‘ความขัดแย้ง’ ในพื้นที่การเมืองอยู่ร่วมกับคนไทยและสังคมไทยมายาวนานหลายทศวรรษ ชนิดที่สร้างความรู้สึก ‘เคยชิน’ กับความขัดแย้งรุนแรงที่ทำลายล้างผู้คนได้หลากแง่มุม
จากสงครามเหลือง-แดง รัฐประหาร 2557 เกิดระบอบประยุทธ์ การเปลี่ยนผ่านยุคสมัย เศรษฐกิจตกต่ำ นิติสงครามครั้งใหม่ แรงกดดันทั้งหมดระเบิดออกมาเป็นการชุมนุมปี 2563-2564 อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ข้อเรียกร้องการประท้วงของประชาชนถูกดันเพดานขึ้นไปสูงและกว้างกว่าช่วงสงครามสีเสื้อ อันเป็นจุดหมายว่าการเมืองไทยกำลังเปลี่ยนแปลง
หลังการเลือกตั้ง 2566 มีการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่จับขั้วข้ามฝั่ง จากที่เคยเป็นศัตรูก็กอดคอบอกรักดั่งไม่เคยมีอดีตบาดหมาง เพียงเพราะมี ‘ศัตรูที่ใหญ่กว่า’ ส่วนฝั่งมวลชนก็เกิดภาพการจับมือของอดีตเสื้อเหลือง-เสื้อแดง คนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ กระทั่งคนที่เคยเป็นศัตรูแบบไม่เผาผีกัน
ภาพทั้งหมดนี้กำลังบอกเราว่า ความขัดแย้งการเมืองไทยเคลื่อนจากพื้นที่ความเข้าใจเดิม ไปสู่พื้นที่ใหม่ที่ยังรอการทำความเข้าใจให้ชัดเจนขึ้น
คู่ขัดแย้งหลักคือใคร ปัจจัยแบบไหนที่แบ่งคนให้ยืนต่างฝั่ง อุดมการณ์แบบไหนกำลังปะทะกันในความขัดแย้งนี้ ความเข้าใจเรื่องฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวาในการเมืองไทยแบบเดิมยังใช้ได้อยู่ไหม วันโอวันนำคำถามเหล่านี้ไปชวนสนทนากับ ผศ.ดุลยภาพ จาตุรงคกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สนใจเรื่องการแบ่งขั้วทางการเมืองและความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์
คำตอบโดยรวบรัด ดุลยภาพมองว่าการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงจากความขัดแย้งระหว่างมวลชนกับมวลชน เป็นความขัดแย้งระหว่างมวลชนกับชนชั้นนำ ซึ่งหมายรวมถึงชนชั้นนำทางการเมืองด้วย เป็นความไม่ลงรอยของวิถีทางการเมืองแบบ ‘การเมืองที่มวลชนเป็นใหญ่’ กับ ‘การเมืองของชนชั้นนำ’ โดยด้านหนึ่งคืออุดมการณ์เสรีนิยมที่เป็นประชาธิปไตย อีกด้านคืออุดมการณ์อนุรักษนิยมแบบเข้มข้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
เหตุใดเขาจึงวิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองเช่นนี้ คำตอบอยู่ในบทสนทนาถัดจากนี้

ความขัดแย้งทางการเมืองไทยปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากยุคเหลืองแดง โดยเฉพาะหลังเลือกตั้ง 2566 และการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว หากจะทำความเข้าใจความขัดแย้งที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้จะอธิบายอย่างไร คู่ขัดแย้งหลักคืออะไร
หากมองที่การจับขั้วของพรรคการเมือง คนอาจสนใจเรื่องการดีลกันของนักการเมือง แต่ที่น่าสนใจกว่าคือฐานเสียงพรรคการเมืองเหล่านี้อาจรู้สึกว่าการดีลสลับขั้วไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งหายไป หรือไม่ได้มองว่านักการเมืองพวกนี้เป็นตัวแทนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
จากเดิมที่ผู้แทนมีมวลชนของตัวเองอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามวลชนแต่ละกลุ่มสามารถรวมกันได้ทั้งที่อาจเคยมีอุดมการณ์ต่างกัน การรวมตัวนี้เกิดขึ้นเพื่อต้านการเมืองระดับพรรคการเมือง เพราะเขาไม่แฮปปี้กับนักการเมืองที่เคยบอกว่าตัวเองยึดอุดมการณ์แบบหนึ่ง แต่ไปดีลจับขั้วกับฝ่ายตรงข้าม มวลชนจึงมองว่านักการเมืองเหล่านี้และมวลชนจำนวนหนึ่งที่ยังสนับสนุนพวกเขานั้นแท้จริงแล้วคือคู่ขัดแย้ง
เห็นได้ชัดจากกรณีพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นพรรคของ ‘ฝั่งประชาธิปไตย’ ประกอบด้วยมวลชนคนเสื้อแดงและผู้คนอีกจำนวนมากที่ยึดอุดมการณ์แบบประชาธิปไตยอย่างหนักแน่น แต่ตอนนี้มวลชนจำนวนมากต้องการเกมการเมืองแบบใหม่ แบบที่ชนชั้นนำไม่ได้กำหนดกฎกติกาอยู่ฝ่ายเดียว แต่มวลชนมีส่วนสำคัญในการทำให้นักการเมืองตระหนักในอุดมการณ์มากขึ้น การข้ามขั้วไปจับมือกับพรรคจาก ‘ฝั่งเผด็จการทหาร’ ทำให้พรรคเพื่อไทยขาดความน่าเชื่อถืออย่างปฏิเสธไม่ได้
คู่ขัดแย้งหลักตอนนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างมวลชนกับมวลชน แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างมวลชนกับชนชั้นนำทางการเมือง (political elites) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนักการเมืองและคนใหญ่คนโตที่คอยหนุนหลัง ระหว่างพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าสามารถหลอมรวมอุดมการณ์อันหลากหลายของมวลชนกับพรรคที่ดำเนินเกมการเมืองแบบที่ชนชั้นนำต้องการ และระหว่างการเมืองที่มวลชนเป็นใหญ่ (mass politics) ซึ่งสะท้อนความต้องการที่จะทำให้อีลีตตอบสนองประชาชนมากขึ้นกับการเมืองของชนชั้นนำ (elite politics) ซึ่งขับเคลื่อนโดยผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมือง นายทุน และผู้มีอิทธิพลต่างๆ เห็นได้ว่าการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายบนฐานของเนื้อหาเชิงอุดมการณ์ที่ต่างกันอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจความขัดแย้งในปัจจุบัน
เดิมทีความขัดแย้งเหลืองแดงสะท้อนถึงความแตกต่างในเชิงชนชั้นทางสังคมและในเชิงภูมิภาค ซึ่งมวลชนที่สังกัดชนชั้นและมาจากภูมิภาคที่ต่างกันก็มักมีค่านิยมและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน คนเสื้อเหลืองเป็นมวลชนกลุ่มชนชั้นกลางค่อนบนในเมือง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ หรือในแง่ภูมิภาคก็จะมาจากทางภาคใต้ อุดมการณ์จะออกแนวอนุรักษนิยมหรือเสรีนิยมที่ค่อนไปทางขวา ส่วนคนเสื้อแดงจำนวนมากมาจากภูมิภาคที่ด้อยพัฒนากว่า มีการกระจายรายได้เข้าไปน้อยกว่ากรุงเทพฯ หรือภาคใต้ เป็นชนชั้นกลางค่อนล่าง มีอุดมการณ์ที่ค่อนไปทางซ้ายกว่า เน้นความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ไม่ถึงขั้นสังคมนิยม แต่ตอนนี้คนจากต่างชนชั้นและต่างภูมิภาคสามารถรอมชอมกันได้เพื่อการเมืองที่มวลชนเป็นใหญ่และขับเคลื่อนโดยอุดมการณ์อย่างแท้จริง ต่อให้เดิมทีมีอุดมการณ์ที่ถึงขั้นปะทะกันอย่างรุนแรง
