fbpx
พนาลีนี่นี้ใครครอง: รัฐรวมศูนย์ไทย ‘แก้ไข’ หรือ ‘กระพือ’ ไฟป่า

พนาลีนี่นี้ใครครอง: รัฐรวมศูนย์ไทย ‘แก้ไข’ หรือ ‘กระพือ’ ไฟป่า

ชลิดา หนูหล้า เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

 

1

 

ฟ้าสีแดงเหนือสะพานโกลเดนเกต และความรุนแรงของไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียตอกย้ำความน่าสะพรึงกลัวของภัยพิบัติท้องถิ่น ที่ไม่เพียงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ก่อปัญหาฝุ่นควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวด้วย

นอกจากตระหนักในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมโดยสอดคล้องกับบริบทชุมชน ในหลายประเทศยังชวนให้ทบทวนการจัดการป่าไม้และความพยายามควบคุมไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอย่างกว้างขวางในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าปัญหาไฟป่าในปัจจุบันเป็นฝีมือมนุษย์ และต้องบังคับใช้มาตรการปิดป่า 100 เปอร์เซ็นต์ ผู้จะเข้าไปในป่าต้องถูกบันทึกชื่อ ผู้ถูกพบในป่าจะถูกสันนิษฐานว่ามีเจตนาเผาป่า ควบคู่กับการ ‘เคาะประตูบ้านเพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้าน’ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ[i]

อย่างไรก็ตาม มีเสียงคัดค้านจากประชาชน นักวิชาการ และองค์การสาธารณประโยชน์ที่สนับสนุนการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนด้วยภูมิปัญญาชุมชน ทั้งการ ‘เผาชน’ หรือการจุดไฟเพื่อดับไฟป่าในพื้นที่ลาดชัน การ ‘ชิงเผา’ หรือการเผาเพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงในป่าก่อนเกิดไฟป่า และการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งมักถูกกล่าวหาว่าเป็นการ ‘ทำไร่เลื่อนลอย’ ท่ามกลางกระแสเรียกร้องและความจำเป็นของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

คำถามคือ อำนาจจัดการป่าไม้ถูกพรากจากผู้คนในชุมชนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับป่าเมื่อใด และอย่างไร

บทความนี้จะนำเสนอ ‘ราก’ ของความขัดแย้งข้างต้น โดยนำผู้อ่านกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการจัดการป่าไม้โดยรัฐ ณ รุ่งอรุณแห่งรัฐรวมศูนย์ ซึ่งยังให้ ‘ดอกผล’ ในปัจจุบัน

 

2

 

การจัดการป่าไม้โดยรัฐเริ่มต้นใน ค.ศ.1896 หรือ พ.ศ.2439 หลังการก่อตั้งกรมป่าไม้ (Royal Forest Department) ในกรุงเทพมหานคร เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างพ่อค้าไม้อังกฤษและเจ้านายฝ่ายเหนือในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่านในปัจจุบัน การแทรกแซงความขัดแย้งดังกล่าวโดยราชสำนักสยาม มีบริบททางประวัติศาสตร์ที่แวดล้อม ดังนี้

พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทยก่อนการปักปันเขตแดนรัฐสมัยใหม่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาซึ่งโอบอุ้มชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของชุมชนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ล้านนาผ่านโมงยามแห่งความรุ่งโรจน์ เป็นปึกแผ่น กระทั่งร่วงโรย และแตกฉานซ่านเซ็น เช่นเดียวกับรัฐโบราณอื่นๆ ในอุษาคเนย์ซึ่งต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐบรรณาการ หรือระบบที่รัฐซึ่งอ่อนแอกว่าเป็นประเทศราช สวามิภักดิ์ต่ออีกรัฐหนึ่งแม้ยังปกครองตนเองโดยอิสระ ระบบดังกล่าวสิ้นสุดหลังการแผ่อิทธิพลของมหาอำนาจยุโรปในภูมิภาคซึ่งให้กำเนิดระบบรัฐสมัยใหม่

มหาอำนาจยุโรปที่มีบทบาทในล้านนาขณะนั้นคืออังกฤษ เพราะล้านนาเป็นแหล่งไม้สักซึ่งถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่อเรืออันเฟื่องฟู ด้วยความทนทาน ปลอดแมลงรบกวน และมีความเป็นกรดต่ำจึงไม่กัดกร่อนโลหะ[ii] เมื่อปริมาณไม้สักในอินเดียและพม่าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ล้านนาจึงเป็นเป้าหมายถัดไปของจักรวรรดิที่ตะวันไม่เคยลับฟ้า

