การเมืองวงศ์ตระกูลในอุษาคเนย์

การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ บุตรสาวคนสุดท้องของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่มหาเศรษฐีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งก็พลอยทำให้นักการเมืองคนอื่นต้องจำต้องสละตำแหน่งรัฐมนตรีที่ตัวเองเคยครอบครองให้กับลูกหลานหรือญาติพี่น้องกันเป็นทิวแถวเพื่อป้องกันผลของนิติสงครามอันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

แพทองธาร เป็นคนในตระกูลชินวัตรคนที่สามที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้ทักษิณผู้พ่อก็อยู่ในตำแหน่งได้อย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2001-2006 ก่อนที่จะโดนผู้บัญชาการทหารบกยึดอำนาจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นอาหญิงของเธอ ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยได้อย่างง่ายดาย หลังจากตัดสินใจเข้าสู่วงการเมืองได้เพียงเดือนเศษ ยังไม่นับผู้ที่เป็นเครือญาติโดยการแต่งงานอย่าง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีของ เยาวภา น้องสาวคนหนึ่งของทักษิณ ก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อตระกูลนี้จำเป็นจะต้องรักษาอำนาจทางการเมืองให้อยู่กับคนที่ไว้ใจได้ภายในวงศ์ตระกูล ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในเวลานั้น

ไม่ใช่แค่ตระกูลชินวัตรเท่านั้นที่รักษาอำนาจทางการเมืองเอาไว้ภายในเครือญาติ คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของแพทองธารยังมีอีกหลายคนที่รับตำแหน่งในโควตาของญาติตัวเอง ชาดา ไทยเศรษฐ์ ผลักดันให้ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ บุตรสาวขึ้นนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแทนตัวเองเพื่อความปลอดภัยของเก้าอี้ เมื่อตัวเขาไม่สู้มั่นใจคุณสมบัติและมาตรฐานทางจริยธรรมของตัวเอง ทำนองเดียวกัน ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ผลักดันให้อัครา พรหมเผ่า ผู้เป็นน้องชายให้ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังจากตัวเขาจำต้องสละตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการเพราะข้อสงสัยเรื่องมาตรฐานจริยธรรม เพิ่มพูน ชิดชอบ น้องชายของ เนวิน ชิดชอบ นักการเมืองใหญ่แห่งบุรีรัมย์ก็รักษาตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีศึกษาธิการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเศรษฐา เพราะตัวเนวินเองต้องการที่จะทำงานการเมืองจากเบื้องหลังมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีนักการเมือง ‘รุ่นลูก’ อีกหลายคนที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองหลังจากรุ่นพ่อ-แม่ได้หลบฉากไปแล้ว เช่น จิราพร สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดร้อยเอ็ด มาแทนนิสิตและเอมอร สินธุไพร พ่อแม่ของเธอ และได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลแพทองธาร สรวงศ์ เทียนทอง เข้าสู่สนามการเมืองและได้ตำแหน่งรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา หลังจาก เสนาะ เทียนทอง ผู้เป็นบิดาห่างหายจากวงการไปแล้ว ยังไม่นับ วราวุธ ศิลปอาชา บุตรชาย อดีตนายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา ที่ไม่เพียงรักษาตำแหน่งในรัฐบาลเอาไว้ได้อย่างยาวนาน ยังสามารถรักษาพรรคชาติไทยพัฒนาเอาไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลได้อีกด้วย

ตระกูลเหล่านี้ไม่ใช่พวกแรกและไม่ได้มีแต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองไปยังคนรุ่นหลังผ่านสายโลหิตและระบบเครือญาติ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ ‘การเมืองวงศ์ตระกูล’ (dynasty politics) ในที่นี้ต้องการแสดงให้เห็นว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองแบบนี้เช่นกัน แต่อาจจะด้วยบุคลิกลักษณะ เงื่อนไขและบริบทที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าระบบการคัดเลือกบุคคลเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อระบอบการเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างไร    

การเมืองวงศ์ตระกูล

คำว่า ‘การเมืองวงศ์ตระกูล’ หมายถึง รูปแบบของการเมืองที่อำนาจและตำแหน่งทางการเมืองถูกสืบทอดภายในวงศ์ตระกูลหรือครอบครัวเดียวกันต่อเนื่องหลายรุ่น โดยที่สมาชิกในครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลเดียวกันจะครอบครองตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในลำดับชั้นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

การเมืองวงศ์ตระกูลมักเกิดขึ้นในสังคมที่มีโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์หรือในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเคารพนับถือผู้นำหรือผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ พูดให้ตรงกว่านั้น การเมืองแบบนี้มักจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งในประเทศที่เป็นราชอาณาจักรซึ่งคุ้นเคยกับการสืบสันตติวงศ์ของกษัตริย์เป็นอย่างดี และมองเห็นการคัดเลือกผู้นำทางการเมืองผ่านสายโลหิตเป็นสิ่งที่รับได้

อนึ่ง ในภาษาไทยมักจะแปลคำว่า dynasty politics ว่า ‘ตระกูลการเมือง’ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงกับลักษณะที่แท้จริงเท่าใดนัก คำว่า ตระกูลการเมือง น่าจะเหมาะกับคำว่า political family ซึ่งในความเป็นจริงทุกประเทศ ทุกท้องถิ่น ล้วนมีตระกูลการเมือง คือมีสมาชิกในวงศ์ตระกูลหรือเครือญาติเข้าสู่การเมืองหลายคนและหลายรุ่น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกตระกูลการเมืองเหล่านั้นสามารถทำการเมืองที่เข้ากับลักษณะของ dynasty politics ได้ บุคลิกลักษณะของการเมืองวงศ์ตระกูลโดยทั่วไปมักจะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

