอบพูดถึงการปฏิรูปกลไกตลาดและส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน
ในทางการเมือง เขายังเป็นตัวแทนของปัญญาชนคนรุ่นใหม่การศึกษาดีที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ผ่านสันนิบาตเยาวชน ซึ่งเป็นสายการเมืองของอดีตผู้นำหู จิ่นเทา แต่ปัจจุบัน ขั้วการเมืองของสันนิบาตเยาวชนดูจะถูกกำจัดไปหมดสิ้น มีคนพูดทีเล่นทีจริงว่า บัดนี้เหลือเพียงขั้วของสี จิ้นผิงขั้วเดียวเท่านั้นที่ครองอำนาจนำในพรรค
การเมืองจีนเป็นกล่องดำ ไม่มีใครรู้ตื้นลึกหน้าบางภายใน การที่หลี่ เค่อเฉียงครองตำแหน่งนายกฯ ได้ถึง 10 ปี แสดงว่าสี จิ้นผิงเองก็ต้องให้เกียรติเขาในระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน จีนภายใต้การนำของนายกฯ หลี่ เค่อเฉียงไม่ได้เดินไปในทิศทางที่เสรีมากขึ้นตามที่หลายคนเคยคาดหวัง หลายคนคิดว่าเพราะหลี่ เค่อเฉียงเป็นนายกฯ ที่มีอำนาจและบทบาทน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยพลังบารมีที่เหนือกว่าและการเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานภาครัฐของสี จิ้นผิง
ในขณะเดียวกัน ความจริงแล้วหลี่ เค่อเฉียงอาจไม่คิดจะผลักดันจีนไปในทิศทางที่เสรีขึ้น เพียงแต่หลายคนเข้าใจเขาผิดและไปตั้งความหวังที่สูงเกินไปต่อเขา หรือเขาอาจจะอยากผลักจีนไปในทิศทางที่เสรีขึ้น แต่ถูกสี จิ้นผิงขัดขวางและผลักดันจีนไปในทิศทางตรงข้าม และดูเหมือนคนที่ไม่พอใจสภาพการณ์ในจีนปัจจุบันจะฝังใจเชื่อแบบหลัง
มีภาษิตว่า คนตายเป็นคนดีเสมอ เพราะเรามักให้คนตายทำหน้าที่ตัวแทนสิ่งที่เราอยากได้ อยากเห็น หรือสิ่งที่เรามองว่าอาจเป็นไปได้ แต่ไม่ได้เป็น หลี่ เค่อเฉียงในวันนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนอารมณ์ความรู้สึกร่วมถึงอีกเส้นทางที่จีนอาจเดินไปได้ แต่ไม่ได้เดิน และเป็นตัวแทนคุณลักษณะของยุคสมัยหนึ่งที่กำลังหมดไป
แต่ดูจากดอกไม้และเทียนอาลัยถึงอดีตนายกฯ ท่านนี้ที่หลั่งไหลจากคนจีนทั่วสารทิศ แสงไฟในจีนถึงอาจมืดลง แต่ไม่ได้มอดมิดอย่างแน่นอน