 

ที่ทำการเดิมของบริษัทบอมเบย์ เบอร์มาห์ เทรดดิง (Bombay Burmah Trading Corporation) ซึ่งถูกรื้อถอนในต้นเดือนมิถุนายน 2563 เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์กิจการป่าไม้ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน

 

บ่อยครั้งที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อค้าไม้อังกฤษถูกผนวกกับผลประโยชน์ทางการเมืองของจักรวรรดิ โดยนักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องกันว่า ความพยายามแผ่อิทธิพลของฝรั่งเศสในพม่านำมาซึ่งความตึงเครียดในความสัมพันธ์อังกฤษ-พม่า รวมถึงความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าธีบอและพ่อค้าไม้อังกฤษที่กังวลว่าจะสูญเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ราชสำนักพม่าปฏิเสธข้อเรียกร้องให้ปรับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาลและนักธุรกิจอังกฤษยิ่งขึ้น สงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 3 จึงปะทุ และสิ้นสุดด้วยการผนวกพม่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ[iii]

อิทธิพลของอังกฤษในล้านนาซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของสยาม จึงเป็นภัยต่อชนชั้นนำสยามอย่างยิ่ง เพราะพ่อค้าไม้อังกฤษติดต่อธุรกิจกับเจ้าผู้ครองนครหรือเจ้านายฝ่ายเหนือผู้ครอบครองป่าไม้ได้โดยตรง รวมถึงซื้อขายสินค้าอื่นๆ ได้โดยอิสระ อันเป็นการเพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจแก่ท้องถิ่นและชนชั้นนำท้องถิ่น โดยในเวลาไล่เลี่ยกันมีกรณีการจำหน่ายปืนคาบศิลา (musket) แก่ชนชั้นนำท้องถิ่นในตรังกานู นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวเพื่อท้าทายอิทธิพลของราชสำนักสยามในรัฐมลายูด้วย[iv]

การสูญเสียอิทธิพลในประเทศราชนั้นสำคัญ เพราะประเทศราชในระบบรัฐบรรณาการมีอำนาจปกครองตนเอง และสวามิภักดิ์ต่อรัฐที่เข้มแข็งกว่าได้มากกว่าหนึ่งรัฐ ไม่สอดคล้องกับแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐของมหาอำนาจยุโรปขณะนั้น หรือรัฐสมัยใหม่ (modern state) ซึ่งมีเส้นเขตแดนชัดเจน มีรัฐบาลหรือผู้ปกครอง และศูนย์กลางอำนาจหรือเมืองหลวงเพียงหนึ่ง รวมถึงมีอำนาจอธิปไตยที่แน่นอน เป็นแบบแผนเดียวกันทั่วรัฐ จึงมีความเสี่ยงที่สยามจะสูญเสียประเทศราช และกระเทือนต่อบทบาทนำของสยามในภูมิภาค

ด้วยเหตุนี้ กระบวนการ ‘รวมศูนย์อำนาจ’ ลดอำนาจปกครองตนเองและการพึ่งพาตนเองของท้องถิ่นจึงเริ่มต้นในปลายคริศต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นพุทธศตวรรษที่ 25 เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศราชเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของสยามอย่างสมบูรณ์ด้วยหลากหลายกลวิธี เช่น การแต่งตั้งข้าหลวงเทศาภิบาลให้ปกครองหัวเมืองต่างๆ แทนที่เจ้าผู้ครองนคร การยกเลิกการใช้ภาษาและอักษรท้องถิ่นในหัวเมืองประเทศราชเดิม ฯลฯ โดยกรมป่าไม้ซึ่งถูกก่อตั้งใน ค.ศ.1896 เป็นฟันเฟืองของการรวมศูนย์อำนาจนั้นเช่นกัน

 

การรวบรวมและลำเลียงไม้สักในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บันทึกโดยเบอร์ตัน โฮล์มส์ (Burton Holmes) นักเดินทางชาวอเมริกัน

 

อาจกล่าวได้ว่าการก่อตั้งกรมป่าไม้เป็นการรับรองผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อค้าไม้อังกฤษในล้านนาโดยราชสำนักสยาม โดยเริ่มต้นจากการร้องเรียนของคนในบังคับอังกฤษผ่านกงสุลอังกฤษในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับการถูกทำร้ายและฉ้อโกงโดยเจ้านายฝ่ายเหนือและคนในพื้นที่ระหว่างดำเนินธุรกิจการป่าไม้ อันนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาเชียงใหม่ 2 ฉบับ ใน ค.ศ.1874 และ 1883 ตามลำดับ ระหว่างราชสำนักสยามและรัฐบาลบริติชราช เพื่อขยายขอบเขตสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งสยามให้แก่คนในบังคับอังกฤษตามสนธิสัญญาเบาว์ริงจากเมืองหลวงสู่หัวเมืองล้านนา ด้วยผลของสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับแรก สยามจึงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินในเชียงใหม่เพื่อจัดการข้อร้องเรียนของคนในบังคับอังกฤษ และด้วยผลของสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่สอง จึงมีการแต่งตั้งรองกงสุลอังกฤษประจำการที่เชียงใหม่