  1. ต้องมีการสืบทอดอำนาจภายในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยการสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นภายในครอบครัวเดียวกันอย่างเป็นระบบและมีการวางแผนล่วงหน้า สมาชิกครอบครัวที่มีศักยภาพถูกเตรียมพร้อมให้เข้ารับตำแหน่งทางการเมือง เช่น การเรียน-การศึกษาด้านการเมือง หรือการทำงานในตำแหน่งต่างๆ ในพรรคหรือรัฐบาล
  2. ตระกูลทางการเมืองต้องมีความสามารถในการควบคุมสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจ ครอบครัวที่มีอำนาจมักควบคุมสถาบันหลักของรัฐได้ เช่น กองทัพ ตำรวจ รัฐสภา และกระบวนการยุติธรรม เพื่อรักษาอำนาจและป้องกันการท้าทายจากฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมธุรกิจและทรัพยากรทางเศรษฐกิจสำคัญเพื่อสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์และความจงรักภักดีจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
  3. ต้องมีการใช้ระบบเครือญาติและเครือข่ายเป็นระบบปฏิบัติการ (modus operandi) การเมืองวงศ์ตระกูลมักพึ่งพาระบบเครือญาติและเครือข่ายผู้สนับสนุนที่มีความเชื่อมโยงใกล้ชิด ซึ่งอาจรวมถึงกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทหาร หรือกลุ่มชนชั้นนำที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน การเชื่อมโยงนี้ช่วยสร้างความมั่นคงและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  4. ต้องมีการสร้างความชอบธรรมผ่านการสร้างภาพลักษณ์และการควบคุมสื่อ ตระกูลการเมืองที่มีอำนาจมักใช้สื่อและกลไกการประชาสัมพันธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของครอบครัว รวมถึงการเล่าเรื่องที่ยกย่องความสามารถ ความกล้าหาญ หรือความเสียสละของสมาชิกในครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมและความนิยมในสังคม
  5. รักษาเสถียรภาพด้วยการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม การเมืองวงศ์ตระกูลมักมีการควบคุมหรือปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะผ่านนิติสงคราม การข่มขู่คุกคาม หรือการสั่งยุบพรรค เพื่อรักษาความมั่นคงและป้องกันการท้าทายอำนาจ
  6. แม้ว่าตระกูลการเมืองต่างๆ จะมุ่งเน้นการรักษาอำนาจของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ในหลายกรณีอาจมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับตัวเข้ากับความต้องการของคนรุ่นใหม่ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการสื่อสาร หรือการเสนอนโยบายที่เป็นมิตรกับประชาชนมากขึ้น
  7. มีการพึ่งพาอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเมืองวงศ์ตระกูลในบางประเทศมักพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจหรือพันธมิตรต่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า การลงทุน และการสนับสนุนทางการทูต เพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนด้วย ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันจากสังคมระหว่างประเทศที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ทั้งนี้ การสืบทอดอำนาจแบบนี้หากสามารถกระทำการผ่านระบบเลือกตั้งก็มีโอกาสที่จะมั่นคงและชอบธรรม มากกว่าการสืบทอดอำนาจผ่านวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เนื่องจากระบบเลือกตั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกผู้นำ และยังเป็นกระบวนการที่สามารถสร้างความชอบธรรมผ่านการรับรองจากประชาชนได้ แต่อีกนั่นแหละ หากการเลือกตั้งมีขึ้นอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง การสืบทอดอำนาจทางการเมืองผ่านสายโลหิตคงจะทำได้ยากขึ้น หรือบางทีการเลือกตั้งแบบนั้นนั่นเองที่เป็นภัยคุกคามต่อระบอบการเมืองวงศ์ตระกูล

ตระกูลการเมือง

มีตระกูลการเมืองของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ปรากฏว่าคนรุ่นลูกหลานสามารถไต่เต้าเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในตำแหน่งเดียวกับคนรุ่นพ่อ-แม่ได้ แต่หลายตระกูล ไม่ว่าจะเป็นในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่สิงคโปร์ พวกเขาไม่สามารถถ่ายทอดอำนาจทางการเมืองรุ่นต่อรุ่นได้อย่างต่อเนื่องถึงขนาดที่จะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นการเมืองวงศ์ตระกูลได้

ในกรณีของอินโดนีเซีย มีตระกูลการเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับภูมิภาคอยู่หลายตระกูลเช่น ซูการ์โน, ซูฮาร์โต, ยุดโดโยโน, คาล่า แต่บรรดาคนรุ่นหลังที่ขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองนั้นไม่ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มักจะเว้นระยะค่อนข้างนานจนอาจจะกล่าวได้ว่า ไม่ได้ใช้เครือข่ายและเส้นสายของคนรุ่นก่อนเลยก็ว่าได้ ประธานาธิบดีเมกาวะตี ซูการ์โน บุตรี ซึ่งชื่อก็บอกว่าเป็นลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนที่อยู่ในตำแหน่งระหว่างปี 1945-1967 นั้นต้องใช้เวลานานถึง 34 ปีกว่าที่เธอจะสามารถขึ้นมานั่งตำแหน่งเดียวกับพ่อได้ แปลว่านอกจากนามสกุลแล้วผู้เป็นพ่อไม่มีโอกาสจะได้ช่วยเหลือให้เธอได้รับตำแหน่งเลย

ตระกูลเมกาวาตีมีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองไปยังรุ่นถัดไปในช่วงการเมืองร่วมสมัย โดยลูกสาวของเมกาวาตี คือ ปวน มาฮารานี (Puan Maharani) ได้เข้าสู่วงการการเมืองและดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลอินโดนีเซีย ปัจจุบัน ปวน มาฮารานีเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ การสืบทอดอำนาจเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตระกูลเมกาวาตีในการรักษาความสัมพันธ์และอิทธิพลทางการเมืองของครอบครัว

แต่กรณีของซูฮาร์โตนั้นแม้ว่าเขาจะอยู่ในอำนาจนานถึง 30 ปี (1968-1998) แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการส่งไม้ต่อให้ทายาททางสายโลหิตของเขาได้ ลูกหลานของซูฮาร์โต โดยเฉพาะ ทอมมี่ ซูฮาร์โต (Tommy Suharto) และ ซิตี ฮาร์เดียนโต รุกมานา (Siti Hardiyanti Rukmana) หรือที่รู้จักในชื่อ มบัก ตูตุต (Mbak Tutut) ได้เข้าสู่วงการการเมืองและธุรกิจหลังจากที่ซูฮาร์โตลงจากอำนาจไปแล้ว ทอมมี่ ก่อตั้งพรรค Partai Berkarya ในปี 2016 และพยายามฟื้นฟูอิทธิพลทางการเมืองผ่านการลงสมัครรับเลือกตั้งและการเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ แต่อาจจะกล่าวได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จ

ความสำเร็จทางการเมืองของ ปราโบโว สุเบียนโต (Prabowo Subianto) อดีตลูกเขยซูฮาร์โต ซึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโค วิโดโด ในเร็วๆ นี้ ไม่เข้าข่ายการเมืองวงศ์ตระกูล (dynasty politics) อย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลสำคัญคือเขาสร้างฐานอำนาจทางการเมืองด้วยตนเอง

แม้ว่าปราโบโว สุเบียนโตจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลซูฮาร์โตผ่านการแต่งงานกับ ติติค์ ซูฮาร์โต (ลูกสาวของซูฮาร์โต) ในช่วงแรกของอาชีพ แต่ความสำเร็จทางการเมืองของเขาหลังจากปี 1998 เป็นผลมาจากความพยายามและการสร้างฐานสนับสนุนด้วยตนเองมากกว่าการสืบทอดอำนาจทางการเมืองผ่านครอบครัว การก่อตั้งพรรคเกอร์นดรา (Gerindra Party) ของเขาในปี 2008 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองที่เป็นอิสระจากตระกูลซูฮาร์โต และการสร้างชื่อเสียงทางการเมืองในแบบของตนเอง การเมืองสายตระกูล (dynasty politics) มักเกี่ยวข้องกับการสืบทอดตำแหน่งหรืออำนาจจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อไปภายในครอบครัวเดียวกัน เช่น ลูก หลาน หรือญาติพี่น้องที่ได้รับการเตรียมพร้อมให้สืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม ปราโบโวไม่ได้มีการสืบทอดอำนาจในลักษณะนี้ และการเติบโตทางการเมืองของเขาไม่ได้มาจากการเป็นสมาชิกในตระกูลที่มีอิทธิพลโดยตรง

นอกจากนี้แล้ว ปราโบโวมีแนวคิดทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยเน้นไปที่อุดมการณ์ชาตินิยม การปกป้องอธิปไตย และการฟื้นฟูความเป็นผู้นำของอินโดนีเซียในเวทีโลก เขาสามารถดึงดูดฐานเสียงที่กว้างขวางจากกลุ่มประชาชนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมและชาตินิยม ซึ่งไม่จำเป็นต้องอิงอยู่กับการสนับสนุนจากสายตระกูลหรือเครือญาติ

แม้ปราโบโวจะยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกบางคนของตระกูลซูฮาร์โต เช่น อดีตภรรยา ติติค์ ซูฮาร์โต และการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนเก่าของซูฮาร์โต แต่การดำเนินการทางการเมืองของเขามุ่งเน้นไปที่การสร้างพรรคและเครือข่ายใหม่มากกว่าการพึ่งพาการสนับสนุนจากตระกูลซูฮาร์โตอย่างเดียว

ปราโบโวได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีหลายครั้ง โดยพยายามสร้างตัวเองเป็นผู้นำที่เหมาะสมสำหรับอินโดนีเซียในยุคใหม่ การลงสมัครรับเลือกตั้งเหล่านี้ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจทางการเมืองในฐานะสมาชิกของตระกูลที่มีอิทธิพล แต่เป็นการพยายามชนะการเลือกตั้งโดยใช้แนวทางการหาเสียงที่เน้นความเป็นตัวเอง

ตระกูลยุดโดโยโน (Yudhoyono) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘ตระกูล SBY’ (จากชื่อของ ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน – Susilo Bambang Yudhoyono) อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2004-2014) ได้พยายามสืบทอดอำนาจทางการเมืองผ่านสมาชิกในครอบครัวของตน โดยเฉพาะลูกชายทั้งสองคนของเขา อากุส ฮารีมูร์ตี ยูโดโยโน หรือที่เรียกว่า AHY เป็นลูกชายคนโตของ SBY และถือเป็นทายาททางการเมืองของตระกูลยุดโดโยโน