หากมองว่าคู่ขัดแย้งคือมวลชนกับชนชั้นนำทางการเมือง น่าสนใจว่ากรณีทักษิณ ชินวัตรที่เคยเป็นผู้นำทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง เคยมีการสนับสนุนจากการชนะเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก แต่ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคเพื่อไทยไม่ชนะเลือกตั้งอย่างในอดีตและพรรคก้าวไกลขึ้นมาแทน คำถามคือทำไมทักษิณยังรู้สึกว่าการกลับไทยในปี 2566 ของเขาเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เป็นเรื่องปกติที่มวลชนเสื้อแดงควรเข้าใจ ทั้งที่ตอนนี้เขาไม่สามารถหากินกับแบรนด์ดิ้งเสียงข้างมากเป็นใหญ่หรือประชาธิปไตยกินได้แบบในอดีตแล้ว เพราะพรรคของเขาไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง ผมมองว่าตอนนี้เขามีฐานการสนับสนุนอื่นที่ไม่ได้มาจากประชาชน เดิมทีพรรคเขาอิงกับเสียงของประชาชน (vox populi) แต่ตอนนี้เขาไปพึ่งอำนาจเชิงบารมี (auctoritas) ที่ไม่ได้อิงประชาชน
พอชนชั้นนำมองว่าพรรคก้าวไกลเป็นภัยต่อเกมการเมืองที่พวกเขาหวังจะรักษาจึงดึงทักษิณเข้ามาเป็นพวก ทำให้ทักษิณรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งการสนับสนุนจากประชาชน ทำให้ฐานเสียงเขาจำนวนมากไม่พอใจ มวลชนที่เดิมเคยอยู่ข้างทักษิณก็อาจไปรวมตัวกับคนที่เคยต้านทักษิณได้ เป็นการรวมตัวของมวลชนที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน แต่รวมกันได้เพราะมองว่าตอนนี้สิ่งที่ไม่ตอบโจทย์คือ เกมการเมืองของชนชั้นนำ จึงไม่แปลกว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงกลายเป็นพรรคมวลชน (mass party) ต่อให้ก้าวไกลมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนเป็นของตัวเองก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าซ้ายขวาหลากหลายเฉดต่างฝากความหวังไว้กับก้าวไกล
พอบอกว่าคู่ขัดแย้งคือมวลชนกับชนชั้นนำ แต่ฝ่ายชนชั้นนำเองก็มีมวลชนสนับสนุนเช่นกัน มีวิธีคิดอะไรเบื้องหลังที่แบ่งแยกคนออกเป็นสองฝ่ายเช่นนี้
หากมองในเชิงอุดมการณ์ฝั่งชนชั้นนำยังมีมวลชนสนับสนุนอยู่ แต่ไม่ใช่มวลชนส่วนมาก เป็นมวลชนส่วนน้อยที่มีอุดมการณ์ขวาจัด เขาไม่รู้หรอกว่านักการเมืองพวกนี้มีอุดมการณ์หรือไม่ เดิมทีอาจเกลียดทักษิณก็ได้ แต่เขารู้สึกว่านักการเมืองพวกนี้สามารถปกป้องสถาบันฯ ประเพณีอันดีงามของชาติไทยจากพรรคการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามได้
พรรคการเมืองขั้วตรงข้ามก็คือพรรคส้ม (ก้าวไกล-ประชาชน) ในการเลือกตั้ง 2566 คนมองว่าเพื่อไทยน่าจะได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่กลายเป็นว่าก้าวไกลชนะเลือกตั้ง นี่คือภาพสะท้อนว่ามวลชนมองพรรคส้มเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ชัดเจน เป็นพรรคที่ทำให้การเมืองเป็นเรื่องอุดมการณ์ ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ เพราะพรรคที่เคยราวกับว่ามีอุดมการณ์ชัดเจนอย่างประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยนั้นตอนนี้ก็เริ่มไม่ชัดเจนแล้ว
ผมมองว่าขวาตกขอบ คนที่มีความเป็นชาตินิยมหรืออนุรักษนิยมแบบไม่ประนีประนอม คนที่บูชาตัวบุคคลมากกว่าตระหนักในอุดมการณ์โดยรวมของพรรค หรือคนที่ไม่แคร์เรื่องอุดมการณ์เลย คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะยึดติดกับชนชั้นนำและพรรคการเมืองแบบเดิม
มองย้อนไปตอนสงครามเสื้อสีแดง-เหลือง ผู้สนับสนุนมองว่าพรรคเพื่อไทย (รวมถึงไทยรักไทย-พลังประชาชน) มีอุดมการณ์ชัดเจน เป็นพรรคที่ชูแนวคิดประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ชูเลือกตั้งนิยม (electoralism) ส่วนฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็นประชาธิปไตยเสียงข้างมากที่ทำให้เสียงส่วนน้อยเสียเปรียบแบบถาวร เพราะตราบใดที่พรรคชนะเลือกตั้งอ้างความเป็นเสียงข้างมากในการกำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมืองซึ่งเป็นเสียงส่วนน้อย เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ที่เพื่อไทยทำแบบนั้นได้เพราะมีเหตุผลรองรับคือเรื่องอุดมการณ์แบบประชาธิปไตยที่อิงการเลือกตั้งเป็นหลัก อิงกับจำนวน เพื่อไทยมองว่าตัวเองชอบธรรมเพราะมีจำนวนมากกว่า พลังของจำนวนทำให้คนจากชนชั้นกลางถึงล่างสามารถส่งเสียงในทางการเมืองได้ จากเดิมที่กลุ่มนี้ไม่มีเสียง นี่เป็นอุดมการณ์ที่เน้นไปที่เสียงประชาชน
หากอุดมการณ์ของเพื่อไทยคือการยึดกับการเลือกตั้งและเสียงข้างมาก เมื่อเพื่อไทยไม่ได้เสียงข้างมากแล้วอุดมการณ์ของเขาจึงไม่ชัดเจน แล้วพอไปจับขั้วกับฝั่งที่เดิมมองว่าเขาไม่ชอบธรรมเพราะไม่ใช่เสียงจากประชาชน มวลชนจึงรู้สึกว่าพรรคและผู้นำที่เคยเชียร์มาตลอดไม่มีอุดมการณ์ คนที่มีอุดมการณ์จริงๆ คือประชาชนต่างหาก ไม่ใช่นักการเมือง
ความขัดแย้งในอดีตมีชนชั้นนำทางการเมืองต่างขั้วและแต่ละขั้วมีมวลชนสนับสนุนที่ยึดโยงกันด้วยอุดมการณ์บางอย่าง จึงเป็นการปะทะของอุดมการณ์ที่ต่างกัน ในอดีตเพื่อไทยมีความเป็นซ้ายในบางมิติ ไม่ใช่ซ้ายสังคมนิยม แต่เป็นซ้ายแบบที่ต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นล่าง ต้องการให้เสียงกับชนชั้นล่าง โดยไม่กระทบโครงสร้างระบบทุนนิยมมากเกินไป ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเรื่อยมาก็มีนโยบายเชิงรัฐสวัสดิการ อาจจะไม่ใช่รัฐสวัสดิการเต็มตัว แต่มันไม่ใช่แค่ประชานิยม เพราะคนรากหญ้ารู้สึกว่าชีวิตเขาดีขึ้นในระยะยาวจริงๆ เป็นเหมือนพรรคแรงงานแบบพื้นฐาน ไม่ใช่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเต็มตัว
แต่เมื่อมีการจับขั้วของเพื่อไทย, ประชาธิปัตย์, รวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ สะท้อนให้เห็นการไม่มีอุดมการณ์ของคนพวกนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้คือความขัดแย้งของมวลชนที่ต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของการขัดแย้งแลกเปลี่ยนของอุดมการณ์กับนักการเมืองที่แค่ต้องการรวมตัวกันเพื่อเป็นรัฐบาลและไม่เสียอำนาจนำ
ความขัดแย้งตอนนี้ไม่ใช่เรื่องชนชั้นทางสังคม มีมวลชนไม่ว่าจะจากชนชั้นไหน ภูมิภาคไหน เพศสภาพไหน กลุ่มอายุไหน เขามารวมกันภายใต้พรรคที่เขาคิดว่าจะทำให้เกิดการเมืองประชาธิปไตยแบบใหม่ ซึ่งคือพรรคส้ม เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์และความเป็นปฏิปักษ์กับอุดมการณ์ขวาจัดชัดเจน ประชาธิปไตยแบบทักษิณไม่ใช่ทางเลือกของ ‘ฝั่งประชาธิปไตย’ อีกต่อไปแล้ว
ทำไมคนที่เคยเป็นเสื้อเหลืองหรือ กปปส. จึงเปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคส้มที่ซ้ายกว่าเพื่อไทย