เห็นได้ชัดว่า แม้ก่อนการก่อตั้งกรมป่าไม้ในกว่าหนึ่งทศวรรษให้หลัง อำนาจจัดการป่าไม้ของท้องถิ่นในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนก็ได้ถูกลดทอนแล้วอย่างเป็นระบบ

ภายใต้สนธิสัญญาเชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือยังมีอำนาจจัดการป่าไม้ ให้สัมปทาน และกำหนดจำนวนไม้ที่ตัดได้ กระทั่งในทศวรรษ 1890 เมื่อการแข่งขันขยายอิทธิพลระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำมาซึ่งการกระทบกระทั่งระหว่างสองมหาอำนาจยุโรป และเริ่มรบกวนผลประโยชน์ทางธุรกิจของพ่อค้าไม้อังกฤษในล้านนา

หลังวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 หรือใน ค.ศ.1893 เมื่อฝรั่งเศสยึดครองส่วนหนึ่งของน่านซึ่งเป็นแหล่งไม้สักสำคัญเช่นกัน จึงมีความพยายามของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษผ่านมอริส เดอ บุนเซน (Maurice de Bunsen) อุปทูตอังกฤษในสยาม (charge d’affaires) เพื่อเกลี้ยกล่อมเจ้าผู้ครองนครน่านและข้าหลวงเทศาภิบาลสยามในน่านให้เสริมความมั่นคงของกิจการป่าไม้ของพ่อค้าไม้อังกฤษ โดยให้สัมปทานป่าไม้ในน่านแก่บริษัทบอมเบย์ เบอร์มาห์ เทรดดิง (Bombay Burmah Trading Corporation) หนึ่งในบริษัทอังกฤษที่ทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค

โดยมอริส เดอ บุนเซน อุปทูตคนดังกล่าว เขียนจดหมายถึงรอเบิร์ต เซซิล มาร์ควิสที่ 3 แห่งซอลส์บรี (Robert Gascoyne-Cecil, 3rd Marquess of Salisbury) นายกรัฐมนตรีอังกฤษใน ค.ศ.1895 ว่าตนได้ให้เหตุผลแก่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสยามซึ่งขณะนั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าการส่งเสริมการลงหลักปักฐานของกลุ่มทุนอังกฤษในน่านนั้นจำเป็นต่อการคงน่านไว้ในขอบขัณฑสีมาสยาม (preserved to the Siamese Crown) โดยให้บริษัทอังกฤษอันเรืองอำนาจ (powerful British company) ถ่วงดุลอำนาจฝรั่งเศส[v]

 

‘สถานการณ์ในเอเชียตะวันออก’ (The Situation in the Far East) ภาพพิมพ์ในทศวรรษ 1900

สถานการณ์ในเอเชียตะวันออก (The Situation in the Far East) ภาพพิมพ์ในทศวรรษ 1900 แสดงการประจันหน้าของสิงโต (อังกฤษ) และกบ (ฝรั่งเศส) บนหลังของกบมีวลี ‘Fashoda: Colonial Expansion’ หมายถึงเหตุการณ์ฟาโชดา (Fashoda Incident)  หรือกรณีพิพาทรุนแรงระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในแอฟริกาเหนือ

 

ไม่นานนัก กรมป่าไม้จึงถูกก่อตั้งเพื่อการจัดการป่าไม้ โดยเฉพาะป่าไม้สักในล้านนา ให้ถือว่าป่าเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลสยาม และกรมป่าไม้จะเป็นผู้ให้สัมปทาน รวมถึงกำหนดจำนวนไม้ที่ตัดได้แก่ผู้รับสัมปทาน โดยในระยะแรก การดำเนินงานของกรมป่าไม้ยังเอื้อประโยชน์ต่อพ่อค้าไม้อังกฤษอย่างเห็นได้ชัด อันสังเกตได้จากตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ซึ่งเป็นชาวอังกฤษทั้งสิ้น รวมถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนอังกฤษในการสรรหาและโยกย้ายผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ กระทั่ง ค.ศ.1923 หรือ พ.ศ.2466