AHY เคยเป็นนายทหารในกองทัพอินโดนีเซีย แต่ตัดสินใจลาออกในปี 2016 เพื่อเข้าสู่วงการการเมืองเต็มตัว AHY ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาในปี 2017 แม้ว่าเขาจะแพ้การเลือกตั้งครั้งนั้น แต่เขาได้รับความนิยมและได้รับการยอมรับว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ปัจจุบัน AHY เป็นหัวหน้าพรรคเดโมแครต และพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพรรคเพื่อดึงดูดผู้สนับสนุนรุ่นใหม่ เอ็ดดี้ บาสโก ยูโดโยโน (Ibas) ลูกชายคนเล็กของ SBY ก็มีบทบาทในการเมืองอินโดนีเซียเช่นกัน เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเดโมแครต Ibas มีความพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงทางการเมืองของตนเอง แต่ยังไม่ได้รับความนิยมและความสนับสนุนที่มากพอเท่ากับ AHY แต่ถึงตอนนี้ยังไม่อาจจะพูดได้ว่าตระกูลยุดโดโยโนประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนอำนาจตามคำนิยามของการเมืองวงศ์ตระกูล

ในมาเลเซีย มีองค์ประกอบของการเมืองวงศ์ตระกูล ในระดับหนึ่ง มีตระกูลการเมืองหลายตระกูลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองของประเทศมาเลเซีย แม้ว่าอิทธิพลของพวกเขาอาจไม่ชัดเจนและครอบงำเหมือนในประเทศอื่น มหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย (ครั้งแรกในปี 1981-2003 และครั้งที่สองในปี 2018-2020) แม้ว่าเขาจะไม่ได้สร้างการสืบทอดอำนาจทางการเมืองในครอบครัวโดยตรง แต่ลูกชายของเขา มูคริซ มหาเธร์ (Mukhriz Mahathir) ก็เข้าสู่การเมืองและมีบทบาทสำคัญ มูคริซเคยดำรงตำแหน่งมุขมนตรี (Chief Minister) ของรัฐเคดาห์ (Kedah) สองครั้งและมีบทบาทสำคัญในพรรคการเมืองต่าง ๆ เช่น UMNO และ Parti Pribumi Bersatu Malaysia (PPBM) ที่ก่อตั้งโดยมหาเธร์เอง

อับดุล ราซัค ฮุสเซน (Abdul Razak Hussein) เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองของมาเลเซีย (1970-1976) และลูกชายของเขา นาจิบ ราซัค (Najib Razak) ก็ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2009-2018 นาจิบมีบทบาทสำคัญในพรรค United Malays National Organisation (UMNO) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองหลักของมาเลเซียที่ครองอำนาจเป็นเวลาหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตาม อำนาจของเขาสิ้นสุดลงในปี 2018 ภายหลังความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งและเรื่องอื้อฉาวทางการเงินเกี่ยวกับกรณี 1MDB ซึ่งนำไปสู่การดำเนินคดีและการลงโทษทางกฎหมายต่อเขา

อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) เป็นนักการเมืองที่มีอิทธิพลในมาเลเซียและเป็นผู้นำฝ่ายค้านมาหลายปี ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันในปี 2022 ภรรยาของเขา วัน อาซิซาห์ วัน อิสมาอิล (Wan Azizah Wan Ismail) ก็มีบทบาททางการเมืองสำคัญเช่นกัน โดยเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค Parti Keadilan Rakyat (PKR) ลูกสาวของอันวาร์และวัน อาซิซาห์ นูร์อิซซะห์ อันวาร์ (Nurul Izzah Anwar) ก็เป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งลัมบะห์ปันไต

การเมืองในฟิลิปปินส์ก็ดูเหมือนจะมีองค์ประกอบของการเมืองวงศ์ตระกูลอยู่พอสมควร เพราะคนรุ่นลูกหลายคนประสบความสำเร็จจนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเดียวกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ได้ แต่ก็คล้ายๆ กับอินโดนีเซีย คือ ไม่มีความต่อเนื่อง แต่พอจะพูดได้ว่าพวกเขาได้อาศัยเส้นสายและเครือข่ายของตระกูลในการดำเนินงานทางการเมืองอยู่พอสมควร

เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) เป็นอดีตประธานาธิบดีเผด็จการที่ครองอำนาจในฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 1965 จนกระทั่งถูกโค่นอำนาจในปี 1986 ภายหลังการปฏิวัติ People Power Revolution หลังจากการล้มอำนาจ ตระกูลมาร์กอสได้กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปถึง 36 ปีโดยลูกชายของเขา เฟอร์ดินานด์ บองบอง มาร์กอส จูเนียร์ (Ferdinand ‘Bongbong’ Marcos Jr.) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในปี 2022 และได้พยายามฟื้นฟูอิทธิพลของตระกูลมาร์กอสในการเมืองระดับชาติอีกครั้ง

ตระกูลอาควิโนมีบทบาทสำคัญในการเมืองฟิลิปปินส์และถือว่าเป็นคู่แข่งหลักของตระกูลมาร์กอส โคราซอน อาควิโน (Corazon Aquino) กลายเป็นประธานาธิบดีในปี 1986 หลังจากโค่นล้มมาร์กอส และลูกชายของเธอ เบนิกโน นอยนอย อาควิโน ที่ 3 (Benigno “Noynoy” Aquino III) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ระหว่างปี 2010-2016 ตระกูลอาควิโนถูกมองว่าเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยและการต่อสู้กับการปกครองแบบเผด็จการในฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตาม การเมืองของพวกเขาก็ไม่ได้พ้นจากข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตหรือการใช้อำนาจในทางมิชอบ