หลายคนมองว่าเป็นพรรคส้มมีอุดมการณ์ซ้ายมากกว่าเพื่อไทย ไม่ว่าจะเรื่องการชูรัฐสวัสดิการ การกระจายอำนาจ และการต้านระบบอุปถัมภ์ทุกรูปแบบ แต่จุดขายที่แท้จริงอยู่ที่ศักยภาพของพรรคในการเป็นตัวแทนที่ไม่ครอบงำของมวลชน นั่นก็คือการทำให้มวลชนรู้สึกเป็นใหญ่ในการเมือง ฉะนั้น คนกลุ่มนี้ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของอุดมการณ์ แต่อย่างน้อยพรรคส้มพยายามทำให้การเมืองเป็นเรื่องอุดมการณ์ ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ ไม่ใช่เกมของชนชั้นนำ พวกเขารู้สึกถูกทรยศโดยทหารที่เชิญมาทำรัฐประหารในปี 2557 อาจเข้าขั้นอับอายพฤติกรรมในอดีตด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีถ้าพรรคส้มเข้าไปมีอำนาจก็จะสามารถสู้กับการเมืองแบบเก่าและหยุดวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองชั่วและการทำรัฐประหารได้
ถ้าวิเคราะห์ไปลึกกว่านี้จะเห็นว่ามวลชนเองก็มีความแตกแยก กระทั่งในพรรคประชาชนก็มีความขัดแย้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องดีมากที่มวลชนไม่ได้เหมือนกันหมด เขารู้ว่าเขาแตกต่างกันอย่างไร เขามีอุดมการณ์ที่เฉดไม่เหมือนกันอย่างไร แต่อย่างน้อยเขามีความต้องการเหมือนกันคือต้องการทำให้การเมืองเป็นเรื่องอุดมการณ์จริงๆ
ฉะนั้น แก่นอุดมการณ์ของพรรคที่เขาสนับสนุนจึงไม่สำคัญเท่าการสนับสนุนให้พรรคนี้ขึ้นมามีอำนาจแล้วเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงในเชิงอุดมการณ์ ไม่ใช่การดีลลับ หรือการไปพึ่งอำนาจบารมีที่ไม่อิงกับประชาชนเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้
หากย้อนไปมองเรื่องมวลชนฝ่ายชนชั้นนำ มวลชนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยไม่เอาทักษิณ เป็นกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งในขบวนการ กปปส. แต่สุดท้ายเขายอมรับได้ เพราะทักษิณไม่ได้ต้องการปฏิรูปหรือตั้งคำถามกับสถาบันฯ เขาอาจจะไม่ชอบทักษิณที่ตัวบุคคลและยังไม่ลืมอดีต แต่อย่างน้อยทักษิณก็เป็นภัยที่ไม่ใหญ่เท่าพรรคส้ม อดีต กปปส. จึงมีทั้งฝ่ายที่เอาและไม่เอารัฐบาลเพื่อไทย
คนที่สนับสนุนฝ่ายชนชั้นนำต้องการให้สภาพการเมืองแบบเดิมคงอยู่ สถาบันฯ ถูกยกย่องเชิดชูแบบเดิม ระเบียบสังคมต่างๆ ไม่ถูกเปลี่ยนไป ไม่ต้องการให้มีการตั้งคำถามต่อสถาบันฯ (establishment) ค่านิยม หรือความเป็นไทยต่างๆ ซึ่งเป็นอดีตที่ถูกส่งต่อให้ปัจจุบัน เขามีอุดมการณ์อนุรักษนิยมอย่างเข้มข้นจึงไม่ใส่ใจว่าชนชั้นนำทางการเมืองพวกนี้เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า ตราบใดที่พวกนี้ยังเคารพสถาบันฯ เป็นความสัมพันธ์แบบวิน-วินก็ว่าได้ นักการเมืองและกลุ่มทุนที่หนุนหลังสามารถรักษาผลประโยชน์ มวลชนอนุรักษนิยมแบบเข้มข้นก็แฮปปี้ที่การเมืองไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ค่านิยมความเป็นไทยต่างๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
แต่มีอนุรักษนิยมอีกกลุ่มที่ไม่ได้เข้มข้นเท่ากลุ่มแรก พวกเขามองว่าประเพณีและค่านิยมต่างๆ ที่ส่งต่อมาจากอดีตต้องปรับไปตามกาลเวลา ไม่ได้มองว่าทุกอย่างห้ามเปลี่ยนแปลงหรือห้ามถกเถียง ดังนั้นเขาจึงยอมรับได้กับการมีบทสนทนาเรื่องปฏิรูปสถาบันฯ ให้มีการปรับตัวไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตัวแทนทางความคิดที่ดีของกลุ่มนี้คือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เราจึงเห็นคนกลุ่มนี้ที่เดิมเป็นคนเสื้อเหลืองหันมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ไม่ใช่เพราะเขาเห็นด้วยทั้งหมดกับความเป็นฝ่ายซ้ายของพรรคส้ม แต่อย่างน้อยพรรคจะทำให้เกิดการถกเถียงในเชิงอุดมการณ์ซึ่งคือสิ่งที่เขาต้องการ แต่เรื่องนี้กลุ่มอนุรักษนิยมเข้มข้นหรือกลุ่มซ้ายจัดก็จะไม่โอเค
กลุ่มขวาจัดไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่ไม่อยากให้เกิดบทสนทนา อุดมการณ์ใดที่สุดโต่งเกินไปจะปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้เกิดการยอมรับความแตกต่างทางความคิด ซ้ายจัดแบบเบ็ดเสร็จนิยม (totalitarian) ต้องการควบคุมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม ให้ความคิดคนไปในทางเดียวกัน แต่ซ้ายลักษณะนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นในการเมืองไทย ยังสรุปไม่ได้ว่าพรรคส้มมีแนวโน้มเป็นซ้ายจัดหรือไม่ อย่างมากก็เป็นพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเหมือนพวกพรรคแรงงานในทวีปยุโรป

หมายความว่าพรรคส้มมีอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย แต่ก็ได้เสียงสนับสนุนจากมวลชนอนุรักษนิยมที่ไม่สุดโต่งด้วย?
การที่พรรคส้มเป็นพรรคการเมืองเชิงอุดมการณ์นั้นเขาต้องมีอุดมการณ์ที่ชัดเจน ในเชิงเนื้อหาอุดมการณ์พรรคส้มพยายามเป็นพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งก็เถียงกันได้ว่าซ้ายแค่ไหน เป็นแบบพรรคซ้ายกลางหรือพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่ผมคิดว่าผู้สนับสนุนพรรคส้มจำนวนมากไม่ได้สนับสนุนเพราะเนื้อหาอุดมการณ์ บางคนอาจไม่ซื้อไอเดียเรื่องรัฐสวัสดิการด้วยซ้ำ บางคนอาจไม่ต้องการให้แตะมาตรา 112 ขนาดนั้น แต่เขาต้องการนักการเมืองใหม่ๆ ที่ขึ้นต่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองที่สังกัดชนชั้นทางการเมืองของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
ไม่เชื่อก็ลองถามผู้สนับสนุนพรรคส้มดู จะเห็นว่าหลายคนไม่ได้คิดเชื่อมโยงการปฏิรูปสถาบันฯ กับการได้มาซึ่งการเมืองประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ แต่เขาเลือกพรรคส้มเพราะมันเป็นทางเลือกเดียวของเขา แม้ไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายทั้งหมด ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อาจตอบโจทย์คนกลุ่มนี้มากกว่าในแง่อุดมการณ์ แต่ตอนนี้ประชาธิปัตย์ก็แทบไม่มีอุดมการณ์ให้เห็นแล้ว
กลายเป็นว่าพรรคเชิงอุดมการณ์ (ideological party) อย่างพรรคส้มเป็นพรรคมวลชนที่ครอบคลุมกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่หลากหลาย แต่เป็นกลุ่มคนซึ่งล้วนไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ (status quo) แล้วมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นมากกว่าเรื่องอีลีตกลุ่มไหนจะได้เป็นรัฐบาล
เมื่อก่อนโจทย์ยุคเหลือง-แดงง่ายมาก โจทย์คือใครจะได้ปกครอง? (Who governs?) ควรฝากความหวังไว้กับอีลีตกลุ่มไหน? ขุนศึกผู้พิทักษ์สถาบันฯ และประเทศจากคนโกงชาติบ้านเมือง หรือ นายทุนที่ทำให้ประชาธิปไตยกินได้เป็นเรื่องไม่เกินจริง?