แม้อิทธิพลของพ่อค้าไม้อังกฤษในล้านนาจะถดถอยอย่างชัดเจนก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และเหือดหายในที่สุด ทว่าการจัดการป่าไม้โดยกรมป่าไม้ยังดำเนินต่อไปในฐานะฟันเฟืองหนึ่งของรัฐรวมศูนย์ ซึ่งมีวิวัฒนาการควบคู่กับการบริหารราชการแผ่นดินสยาม-ไทยนับแต่นั้น

 

3

 

เป็นตลกร้ายที่ไม่ว่าขอบเขตอำนาจของกรมป่าไม้จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรจากวันที่ก่อตั้ง จะถูกโยกย้ายเพื่อสังกัดกระทรวงทบวงใด หรือถูกแยกย่อยเป็นกรมกองใด ตลอดระยะเวลาเกือบ 150 ปีนี้ ผู้ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ในภูมิลำเนากลับเป็นคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ‘คนเมือง’ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับป่า ไม่เคยมี นับแต่สนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับแรกในทศวรรษ 1870 และยังไม่มี แม้ระหว่างมาตรการปิดป่า 100 เปอร์เซ็นต์ในเดือนเมษายน

กรมป่าไม้และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่ถูกก่อตั้งในเวลาไล่เลี่ย จึงเป็นฟันเฟืองของการรวมศูนย์อำนาจและลดทอนพลังของท้องถิ่นโดยกำเนิด คงเป็นเช่นนั้นขณะเติบโต และจะเป็นเช่นเดิมตราบที่เสียงของท้องถิ่นไม่ถูกยอมรับ เคารพ กระทั่งแยแส

เมื่อผนวกกับระยะเวลานับศตวรรษที่โครงสร้างการปกครองเช่นนี้ไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง พลังของท้องถิ่นจึงริบหรี่จวนมอด เมื่อวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ตลอดจนปากเสียงและความปรารถนาถูกกำหนดให้มีสถานะรองหลายชั่วอายุ ส่วนกลางจึงขาดความเชื่อมั่นในท้องถิ่น เท่ากับที่ท้องถิ่นขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ชุมชนทั้งหลายจึงขาดทั้งกำลังและอำนาจดูแลพื้นที่ที่ตนเติบโตและอาศัย ไม่ว่าอำนาจนั้นจะหมายถึงอำนาจที่พึงได้รับจากส่วนกลาง หรืออำนาจในตน

ผู้เขียนเชื่อว่าการเข้าใจ ‘ราก’ ของการพรากอำนาจจัดการป่าไม้จากชุมชนจะนำมาซึ่งความตระหนักในอำนาจและภูมิปัญญาท้องถิ่น และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างรัดกุม นอกจากนี้ ผู้เขียนยังหวังว่าการเข้าใจกำเนิดและพัฒนาการของหน่วยงานภาครัฐในรัฐรวมศูนย์ จะเป็นอีกกรอบความคิดในการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีในปัจจุบัน และป้องกันปัญหาที่อาจมีในอนาคต

อ้างอิง

[i] ที่มา: ไฟป่าเชียงใหม่ : ทำไมปีนี้ หนักกว่าทุกปี

[ii] Franklin H. Smith, Teak in Siam and Indo-China (Washington: Government Printing Office,

1915), 7.

[iii] Gregory A. Barton and Brett M. Bennett, “Forestry as Foreign Policy: Anglo-Siamese Relations and the Origins of Britain’s Informal Empire in the Teak Forests of Northern Siam, 1883-1925,” Itinerario 34, no. 2 (August 2010): 69, https://doi.org/10.1017/S0165115310000355.

[iv] Eric Tagliacozzo, “Ambiguous Commodities, Unstable Frontiers: The Case of Burma, Siam, and

Imperial Britain, 1800-1900,” Comparative Studies in Society and History 46, no. 2 (2004):

361, http://www.jstor.org/stable/3879534.

[v] Barton and Bennett, “Forestry as Foreign Policy: Anglo-Siamese Relations and the Origins of Britain’s Informal Empire in the Teak Forests of Northern Siam, 1883-1925, 70-73. นักประวัติศาสตร์ทั้งสองเสนอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวพิสูจน์ว่าสยามเป็นส่วนหนึ่งของ ‘จักรวรรดิอังกฤษที่ไม่เป็นทางการ’ (Informal Empire) หรือ ‘กึ่งอาณานิคม’ ของจักรวรรดิอังกฤษ (semi-colony)

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save