โรดรีโก ดูเตอร์เต (Rodrigo Duterte) อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ (2016-2022) เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่มีนโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ดูเตอร์เตสร้างฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่งในฐานะอดีตนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา (Davao City) ก่อนเข้าสู่การเมืองระดับชาติ ลูกสาวของเขา ซารา ดูเตอร์เต-การ์ปิโอ (Sara Duterte-Carpio) ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ในปี 2022 และยังเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาเช่นกัน การเติบโตทางการเมืองของเธอแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสืบทอดอำนาจของตระกูลดูเตอร์เต

กลอเรีย มากาปากัล-อาร์โรโย (Gloria Macapagal-Arroyo) เป็นอดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ (2001-2010) เธอเป็นลูกสาวของ ดิออสดาโด มากาปากัล (Diosdado Macapagal) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี 1961-1965 ตระกูลนี้มีอิทธิพลในวงการการเมืองฟิลิปปินส์มานานหลายทศวรรษ แต่อาร์โรโยใช้เวลาค่อนข้างนาน คือ 34 ปี กว่าที่จะสามารถนั่งตำแหน่งเดียวกับพ่อ หลังจากลงตำแหน่งประธานาธิบดี  เธอยังคงมีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าคงไม่สามารถส่งต่ออำนาจนี้ไปให้ทายาททางสายโลหิตของเธอได้

มีหลายสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้ตระกูลทางการเมืองในฟิลิปปินส์ไม่สามารถถ่ายโอนอำนาจไปสู่รุ่นลูกได้ง่ายดายเหมือนที่อื่น กล่าวคือ การเมืองฟิลิปปินส์มีการแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างตระกูลการเมืองต่างๆ และพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอำนาจ ตระกูลการเมืองที่ครองอำนาจได้ไม่นานนักอาจถูกแทนที่โดยตระกูลอื่นหรือผู้เล่นการเมืองใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการดึงดูดฐานเสียงและมีความนิยมสูงกว่า เช่น ตระกูลอาควิโนที่ขึ้นมาแทนที่ตระกูลมาร์กอส นอกจากนี้ กฎหมายและรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว (6 ปี) ทำให้การสืบทอดอำนาจอย่างต่อเนื่องจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นถัดไปเป็นเรื่องท้าทาย นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายที่พยายามจำกัดอิทธิพลของการเมืองวงศ์ตระกูล แม้ว่ากฎหมายเหล่านี้จะยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่ก็ตาม

สิงคโปร์ อาจจะเป็นอีกที่หนึ่งซึ่งคนมักจะชอบคิดว่า การเมืองวงศ์ตระกูลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อพัฒนาการทางการเมือง เพราะลี กวนยู สามารถฝึกฝน ลี เซียนลุง ผู้เป็นลูกชายให้สามารถสืบทอดอำนาจทางการเมืองของเขาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี เซียนลุง ยังมีความเจริญก้าวหน้าไปมากกว่ายุคของพ่อของเขาเสียอีก

แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะพบว่าลี เซียนลุง ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์เพราะนามสกุล ผู้เขียนได้เคยมีโอกาสถามคำถามในประเด็นนี้กับเขาโดยตรง ซึ่งได้รับคำตอบว่า ลีผู้พ่อไม่ได้บังคับกะเกณฑ์ให้เขาต้องสืบทอดอำนาจแทน แต่หากเป็นที่ตัวเขาเองที่สนใจและก็ต้องผ่านการฝึกปรือไม่ใช่น้อย ตอนที่ลีผู้พ่อตัดสินใจลงจากอำนาจในปี 1990 ลี เซียนลุง มีอายุ 38 ปี (เท่ากับแพทองธารตอนนี้พอดี) แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพ่อในทันที หากแต่ทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีให้กับ โก๊ะ จกตง เพื่อเรียนรู้งานอีกเป็นเวลาถึง 14 ปี ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วเขามีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกประการ ทั้งในแง่สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ลี เซียนลุง เรียนจบปริญญาตรีทางคณิตศาสตร์ได้เกียรตินิยม ประกาศนียบัตร (สมัยนี้ก็เท่ากับปริญญาโท) วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เขาเคยเป็นทหาร เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลก่อนๆ

ลี เซียนลุง อยู่ในอำนาจนาน 20 ปี (ลี กวนยู อยู่นาน 31 ปี) แต่ตระกูลลีของเขาก็ไม่สามารถถ่ายทอดอำนาจทางการเมืองต่อไปอีก เพราะไม่มีใครสนใจอำนาจทางการเมืองแล้ว ลี เซียนหยาง (Lee Hsien Yang) น้องชายของลี เซียนลุง มีบทบาทในวงการธุรกิจและเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Singtel ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมใหญ่ของสิงคโปร์ แต่เขาไม่ได้มีบทบาทในวงการการเมืองโดยตรง นอกจากนี้ ลี เซียนหยางและครอบครัวลีบางส่วนยังมีข้อขัดแย้งทางการเมืองและส่วนตัวกับลี เซียนลุง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินของลี กวน ยู ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ค่อยราบรื่น