แต่ปัจจุบันคำถามถูกยกไปสู่ระดับโครงสร้างว่าผู้แทนควรขึ้นต่อประชาชนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด? ประชาชนทำได้มากสุดแค่เลือกหรือรับรองสิ่งที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นนำหรือประชาชนควรมีทางเลือกที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะสถานะทางการเมืองที่เหมือนเป็นเบี้ยของนักการเมืองที่อาจไม่มีอุดมการณ์ด้วยซ้ำ ประชาชนพอแล้วกับการลุ้นว่านักการเมืองรุ่นเก่าคนไหนจะยังพอมีอุดมการณ์ อย่างจาตุรนต์ ฉายแสง หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์? เขาต้องการนักการเมืองรุ่นใหม่
หากมองคู่ขัดแย้งเป็นฝ่ายมวลชนกับฝ่ายชนชั้นนำ ในแต่ละฝ่ายก็มีหลายเฉดของอุดมการณ์หรือกระทั่งไม่มีอุดมการณ์เลย เราสามารถวิเคราะห์ได้ไหมว่าแก่นคิดในแต่ละฝ่ายคืออะไร
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เห็นว่าคู่ขัดแย้งหลักคืออะไร ก็คือ ‘วิถีทางการเมือง (modes of politics)’ ที่ต่างกัน คือการเข้าใจว่าการเมืองคือสนามอำนาจแบบใด
คำถามสำคัญคือเราควรทำการเมือง (do politics) แบบไหน? ระหว่างสนามการแข่งขันของชนชั้นนำที่อุดมการณ์เป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของชนชั้นนำแต่ละกลุ่ม หรือสนามอำนาจของอุดมการณ์ที่แข่งขันกันโดยกลุ่มชนที่ต่างขับเคลื่อนโดยอุดมการณ์และต้องการให้อำนาจรับใช้อุดมการณ์
ความไม่ลงรอยของสองวิถีทางการเมืองนี้สะท้อนออกมาในความต้องการของมวลชนที่จะเห็นการเมืองไทยเป็นเรื่องอุดมการณ์มากขึ้น และความต้องการของชนชั้นนำทางการเมืองในปัจจุบันที่จะยับยั้งความต้องการนี้เพราะกลัวว่าจะสูญเสียฐานอำนาจไปในที่สุด
มวลชนส่วนใหญ่ไม่ว่าซ้ายหรือขวาต้องการวิถีทางการเมืองที่ทำให้เกิดบทสนทนา เกิดการถกเถียงกันในเชิงอุดมการณ์ได้ ขณะเดียวกันมีคนอีกกลุ่มที่ต้องการให้วิถีทางการเมืองเป็นแบบเดิมคือเป็นเรื่องของชนชั้นนำ
ถามว่าในสองฝ่ายนี้มีอุดมการณ์ที่เป็นแกนกลางหรือเปล่า ด้วยความที่มันเป็นความแตกต่างเรื่องรูปแบบหรือวิถีทางการเมือง ความแตกต่างเชิงอุดมการณ์อาจไม่ใช่เรื่องหลัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
วิถีทางการเมืองแบบแรกมองว่าการเมืองควรเป็นเรื่องของอุดมการณ์ที่สะท้อนความต้องการของประชาชน มันจึงสามารถรองรับความหลากหลายในทางอุดมการณ์ได้ ตราบใดที่ไม่ใช่อุดมการณ์แบบสุดโต่งซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่เผด็จการในรูปแบบต่างๆ
ส่วนวิถีทางการเมืองแบบที่สองเน้นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำซึ่งไปได้กับอุดมการณ์แบบสุดโต่งมากกว่า ไม่ว่าจะออกไปทางขวาหรือซ้าย เพราะอุดมการณ์ลักษณะนี้มักสร้างความชอบธรรมให้กับผู้มีอำนาจที่ต้องการใช้อำนาจเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ที่ถูกยัดให้อยู่อุดมการณ์ขั้วตรงข้าม
กรณีซ้ายสุดโต่ง เราจะเห็นตัวอย่างพรรคบอลเชวิค (Bolshevik) ในสหภาพโซเวียต ซึ่งมีวิถีทางการเมืองแบบชนชั้นนำ ไม่ใช่เพราะพรรคบอลเชวิคเห็นแก่ประโยชน์ของชนชั้นนายทุน ตรงกันข้าม สิ่งที่น่าสนใจคือมีกลุ่มผู้นำการปฏิวัติที่แยกออกจากและอยู่เหนือมวลชนอีกที มีโปลิตบูโร (politburo) กุมรัฐเพื่อไม่เปิดโอกาสให้มีการท้าชิงในเชิงอุดมการณ์ขึ้นโดยคนนอกหรือมวลชนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ซ้ายแบบขบวนการ Occupy Wall Street ในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีความเป็นอนาธิปไตย เน้นการเมืองแบบแนวระนาบ ไม่มีผู้นำและผู้ตามที่ชัดเจน ผมไม่ได้หมายความว่าการที่มวลชนไม่พอใจการเมืองของชนชั้นนำแล้วจะต้องสมาทานอนาธิปไตย พวกเขาแค่ต้องการให้ชนชั้นนำอยู่ภายใต้เสียงประชาชนมากขึ้น
มองกลับมายังการเมืองไทย แน่นอนว่าอุดมการณ์ที่ทำให้ยังมีมวลชนสนับสนุนการเมืองของชนชั้นนำอยู่คืออุดมการณ์ขวาจัดซึ่งมองว่าชนชั้นนำทำถูกแล้วที่ไม่ให้พรรคอย่างก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ส่วนแกนกลางของวิถีทางการเมืองอีกฟาก หากมองในมุมของอุดมการณ์ต้องมีองค์ประกอบของเสรีนิยมไม่มากก็น้อย ที่ชูเรื่องเสรีภาพในการคิด ทำให้ต่างอุดมการณ์สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยยังสงวนความต่าง และที่สำคัญคือมีความเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจนิยมทุกรูปแบบ
เราจะเห็นได้ว่าซ้ายแบบพรรคก้าวไกลมีความเป็นเสรีนิยม หรือกระทั่งคนที่เป็นขวาแต่ไม่เอาขวาจัดก็ต้องการผูกตัวเองกับค่านิยมแบบเสรีนิยม ดังนั้นเสรีนิยมเป็นแกนกลางที่เชื่อมร้อยต่างอุดมการณ์เหล่านี้ เสรีนิยมเป็นส่วนหนึ่งของหลายอุดมการณ์ที่ต้องการจะให้เกิดการเมืองเชิงอุดมการณ์แบบที่ให้ความสำคัญกับหลากหลายอุดมการณ์ของประชาชนแต่ละจำพวก
เห็นด้วยไหมที่กนกรัตน์ เลิศชูสกุลเคยเสนอว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างรุ่น
ถ้าเราเข้าใจว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องวิถีทางการเมืองที่ต่างกัน แล้วมองว่าแนวทางแบบเสรีนิยมเป็นของคนรุ่นใหม่และแนวทางแบบการเมืองของชนชั้นนำเป็นของคนรุ่นเก่า ก็จะตอบคำถามไม่ได้ว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง มีแค่คนรุ่นใหม่หรือเปล่าที่เลือกก้าวไกล?