ลูกหลานของลี เซียนลุงเองอันได้แก่ลูกชายสองคนของลี เซียนลุง ได้แก่ ลี หงยี (Li Hongyi) และ ลี หวนเวย (Li Huanwei) ทั้งคู่ไม่ได้แสดงความสนใจต่อวงการการเมืองอย่างชัดเจน ลี หงยี ทำงานในภาคเทคโนโลยีและเป็นที่รู้จักจากบทบาทของเขาในด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและข้อมูลของรัฐบาล แต่เขาได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีความสนใจที่จะเข้าสู่วงการการเมือง ส่วน ลี หงเวย เป็นนักวิชาการที่มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ผู้นำรุ่น 4 ของสิงคโปร์จึงกลายเป็น ลอเรนซ์ หว่อง ทำให้อำนาจทางการเมืองหลุดออกจากตระกูลลีไปในที่สุด

การสืบทอดอำนาจที่สมบูรณ์แบบ

การเมืองวงศ์ตระกูลที่สมบูรณ์แบบที่สุดอยู่ในประเทศที่เคยขัดแย้งหนักหน่วงถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่นอย่างกัมพูชา เมื่อ ฮุน เซน และตระกูลการเมืองอื่นๆ ประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนอำนาจและตำแหน่งไปสู่รุ่นลูกได้อย่างราบรื่นหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023

ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตของฮุน เซน รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากพ่อด้วยวัย 46 ปี ซึ่งก็ดูจะเป็นวัยที่มีความพร้อมถึงขีดสุด แม้ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้เพราะนามสกุล แต่เชื่อได้ว่าในกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้านไม่มีใครกล้าดูแคลนความรู้ความสามารถของฮุน มาเนต แน่นอน เขาได้รับการศึกษาด้านการทหารและเศรษฐศาสตร์จากต่างประเทศ และเป็นผู้บัญชาการทหารในกองทัพกัมพูชามาก่อนที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ตระกูลฮุนก็ไม่ได้มีแต่มาเนตเท่านั้นที่มีตำแหน่งในรัฐบาล ฮุน มานี บุตรชายคนสุดท้องของฮุน เซน ก็ได้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงข้าราชการพลเรือนในรัฐบาลของพี่ชายด้วย

การเมืองวงศ์ตระกูลในกัมพูชามีความสมบูรณ์แบบกว่าที่อื่นในภูมิภาคนี้ เพราะไม่เพียงแต่ตระกูลฮุนจะประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนอำนาจจากรุ่นพ่อสู่ลูกเท่านั้น ตระกูลอื่นๆ ที่เป็นทั้งเครือข่ายและเป็นคู่แข่งกันอยู่ก็ประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนอำนาจแบบเดียวกันพร้อมๆ กัน กล่าวคือ ซอ เค็ง สามารถส่งมอบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยให้ ซอ สุขา บุตรชายได้ ทำนองเดียวกัน เตีย บัณห์ ก็มอบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมให้กับ เตีย สีหะ ด้วยเหมือนกัน

ในทำนองเดียวกัน มีรัฐมนตรีอีก 8 คนในคณะรัฐมนตรีของฮุน มาเนต ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนพ่อหรือในโควตาที่สืบทอดจากครอบครัวในกระทรวงต่างๆ ตัวอย่างเช่น ดิต ตินา ลูกชายของ ดิต มุนตี อดีตประธานศาลฎีกา ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมง, ชัย ฤทธิเสน ลูกชายของ ชัย ตัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาชนบท, และ จาม นิมน ที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต่อจาก จาม ประสิทธิ์ ผู้เป็นพ่อ นอกจากนี้ เจีย ซอมที ลูกชายของ เจีย ซิม อดีตประธานพรรคประชาชนกัมพูชาและอดีตประธานวุฒิสภา ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมและเยาวชน, สาย สมอาล ลูกชายของ สาย ชุม อดีตประธานวุฒิสภาอีกคนหนึ่ง ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน ผังเมือง และการก่อสร้าง และ ซก สกล ลูกชายของ ซก อัน อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้สนับสนุนคนสำคัญของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีที่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นเครือญาติกับตระกูลฮุนโดยตรง เช่น แก้ว รัตนะ ซึ่งเป็นคนสนิทของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน, เนท เพียะตรา หลานของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ, และ เชียง ลา หลานเขยของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ยังมีตำแหน่งอื่นๆ ที่สืบทอดผ่านสายเลือด เช่น เจีย เสรย ลูกสาวของ เจีย จันโท ที่ได้รับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางกัมพูชาแทนที่พ่อของเธอ

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การเมืองวงศ์ตระกูลของกัมพูชานั้นมีความสมบูรณ์แบบอาจแบ่งได้ห้าประการ ได้แก่

ประการแรก การควบคุมสถาบันรัฐและทรัพยากรที่แข็งแกร่ง ตระกูลฮุนและเครือข่ายของตระกูลสามารถควบคุมสถาบันหลักของรัฐอย่างกองทัพ ตำรวจ ศาล และหน่วยงานราชการอื่นๆ อย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลในการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการควบคุมทรัพยากรและกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่เป็นพวกพ้องบริวาร ที่สนับสนุนการเมืองของตระกูล การควบคุมที่มีประสิทธิภาพนี้ช่วยให้ตระกูลฮุนสามารถรักษาอำนาจได้อย่างยาวนานและมั่นคง

ประการที่สอง การจัดการกับฝ่ายค้านและการควบคุมสื่อ รัฐบาลภายใต้การนำของตระกูลฮุนได้ใช้วิธีการต่างๆ ในการควบคุมและปราบปรามฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เช่นพรรคสงเคราะห์ชาติ หรือห้ามพรรคแสงเทียนลงเลือกตั้ง รวมไปถึงการจับกุมผู้นำฝ่ายค้านหรือการควบคุมสื่อสารมวลชน ซึ่งทำให้สามารถลดการท้าทายจากกลุ่มอื่นๆ ที่อาจแย่งชิงอำนาจได้

ประการที่สาม การสนับสนุนจากพันธมิตรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ตระกูลฮุนและรัฐบาลกัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่ให้การสนับสนุนทางการเงิน การลงทุน และการทหาร ความสัมพันธ์นี้ช่วยให้รัฐบาลกัมพูชาสามารถหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากชาติตะวันตกเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย อีกทั้งเสริมสร้างความมั่นคงของการเมืองวงศ์ตระกูล

ประการที่สี่ การสืบทอดอำนาจที่ไม่ถูกท้าทายอย่างจริงจัง แม้จะมีความไม่พอใจในหมู่ประชาชนบางส่วน แต่ตระกูลฮุนและเครือข่ายพวกพ้องบริวารของเขา สามารถรักษาอำนาจโดยรวมได้อย่างมั่นคง และไม่มีการท้าทายที่รุนแรงหรือประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาล ทำให้การสืบทอดอำนาจของตระกูลฮุนเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ถูกขัดขวางจากภายนอกหรือภายใน

ประการที่ห้า มีการจัดการกับการรับรู้และความเชื่อของประชาชน โดยตระกูลฮุนใช้การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะผู้ปกป้องชาติและศาสนา ซึ่งช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของพวกเขาในสายตาของประชาชน

บทสรุป

การเมืองวงศ์ตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบบที่เป็นอยู่ในกัมพูชาและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มองได้ทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่มากมายหลายประการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของประเทศและสภาพสังคมการเมืองของแต่ละที่ด้วยเหมือนกัน

หากจะมองในแง่ดี การเมืองแบบนี้ทำให้เกิดความต่อเนื่องและเสถียรภาพทางการเมือง การสืบทอดอำนาจในครอบครัวเดียวกันสามารถสร้างความต่อเนื่องในนโยบายและการปกครอง ทำให้ประเทศมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้ง ครอบครัวการเมืองที่สืบทอดอำนาจสามารถรักษาและขยายความสำเร็จของนโยบายที่บรรพบุรุษวางไว้ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในความต่อเนื่องของการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้า

ประการต่อมาคือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากรุ่นก่อน ผู้นำที่สืบทอดอำนาจมักจะมีความรู้และประสบการณ์ทางการเมืองที่ได้มาจากรุ่นก่อน ซึ่งสามารถทำให้การบริหารประเทศเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสั่งสมประสบการณ์และเครือข่ายทางการเมืองจากบิดาหรือญาติที่มีอำนาจมาก่อน ทำให้ผู้นำรุ่นใหม่สามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้ง่ายและรวดเร็ว

ประการที่สาม คือ การสร้างความมั่นคงทางสังคม การเมืองวงศ์ตระกูลมักจะเชื่อมโยงกับการสร้างความรู้สึกมั่นคงในสังคม โดยเฉพาะในประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของการปกครองแบบสายตระกูล ซึ่งประชาชนอาจเชื่อว่าผู้นำจากครอบครัวเดียวกันสามารถรักษาเสถียรภาพและสืบสานวัฒนธรรมที่ดีของชาติ

ประการที่สี่ การสนับสนุนทางการเงินและทรัพยากรที่แข็งแกร่ง ตระกูลการเมืองมักมีทรัพยากรทางการเงินและเครือข่ายสนับสนุนที่มั่นคง ทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันในการเลือกตั้งหรือบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนจากธุรกิจครอบครัวหรือพันธมิตรที่มีมายาวนานช่วยให้ผู้นำจากตระกูลการเมืองสามารถดึงทรัพยากรมาใช้ในการพัฒนาประเทศหรือการดำเนินนโยบายได้อย่างรวดเร็ว

แต่ข้อเสียของการเมืองแบบวงศ์ตระกูลก็มีไม่น้อยเช่นกันหรือบางทีอาจจะมากกว่าข้อดีเสียด้วยซ้ำไป แรกที่สุดเลยคือการผูกขาดอำนาจและการไม่เปิดกว้างทางการเมือง การสืบทอดอำนาจในครอบครัวเดียวอาจนำไปสู่การผูกขาดอำนาจ ทำให้ประชาธิปไตยหรือระบบการเมืองที่เปิดกว้างถูกจำกัด เพราะผู้นำรุ่นใหม่มาจากตระกูลเดิมซ้ำๆ ทำให้ขาดการปรับเปลี่ยนหรือการพัฒนาผู้นำที่มีความสามารถจากกลุ่มอื่น การสืบทอดอำนาจในตระกูลเดียวกันอาจนำไปสู่การสร้าง ‘ชนชั้นนำทางการเมือง’ ที่จำกัดการเข้าถึงอำนาจของคนภายนอก และไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาเป็นผู้นำ

อย่างที่สอง มีความเสี่ยงต่อการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างยิ่ง ตระกูลการเมืองที่มีการสืบทอดอำนาจกันในครอบครัวเดียวกันมักถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตและใช้อำนาจในทางที่ผิด เพราะระบบการตรวจสอบและสมดุลอาจถูกลดทอนหรือถูกควบคุมโดยครอบครัวเดียวกัน ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างครอบครัวที่มีอำนาจและธุรกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ อาจเกิดขึ้น ทำให้การบริหารประเทศเกิดการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