การบอกว่าเป็นสงครามระหว่างรุ่นทำให้เราไม่เห็นรอยต่อระหว่างความขัดแย้งในอดีตกับความขัดแย้งในปัจจุบัน
คนรุ่นใหม่คือผู้ทำหน้าที่หลักในการทำให้วิถีการเมืองใหม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ยึดกับตัวผู้นำทางการเมือง การเคลื่อนไหวแบบไร้หัว การเคลื่อนไหวที่ไม่รวมศูนย์ การเคลื่อนไหวที่ใช้โซเชียลมีเดียในการกระจายข้อมูลข่าวสาร การเชื่อมร้อยผู้คน เหล่านี้ทำให้เห็นว่าการเมืองของชนชั้นนำไม่ใช่สิ่งที่เราต้องสมาทานอีกต่อไปแล้ว เพราะกระทั่งการเคลื่อนไหวของมวลชนในปัจจุบันก็ไม่ต้องอิงกับแกนนำอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล, ลุงกำนัน (สุเทพ เทือกสุบรรณ), ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือจตุพร พรหมพันธุ์
การเคลื่อนไหวม็อบแบบเสื้อแดงเสื้อเหลืองเกิดขึ้นจากบนลงล่าง ชนชั้นนำต่างจำพวกต้องการม็อบเป็นของตัวเอง การเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงนั้นจึงมีความเป็นม็อบจัดตั้งสูง แต่ช่วงม็อบ 2563-2564 จะเห็นได้ว่าคนมักจะเถียงกันในโซเชียลมีเดียว่าควรจะเคลื่อนไหวแบบไหน ควรชูประเด็นอะไรบ้าง
คนรุ่นใหม่พยายามแสดงให้เห็นว่าเราทำได้จริง การเมืองแบบนี้ไม่ใช่แค่นามธรรม แต่มีความเป็นการเมืองเชิงสร้างสรรค์ล่วงหน้า (prefigurative politics) ซึ่งหมายถึงการสร้างรูปแบบจำลองของการเมืองที่ต้องการในอนาคตผ่านการปฏิบัติจริงในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล พวกเขาอาจไม่ใช่นักการเมือง แต่เขาต้องการเป็นตัวแสดงทางการเมืองที่มีปากมีเสียงจึงต้องออกมาเคลื่อนไหวโดยไม่อิงกับชนชั้นนำทางการเมือง พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การชนะในระบบการเมืองที่มีอยู่แต่เน่าเฟะ
ส่วนนักการเมืองแบบใหม่ก็พยายามไม่แปะป้ายตัวเองว่าเป็นชนชั้นนำ ในอดีตการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้ต้องมีแกนนำที่ปราศัยเก่ง ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องวิถีทางการเมืองแบบก่อนที่มีความเป็นการเมืองของชนชั้นนำ ข่าวสารส่งผ่านหากันแบบบนลงล่าง ทุกคนต้องเสพข่าวผ่านช่องโทรทัศน์หรือสถานีวิทยุช่องโปรดทั้งวัน เช่น เอเอสทีวีและความจริงวันนี้ แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีเอื้อให้การรับข่าวสารไม่ใช่แบบบนลงล่าง การรับข่าวสารจากโซเชียลมีเดียทำให้มวลชนมีโอกาสเข้าไปแลกเปลี่ยน เสนอความเห็นแย้ง จนเกิดการถกเถียงเชิงอุดมการณ์ขึ้น
ฉะนั้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของมวลชน มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยการเปล่งเสียงบนแนวระนาบที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่ใช่จากบนลงล่างเหมือนแต่ก่อน
ปรากฏการณ์ ‘ทัวร์ลง’ ที่เมื่อก่อนทำยากเพราะโซเชียลมีเดียไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบันที่ทัวร์ลงง่ายมาก ถ้าใครพูดอะไรผิดหน่อยก็ทำให้คนที่เป็นชนชั้นนำเป็นที่ยอมรับยากขึ้น ฉะนั้นถ้าแกนนำพูดอะไรผิดก็อาจโดนทัวร์ลงได้ เทคโนโลยีเอื้อให้คนกล้าโค่นผู้นำทางความคิด ปัจจุบันยากมากที่จะเกิดเป็นผู้นำทางความคิดแบบสนธิ ลิ้มทองกุล หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ
ที่น่าสนใจคือมีคนรุ่นเก่ามาเข้าร่วมและสนับสนุนม็อบเยาวชนเยอะมาก คนรุ่นใหม่จุดประกายความหวังในคนรุ่นเก่าที่ผิดหวังกับนักการเมืองคนเดิมๆ ไม่ว่าจะเคยอยู่ฝั่งเหลืองหรือแดง แต่คำถามคือรูปแบบทางการเมืองที่มวลชนเป็นใหญ่เกิดขึ้นจากความเป็นคนรุ่นใหม่เพียงอย่างเดียวหรือเปล่า ปัจจัยอาจไม่ใช่เรื่องรุ่น แต่เป็นสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดการสมาทานค่านิยมแบบเสรีนิยมที่วางตัวเองอยู่ตรงข้ามอำนาจนิยมทุกรูปแบบโดยมีความเป็นประชาธิปไตยสูงในตัว ผมมองว่านี่ต่างหากคือปัจจัยพื้นฐานที่สุดในการกำหนดความเป็นเราและความเป็นเขาผู้ดื่มด่ำในอำนาจ
การที่คนไทยอยู่ภายใต้ระบอบทหารและต้องทนกับการเห็นประเทศหันขวามานานทำให้คนจำนวนมากไม่เชื่อมั่นในทหารและตั้งคำถามกับชนชั้นนำทางการเมืองที่พาประเทศมาถึงจุดนี้ เหตุผลหนึ่งที่มาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะเราเชื่อฟังผู้นำทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นลุงกำนัน ลุงตู่ หรือใครก็ตาม เราทำตามที่ชนชั้นนำต้องการ เราคิดว่าชนชั้นนำคือฟันเฟืองหลักของการเมือง คือคนที่ถือคบไฟนำทางให้เรา ไม่ต่างจากฮีโร่ เราเคยคิดว่าอำนาจนิยมคือทางออกชั่วคราว เมื่อมันมาถึงจุดที่อำนาจนิยมแว้งกัดเราจึงเกิดความไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่ตัดสินอนาคตแทนพวกเราและต้องการท้าทายความเป็นชนชั้นนำที่ยกตนเองให้อยู่สูงกว่าประชาชน
สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ เราอยู่ในยุคที่เกิดจากการหมดความน่าเชื่อถือของพวกอีลีต การเชื่อฟังผู้นำทางการเมืองเหล่านั้นทำให้เรามาถึงจุดนี้ ประชาชนจึงต้องการทวงคืนอำนาจด้วยการสถาปนาวิถีทางการเมืองแบบใหม่ที่มวลชนเป็นใหญ่และเปิดกว้างต่อการแข่งกันของอุดมการณ์ โดยมีเสรีนิยมเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างพื้นที่นี้และต้านเผด็จการฝ่ายขวาไปพร้อมๆ กัน นี่คือสิ่งที่เสรีนิยมทำได้ดี
กล่าวได้ว่า วิถีทางการเมืองแบบใหม่มีความเป็นเสรีนิยมที่เปิดกว้างมากพอจะเชื่อมร้อยหลายอุดมการณ์ได้ ไม่ใช่เสรีนิยมที่มีความเฉพาะเจาะจงมากเกินไป แต่เป็นเสรีนิยมที่มีความระแวงต่ออำนาจนิยมในความหมายเชิงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหาร เผด็จการนายทุน เผด็จการเสียงข้างมาก ตุลาการภิวัตน์ หรืออำนาจนิยมในชั้นเรียน แม้คนต่างอุดมการณ์อาจนิยามอำนาจนิยมไม่เหมือนกัน แต่เขาต่างเชื่อว่าเสรีนิยมคืออุดมการณ์ที่เหมาะที่สุดสำหรับการต้านอำนาจนิยม
ปัจจัยที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีความเป็นเสรีนิยมคือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ คนรุ่นใหม่ได้รับผลกระทบมากจาก คสช. เขาโตมาภายใต้ระบอบทหารจนหล่อหลอมอุดมการณ์ที่เป็นปฏิกิริยาซึ่งคือเสรีนิยม ส่วนคนรุ่นเก่าที่เห็นข้อผิดพลาดในอดีตก็มองว่าเราควรเป็นเสรีนิยมมากขึ้น เราควรต่อต้านอำนาจนิยมมากขึ้น เราต้องไม่เอาทหารและรัฐประหารอีกต่อไป ดังที่จะเห็นอดีตเสื้อเหลืองหรือ กปปส. ไม่เอารัฐประหารแล้วมาเลือกพรรคส้มซึ่งชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนการเมืองเพื่อไม่ให้อีลีตครอบงำและทหารเข้ามายุ่งการเมืองอีก
นอกจากนี้เสรีนิยมในรูปแบบใหม่นี้มีการต้านทุนนิยมเหลื่อมล้ำ (hierarchical capitalism) ด้วย เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากเป็นพิเศษระหว่างผู้สนับสนุนพรรคส้มแต่ละจำพวก ระหว่างกลุ่มที่ต้องการเห็นรัฐสวัสดิการเป็นจริงกับกลุ่มที่แค่ต้องการลดอำนาจของทุนผูกขาด เราจะไม่เห็นเรื่องนี้ในยุคเหลืองแดง แม้จะมีการโจมตีทักษิณว่าเป็นทุนสามานย์ แต่ไม่ใช่เรื่องทุนนิยมเหลื่อมล้ำ เสื้อเหลืองโอเคกับนายทุน แต่ไม่โอเคกับทุนทักษิณ เพราะมองว่าทักษิณเอาความเป็นซีอีโอมาใช้ในการเมืองจนมีความเป็นเผด็จการ
การต่อต้านในปัจจุบันไม่ใช่การโจมตีไปที่ครอบครัวหนึ่งหรือตระกูลหนึ่งหรืออีลีตจำพวกหนึ่ง แต่โจมตีไปที่ตัวระบบทุนนิยมเหลื่อมล้ำที่เอื้อต่อการเมืองแบบอีลีตและเป็นปฏิปักษ์กับผู้ที่ต้องการตลาดเสรี ซึ่งอาจเป็นคนที่แค่ต้องการให้ตลาดมีการแข่งขันกันสูงในทางเศรษฐกิจ แต่ทุนนิยมเหลื่อมล้ำทำให้เกิดทุนผูกขาดและทำให้เกิดการแข่งขันได้ยาก คนเหล่านี้จึงรู้สึกเสียเปรียบ
เราเห็นการยึดกุมรัฐโดยชนชั้นนำ (elite capture) หลายประเทศประสบปัญหานี้ ในไทยชัดมากคือในยุค คสช. ซึ่งชนชั้นนำนี้ไม่ใช่แค่ขุนศึก แต่เป็นนายทุนขนาดใหญ่อีกด้วย ซึ่งพอทักษิณกลับมาเขาก็ไม่ได้แยกตัวเองจากคนเหล่านี้ ทักษิณก็เป็นอีลีตคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วอีลีตก็ต้องทำงานด้วยกัน เพราะถ้าไม่ทำงานด้วยกันทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนโดยมวลชนที่เหลือทน โดยมีพรรคส้มเป็นพรรคผู้แทนของมวลชน อีลีตจึงรวมตัวกันเพื่อไม่เอาพรรคส้ม เขามองว่าพรรคส้มไม่ใช่พรรคอีลีต พรรคส้มคือพรรคประชาชนสมชื่อ นี่คือศัตรูที่แท้จริงของการเมืองแบบเก่า ไม่ใช่ทักษิณ
เห็นได้ว่าผู้คนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าเปลี่ยนไปเพราะประสบการณ์ร่วมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการหันขวาแบบสุดโต่ง โควิด หรือปัญหาฝุ่น PM 2.5 เหตุการณ์ร่วมสมัยเหล่านี้ส่งผลต่ออุดมการณ์เสรีนิยมแบบที่ต่อต้านระบอบทหาร ต่อต้านทุนนิยมเหลื่อมล้ำ ต่อต้านค่านิยมอนุรักษนิยมแบบเข้มข้น แต่คนทั่วไปรวมถึงนักวิชาการมักไม่วิเคราะห์ตัวอุดมการณ์โดยตรง กลับพูดถึงความเป็นรุ่นโดยเจาะไปที่คนรุ่นใหม่ที่โตมากับเหตุการณ์เหล่านี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วอุดมการณ์เสรีนิยมแบบใหม่นี้กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังความต้องการและวิถีทางการเมืองของกลุ่มชนหลายจำพวก ไม่ใช่แค่เยาวชน
ถามว่าอุดมการณ์เสรีนิยมแบบเก่าคืออะไร คือเสรีนิยมแบบเสื้อเหลือง เสรีนิยมแบบเก่ายึดโยงกับชนชั้นกระฎุมพี (bourgeois liberalism) ไม่มีปัญหากับสถาบันฯ ทหารผู้พิทักษ์สถาบันฯ กลับกันคือมีการนิยามให้เสรีนิยมกับสถาบันฯ มีความเกื้อหนุนพึ่งพากัน ต้องการดึงทหารเข้ามาเพื่อเอาเผด็จการแบบทักษิณออกไป เพราะคนเสื้อเหลืองมองว่าประชาธิปไตยเสียงข้างมากไปทำลายเสรีนิยม ทำให้หลักการถ่วงดุลอำนาจพัง ศัตรูทางความคิดของเสรีนิยมแบบเก่าไม่ใช่อนุรักษนิยม แต่คือเลือกตั้งนิยมและหลักการประชาธิปไตยเสียงข้างมาก
ส่วนขั้วตรงข้ามของเสรีนิยมที่สามารถหลอมรวมมวลชนหลายกลุ่มได้คืออำนาจนิยมนานาชนิด อำนาจนิยมแบบทักษิณ อำนาจนิยมแบบ 3 ป. นายทุนฮั้วกับผู้นำทางการเมือง เราจะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้มีความคล้ายกันตรงที่เป็นผลลัพธ์ของการเมืองแบบชนชั้นนำ เสรีนิยมนี้จึงมีคุณสมบัติความเป็นประชาธิปไตย
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และยุคสมัยที่หล่อหลอมความเป็นคนรุ่นใหม่ก็ได้ทำให้คนรุ่นเก่าหลายจำพวกเกิดความเห็นพ้องต้องกันว่าต้องการเสรีนิยมไปคานอำนาจของชนชั้นนำเช่นกัน ทำให้เสรีนิยมแบบใหม่เป็นเสมือนแกนกลางทางอุดมการณ์ที่มองข้ามไม่ได้ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์คนรุ่นใหม่ไปโดยปริยาย เราจะวิเคราะห์คนรุ่นใหม่โดยไม่พูดถึงอุดมการณ์เสรีนิยมและบริบทที่เฉพาะของมันไม่ได้ เพราะนี่คือปัจจัยที่ครอบคลุมกว่าแค่เรื่องคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่า

ในแง่อุดมการณ์ที่แบ่งคนให้เลือกวิถีทางการเมืองต่างกัน หากฝ่ายหนึ่งคือเสรีนิยมในรูปแบบใหม่ แล้วขั้วตรงข้ามคืออุดมการณ์ขวาจัดใช่หรือเปล่า?
หากนิยามความขัดแย้งสองขั้วตอนนี้ในเชิงอุดมการณ์ ฝั่งหนึ่งคืออุดมการณ์เสรีนิยมที่เป็นประชาธิปไตยและขั้วตรงข้ามคืออุดมการณ์อนุรักษนิยมแบบเข้มข้นซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย โดยที่ฝ่ายมวลชนที่สนับสนุนฝั่งอำนาจเก่าหรือการเมืองของชนชั้นนำ มีทั้งอนุรักษนิยมที่เข้มข้นซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของสังคม แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองเชิงอุดมการณ์ พวกเขามองว่าการเมืองคือ ‘เรียลโพลีทีค (realpolitik)’ ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องอำนาจและการจัดสรรผลประโยชน์ สนใจที่ตัวบุคคลกว่า หรือคนที่สนใจการเมืองท้องถิ่นมากกว่าการเปลี่ยนเกมการเมืองในระดับชาติ
เหตุที่ผมนิยามฝ่ายคนส่วนใหญ่ว่าเป็นเสรีนิยม ‘ที่เป็นประชาธิปไตย’ (democratic liberalism) เพราะพวกเขาไม่เอารัฐประหารอีกแล้ว มองว่าประชาธิปไตยคือทางออกของประเทศ แต่ต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เอาตัวเองไปผูกกับชนชั้นนำอย่างทักษิณ เสรีนิยมที่มวลชนเป็นใหญ่เป็นปฏิปักษ์กับอำนาจนิยมทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพียงความเป็นทรราชของนักการเมืองบางจำพวกเท่านั้น การไม่เอาอำนาจนิยมทุกรูปแบบหมายความว่าไม่เอาการเมืองแนวดิ่งของชนชั้นนำไปโดยปริยาย
คนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าจำนวนมากได้รับผลกระทบเชิงลบจากการอยู่ใต้การเมืองของชนชั้นนำมามากพอจนไม่ไว้ใจชนชั้นนำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือทักษิณที่ไปอยู่กับขั้วอำนาจเก่า คนกลุ่มนี้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนเสมอภาคกันในทางการเมือง ทุกคนสามารถเปล่งเสียงได้เหมือนกันไม่ว่าจะมีอุดมการณ์แบบไหน ตราบใดที่มีส่วนผสมของอุดมการณ์เสรีนิยมที่เป็นประชาธิปไตย
ศัตรูโดยธรรมชาติของคนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่คลั่งชาติ สถาบันฯ เนื่องจากกลุ่มคนแบบหลังนี้ไม่ชอบประชาธิปไตย ชอบลุงตู่ น่าสนใจว่าพวกเขาระแวงทักษิณแต่ก็ไม่มีทางเลือกเนื่องจากผลการเลือกตั้งทำให้เพื่อไทยเป็นพรรคอันดับสอง ถ้าเลือกได้ก็คงอยากเอาลุงตู่กลับมาเป็นนายกฯ ทักษิณเองก็ต้องระวังเพราะหลายฝ่ายไม่ชอบ
งานวิจัยชิ้นก่อนของผมที่ทำเรื่องสงครามเหลืองแดงทำให้เห็นว่า ทำไมเมื่อคนที่มีอุดมการณ์กลางๆ มาอยู่กับคนที่มีอุดมการณ์สุดโต่งแล้วไม่สามารถเกิดการสนทนากัน แต่สภาพความขัดแย้งปัจจุบันกลายเป็นการแบ่งฝั่งระหว่างอุดมการณ์สุดโต่งกับอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันปกติภายใต้วิถีทางการเมืองแบบใหม่ โดยมีแกนกลางคือเสรีนิยม ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีเสรีนิยมเป็นแกนกลางจึงเกิดการแบ่งขั้วแบบสุดโต่ง (polarized) อุดมการณ์กลางๆ จึงต้องเลือกว่าจะไปจับขั้วกับขวาแบบอนุรักษนิยมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือซ้ายแบบประชาธิปไตยที่ไม่เสรีนิยม ซึ่งคือประชาธิปไตยกินได้ของระบอบทักษิณ