ต่อมาคือการขาดความหลากหลายทางการเมืองและนโยบาย การสืบทอดอำนาจในครอบครัวเดียวกันมักนำไปสู่การขาดความหลากหลายของแนวคิดและนโยบาย ทำให้นโยบายที่เคยใช้แล้วอาจถูกใช้ต่อไปโดยไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคมหรือเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศหยุดพัฒนาในบางด้าน การขาดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจใหม่ๆ อาจเกิดขึ้น เนื่องจากผู้นำจากตระกูลเดียวกันมักจะสืบสานนโยบายที่สอดคล้องกับแนวทางของครอบครัว ทำให้ขาดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการแก้ปัญหาใหม่ๆ

ที่เลวร้ายที่สุด คือ การเมืองวงศ์ตระกูลอาจจะสร้างความขัดแย้งในสังคมได้ง่าย หากประชาชนรู้สึกว่ามีการผูกขาดอำนาจหรือการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มตระกูลที่มีอำนาจอยู่แล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่พอใจและเกิดการลุกฮือประท้วง การแบ่งแยกทางชนชั้นและการมีอภิสิทธิ์พิเศษของครอบครัวการเมืองที่สืบทอดอำนาจอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในบางประเทศตอนนี้ สามารถสร้างความเหลื่อมล้ำและความรู้สึกไม่เท่าเทียมในสังคมได้

ตารางตระกูลการเมืองในอุษาคเนย์

อินโดนีเซีย

รุ่นที่ 1ประธานาธิบดี ซูการ์โน (1945-1967)ประธานาธิบดี ซูฮาร์โต (1968-1998)ประธานาธิบดี ยุโดโยโน (2004-2014)
รุ่นที่ 2ประธานาธิบดี เมกาวาตี (2001-2004)– ทอมมี่ (ตั้งพรรคเล่นการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น)

– มบัก ตุตุ๊ด (ไม่ประสบความสำเร็จ)
– ออกุส (ลูกชายคนโต) ลาออกจากราชการทหารเพื่อเล่นการเมืองในปี 2016 สมัครผู้ว่าจาร์กาตาร์แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

– เอ็ดดี้ (ลูกชายคนเล็ก) ยังไม่ประสบความสำเร็จ
รุ่นที่ 3ประธานสภา ปวน มหารานี (2019-2024)ประธานาธิบดี บราโบโว ซูเบียงโต (2024-)

– แต่งงานกับติติก ซูฮาร์โตแต่แยกทางกัน

– ซูเบียงโต เติบโตทางการเมืองด้วยตัวเองมากกว่าจะอาศัยอิทธิพลซูฮาร์โต แม้ว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาอดีตภรรยาจะสนับสนุน เขาตั้งพรรคเกอร์รินดาในปี 2008 (10 ปีหลังยุคซูฮาร์โต)
 

ฟิลิปปินส์

รุ่นที่ 1ประธานาธิบดี มากาปกัล (1961-1969)ประธานาธิบดี โคราซอน อควิโน (1986-1992)ประธานาธิบดีมาร์คอส (1965-1986)ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต (2016-2022)
รุ่นที่ 2ประธานาธิบดี กอเรีย โอโรโย (2001-2010)ประธานาธิบดี เบนนิกโย (นินอย) 2010-2016)ประธานาธิบดี มาร์คอส จูเนียร์ (บองบอง) (2022-ปัจจุบัน)รอง ประธานาธิบดี ซารา ดูเตอร์เต (2022-ปัจจุบัน)

มาเลเซีย

รุ่นที่ 1รนม. มหาเธร์ โมฮัมหมัด (1981-2009, 2018-2020)รนม. อับดุล ราซัค ฮุสเซน (1970-1976)นรม. อันวาร์ อิบราฮิม (2022)
รุ่นที่ 2มูคริส (มุขมนตรีรัฐเคดะห์) 2 สมัยรนม. นาจิบ ราซัค (2009-2018)วัน อาซิสซะ (ภรรยา เป็น สส. และ รอง นรม. 2018-2020)  
รุ่นที่ 3นูร์อิสซะ (ลูกสาว เป็น สส.)

กัมพูชา

สายเลือดความสัมพันธ์ทายาทตำแหน่งปัจจุบัน
ฮุน เซนพ่อฮุน มาเนทนายกรัฐมนตรี
ฮุน มานีรองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีข้าราชการพลเรือน
ฮุน มานิตหัวหน้าข่าวกรองทหาร
ซอ เค็งพ่อซอ สุขารองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีมหาดไทย
เตีย บัญพ่อเตีย สีหะรองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีกลาโหม
พี่ชายเตีย วิญผู้บัญชาการทหารเรือ
ลุงเตีย สุขา (ลูกของ เตีย วิญ)รองผู้บัญชาการทหารเรือ
ดิต มุนตีพ่อดิต ตินารัฐมนตรีเกษตร
ชัย ตันพ่อชัย ฤทธิเสนรัฐมนตรีพัฒนาชนบท
จาม ประสิทธิ์พ่อจาม นิมนรัฐมนตรีพาณิชย์
เจีย ซิมพ่อเจีย ซอมทีรัฐมนตรีสังคม
สาย ชุมพ่อสาย สมอาลรัฐมนตรีที่ดิน
ซก อันพ่อซก สกลรัฐมนตรีท่องเที่ยว
เมน ซัม อานพ่อเพ็ง โพเนียรัฐมนตรีโยธาธิการและขนส่ง
เจีย จันโทพ่อเจีย เสรยผู้ว่าการธนาคารแห่งกัมพูชา

ที่มา: รวบรวมโดยผู้เขียน

MOST READ

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save