มองการเมืองเบื้องหน้าตอนนี้ ภาพความขัดแย้งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดกลับกลายเป็นแดง-ส้ม เรื่องนี้นับเป็นความขัดแย้งหลักในปัจจุบันด้วยหรือเปล่า
ผมกลับมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างฝั่งมวลชนที่ต้องการการเมืองประชาธิปไตยแบบใหม่กับมวลชนที่ยังสนับสนุนการเมืองของชนชั้นนำ ถ้าด้อมส้มคือแบบแรก ด้อมแดงคือแบบหลัง แน่นอนว่าทุกวันนี้ยากขึ้นมากๆ ที่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจะบอกว่าตัวเองทำด้วยอุดมการณ์ เขาอาจไม่ได้ยึดในอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนแต่ก่อนแล้ว หรือไม่เขาก็สับสนหรือย้อนแย้งในตัวเอง ซึ่งมนุษย์ทุกคนเกิดความสับสนได้ เช่นการที่ด้อมแดงจำนวนหนึ่งยังเชื่อว่าตระกูลชินวัตรสามารถพาประเทศกลับสู่หนทางประชาธิปไตย คนกลุ่มนี้อาจเข้าใจถูกว่าพรรคส้มยังอ่อนหัดในเกมการเมือง เพราะไม่รู้จักประนีประนอมในยามจำเป็น แต่เราก็ควรถามตัวเองว่าเพื่อไทยประนีประนอมเพื่ออนาคตของประชาธิปไตยจริงๆ หรือเพียงเพราะอยู่เป็น หรือคนกลุ่มนี้อาจจะพิจารณาที่ตัวนักการเมืองเป็นหลักเสมอมาก็เป็นไปได้ ทุกวันนี้สิ่งที่ยังขายได้ของเพื่อไทยอาจไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์แบบประชาธิปไตยกินได้ เนื่องจากพรรคไม่ได้เสียงข้างมาก แต่เป็นเพราะการเมืองท้องถิ่นที่ยังเข้มแข็งและตัวทักษิณยังขายได้แบบลัทธิบูชาตัวบุคคล
ยากที่จะปฏิเสธว่าคนที่เคยเป็นแดงแล้วอุดมการณ์ยังหนักแน่นตอนนี้ไปอยู่ด้อมส้มกันเยอะ คนที่ยังเลือกสนับสนุนเพื่อไทยกลับให้ความสำคัญกับการเมืองของตระกูลชินวัตรมากกว่า ทำให้เห็นว่าความเป็นด้อมแดงเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองของชนชั้นนำ
แต่ก็มีคนที่เคยเป็นเสื้อแดงแล้วสนับสนุนเรื่องก้าวหน้าไปถึงเรียกร้องให้ยกเลิก 112 ที่ทุกวันนี้ยังสนับสนุนเพื่อไทยอยู่ จะอธิบายคนกลุ่มนี้อย่างไร
ผมมองว่าสับสน เพื่อไทยไม่มีท่าทีแตะเรื่อง 112 เพราะยังต้องพึ่งอำนาจบารมีที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน แต่ก็อาจมีหลายเหตุผลนะ เขาอาจจะกลัวเสียหน้าก็ได้ เขาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาตลอดแล้วพรรคทำให้เขาผิดหวัง แต่คนรู้แล้วว่าเขาเป็นด้อมแดงและเขาอาจหากินกับความเป็นด้อมแดง อยู่ดีๆ จะกลับลำเป็นด้อมส้มก็ยาก เขาอาจมีวิวาทะกับด้อมส้มจนเกลียดด้อมส้มเข้าไส้ไปแล้ว ด้อมส้มก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคู่สนทนาที่ดีในหลายครั้ง ความโกรธและความเกลียดชังมักครอบงำวิสัยทัศน์ จึงมีความย้อนแย้งที่ยังอ้างว่าตนสนับสนุนทักษิณและทำทั้งหมดนี้เพื่อประชาธิปไตย ตนแค่เกลียดด้อมส้มกว่าหรือไม่อยากเสียหน้า
เป็นเรื่องปกติที่คนเรามีหลายเหตุผล บางเหตุผลมีน้ำหนักมากกว่าเหตุผลทางอุดมการณ์ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์เสมอไป
ช่วงม็อบ 2563 เราพูดเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างกันเยอะมาก แต่ทุกวันนี้เสียงความขัดแย้งเรื่องแฟนคลับพรรคการเมืองดังมากจนกลบเรื่องโครงสร้าง อะไรทำให้เกิดสภาพแบบนี้ขึ้นมา
ผมเชื่อว่าคนที่ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยหลายคนยังต้องการการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ตอบโจทย์แต่เขายังศรัทธาในพรรคและตระกูลชินวัตรด้วยเหตุผลที่เพิ่งกล่าวไป ทำให้เขาต้องช่วยแก้ตัวแทนพรรค โดยมองว่าการประนีประนอมเป็นเรื่องจำเป็นไม่อย่างนั้นพรรคจะไปต่อไม่ได้ แล้วโทษว่าพรรคส้มไม่ยอมประนีประนอมเอง การเมืองต้องประนีประนอม ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่คุณจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้จนต้องมาถึงตาพรรคเบอร์สองอย่างพรรคเพื่อไทย
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมขั้วอำนาจเก่าขนาดไหน แต่ผู้สนับสนุนเพื่อไทยก็พยายามตีความว่าที่ประนีประนอมไม่ใช่เพียงเพราะอยู่เป็น ซึ่งพรรคส้มอาจจะตอบโจทย์กว่าในแง่การสานต่ออุดมการณ์ของคนเสื้อแดง เพราะพรรคส้มพยายามยกระดับอุดมการณ์แบบเสื้อแดงให้มีความเป็นอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายมากกว่าพรรคเพื่อไทย
กลายเป็นว่าคนที่ตอนนี้เป็นด้อมแดงอยู่ถูกมองว่าไม่ต่างกับพวกกลุ่มขวาจัด ไม่ใช่เพราะเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ขวาจัด แต่ตราบใดที่ส้มไม่อยู่ในอำนาจเขาก็แฮปปี้ ส่วนคนที่เป็นขวาจัดเขาอาจมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนและมีความสับสนน้อยกว่า
หากนิยามความขัดแย้งสองขั้วตอนนี้
ฝั่งหนึ่งคืออุดมการณ์เสรีนิยมที่เป็นประชาธิปไตย
และขั้วตรงข้ามคืออุดมการณ์อนุรักษนิยมแบบเข้มข้นซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าพอเพื่อไทยเอนไปอยู่กับฝ่ายอนุรักษนิยม อาจดึงให้การเมืองไทยเอนไปทางขวา เช่นพรรคส้มจะเสนอเรื่องที่ซ้ายมากไม่ได้ เพราะพรรคอื่นๆ ที่เหลือไม่เอาเลย
เมื่ออุดมการณ์แกนกลางที่หลอมรวมอุดมการณ์ต่างๆ ให้อยู่ด้วยกันได้คือเสรีนิยมที่มีความเป็นประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านอำนาจนิยมของการเมืองแบบชนชั้นนำ พรรคส้มก็จำเป็นต้องมีความเป็นเสรีนิยม ประเด็นที่น่าสนใจคือในมุมมองของพรรคที่ต้องการรักษา status quo พรรคส้มจะเสนออะไรก็ถูกมองว่า ‘ซ้าย’ เกินไปหมด ดังนั้นการที่พรรคเพื่อไทยลดความเป็นซ้าย ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจสมาทานอุดมการณ์ขวาจัด สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้การเมืองไม่หันขวา นี่คือปัญหา เพราะมวลชนส่วนใหญ่ตอนนี้ต่างคิดว่าการเมืองที่มีความเป็นการเมืองของชนชั้นสูงไม่ตอบโจทย์ทางอุดมการณ์ของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
ถ้าพูดให้ถึงที่สุด นโยบายอาจไม่ใช่เรื่องที่พิจารณาเป็นอันดับแรกด้วยซ้ำ ถ้าดูจากการเลือกพรรค หลายคนคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านโยบายของพรรคส้มคืออะไร เขารู้แค่ว่าพรรคส้มไม่เหมือนกับพรรค ‘พวกนั้น’ ส่วนเรื่องนโยบายก็เถียงกันได้ ประนีประนอมได้ แต่เรื่องที่ประนีประนอมยากคือการมีอุดมการณ์กับการไม่มีอุดมการณ์
ตอนเลือกตั้งต่อให้นโยบายเศรษฐกิจของเพื่อไทยดูดีอย่างไร แต่มวลชนจำนวนมากก็ต้องการการเมืองประชาธิปไตยแบบใหม่ที่สามารถสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจได้ ผมคิดว่าสิ่งที่ด้อมส้มคาดหวังคล้ายๆ กันคือพวกเขามองว่าผู้แทนที่เขาเลือกต้องเข้าไปกระทบโครงสร้างจริงๆ ซึ่งไม่ใช่การทำให้ระบบการปกครองเป็นสังคมนิยมเสมอไป แต่คือการกระทบโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างอีลีตทางการเมืองกับมวลชนเพื่อให้อุดมการณ์อันหลากหลายของมวลชนสามารถขับเคลื่อนการเมืองได้อย่างแท้จริง
หลายคนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย แล้วสภาวะตอนนี้ใช่การเปลี่ยนผ่านไหม
ไม่ใช่เลย ยุคไทยรักไทยหรือพลังประชาชนยังเป็นประชาธิปไตยมากกว่า ตอนนี้เหมือนเพื่อไทยขายแบรนด์ดิ้งประชาธิปไตยเพื่อแลกกับการได้อยู่ในอำนาจ
เมื่อก่อนไทยรักไทยยังกระทบโครงสร้างทางการเมืองได้บ้าง เพราะเขาทำให้คนชนชั้นระดับล่างรู้สึกว่าเขามีเสียงในทางการเมือง แต่ไม่ใช่การมีเสียงผ่านการไม่เอาการเมืองของชนชั้นนำนะ จากเดิมที่อีลีตไม่เคยเป็นเสียงให้คนชนชั้นกลางค่อนล่างอย่างแท้จริง อยู่ดีๆ มีนายทุนกลุ่มหนึ่งซึ่งคือทักษิณและพวกพ้องของเขาทำให้พวกเขามีเสียงขึ้นมา จนกระทบไปถึงโครงสร้างสังคม แต่ไม่ได้กระทบถึงขั้นที่ทำให้การเมืองไทยสามารถก้าวข้ามการเมืองของชนชั้นนำ เพราะวันหนึ่งตระกูลชินวัตรก็เลือกที่จะไปพึ่งอำนาจจากเบื้องบนเพื่อได้กลับมาครองอำนาจอีก ถามว่าต่างอะไรจากอีลีตขั้วอำนาจเก่าซึ่งในอดีตเป็นศัตรูกัน? แต่อย่างน้อยคือในตอนนั้นตระกูลชินวัตรได้ทำให้การเมืองของชนชั้นนำตอบโจทย์ของชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่าเดิม
สุดท้ายตอนนี้อีลีตกลุ่มทักษิณก็ไปอยู่กับฝั่งตรงข้ามในอดีต มวลชนจำนวนมากก็เลยรู้สึกว่าการมีอีลีตเป็นปากเสียงให้แบบในอดีตนั้นมันไม่พอแล้ว เราควรทำให้การเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นการเมืองที่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ที่แข่งขันกันไม่ใช่การจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวกันของพวกชนชั้นนำ
ตอนนี้ฝ่ายอีลีตเหมือนมีพรรคเพื่อไทยเป็นภาพตัวแทนที่ทุกคนโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ แล้วทหารกับเครือข่ายสถาบันฯ ยังอยู่ในสมการความขัดแย้งนี้อยู่ไหม
ยังอยู่ เขาจำเป็นต้องดึงศัตรูเก่าอย่างทักษิณเข้ามาอยู่ด้วยไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ยากขึ้น เขามีศัตรูที่ใหญ่กว่าแล้ว ทักษิณไม่ได้มีปัญหาโดยตรงกับพวกนายทุนที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมเหลื่อมล้ำ ตอนนี้พวกชนชั้นนำไม่ว่าจะเป็นทหาร เครือข่ายสถาบันฯ หรือนายทุนผูกขาดต้องพึ่งพากัน เขารวมตัวกันเพื่อกีดกันพรรคส้มที่เป็นคนนอก เพราะเป็นพรรคที่ไม่ได้ต้องการเล่นเกมการเมืองของชนชั้นนำ
คำถามที่สนใจคือขั้วอำนาจเก่าไว้ใจเพื่อไทยขนาดไหน มวลชนฝ่ายขวาจัดกลัวทักษิณจะกลับมาครอบงำการเมือง แต่จะให้พวกเขาข้ามขั้วไปจับมือกับด้อมส้มก็คงไม่ทำ ทหารกับเครือข่ายสถาบันฯ จะถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขั้วทักษิณหรือไม่ เราคงต้องดูไปยาวๆ
สภาพที่เป็นอยู่จะนำไปสู่อะไร เพื่อไทยข้ามขั้วไปจับมือกับอำนาจเก่า เรามีรัฐบาลพลเรือนแล้วแต่เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย นักโทษการเมืองยังถูกจับเหมือนเดิม กฎหมายที่อยากแก้ก็แก้ไม่ได้ รัฐธรรมนูญใหม่ก็ยังไม่มี
ผมคิดว่ามันเป็นระเบิดเวลา ประชาชนจะทนกับสภาพที่เป็นอยู่ได้นานขนาดไหน เมื่อก่อนความขัดแย้งมีการคานกันของมวลชนสองฝั่งทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลือง แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เพื่อไทยเสียฐานมวลชนไปเยอะ เพื่อไทยไม่ใช่พรรคอันดับหนึ่ง เขาอาศัยเสียงของประชาชนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ที่ต้องไปอาศัยอำนาจอื่นแทนก็ทำให้เขาเสียความน่าเชื่อถือและเสียพลังที่เขาเคยมีอย่างมหาศาล
ขณะเดียวกันเมื่อเพื่อไทยทำอย่างนี้ก็จะกระทบกับอำนาจที่เพื่อไทยไปพึ่งพิงเช่นกัน ยิ่งทำให้ฝั่งอนุรักษนิยมดูไม่ดีจนเป็นเหมือนระเบิดเวลา

มีข้อเสนอไหมว่าทำอย่างไรจะคลี่คลายความขัดแย้งที่เป็นอยู่ก่อนที่มันจะระเบิดออก
ถ้าเป็นความขัดแย้งแบบในอดีต เมื่อมวลชนสองกลุ่มใหญ่ๆ ปะทะกันผมไม่อยากให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ เพราะผมมองมวลชนเท่ากันหมด แต่พอทุกวันนี้คู่ขัดแย้งคือมวลชนส่วนใหญ่กับฝ่ายชนชั้นนำทางการเมือง ผมอยากให้มีผู้ชนะ ผมต้องการเห็นฝ่ายมวลชนชนะ มวลชนขวาจัดที่ยังคิดจะหนุนพวกอีลีตอยู่ซึ่งเป็นส่วนน้อยแล้วควรปรับตัวถ้าจะอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะไม่มีที่ยืนในสังคม
ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจต้องรู้จักประนีประนอมกับมวลชนและพรรคที่เสมือนตัวแทนของเขา ไม่อย่างนั้นความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้น เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ผมศึกษาอยู่ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าควรต่อสู้อย่างไร
ส่วนคนที่สนใจแต่เรื่องปากท้องหรือเรื่องการเมืองท้องถิ่นเป็นหลักนั้นผมไม่อยากไปตัดสินเขา เขาอาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่นที่พรรคภูมิใจไทยก็ได้คะแนนเยอะในส่วน ส.ส. แบบแบ่งเขต คนอาจเลือกเขาเพราะเรื่องความเป็นพรรคการเมืองที่ถนัดเรื่องท้องถิ่น ไม่ใช่เรื่องการเมืองเชิงอุดมการณ์ เรื่องภูมิภาคก็มีส่วนสำคัญ คนรุ่นใหม่ในเมืองก็มีการเหยียดคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคอื่นที่ไปเลือกภูมิใจไทย เพราะมองว่ามันไม่ดีต่อการเมืองระดับประเทศ ส่วนคนที่เลือกภูมิใจไทยอาจคิดว่าปากท้องยังไม่ถูกแก้แล้วจะไปแก้ระดับประเทศได้อย่างไร
แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่ไม่ได้อินอุดมการณ์อะไร เขาเห็นว่าการเมืองแบบชนชั้นนำก็ดีอยู่แล้ว พรรคที่ไม่ได้ไปสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจอะไรอย่างภูมิใจไทยตอบโจทย์พวกเขามากกว่า ไม่เห็นต้องการการเมืองเชิงอุดมการณ์เลย มิหนำซ้ำเขาอาจมองว่าการเมืองเชิงอุดมการณ์เป็นการเมืองของพวกคนมีการศึกษาในเมืองแบบที่ไม่ตอบโจทย์พวกเขาก็ได้ ผมยอมรับว่านี่เป็นช่องโหว่ของบทวิเคราะห์ที่เป็นการวิเคราะห์เชิงอุดมการณ์ เพราะเรื่องอุดมการณ์อาจไม่ใช่ทุกอย่าง อาจใช้ได้กับคนจำนวนมากในไทย แต่ไม่ใช่ทุกคน ความขัดแย้งที่ผมพยายามวิเคราะห์ตลอดบทสัมภาษณ์นี้อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวเขา
ถามว่ากรอบอุดมการณ์อธิบายทุกอย่างได้ไหม มันก็ไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันสามารถอธิบายจิตวิญญาณของของยุคสมัย (Zeitgeist) ได้ว่าตอนนี้คนขัดแย้งกันในประเด็นไหน
อย่างไรก็ดีการที่ประชาชนส่วนหนึ่งเพิกเฉยต่ออำนาจนิยมของพวกชนชั้นนำทางการเมืองและความขัดแย้งที่มันก่อขึ้น ก็ทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของความอยุติธรรมที่ประชาชนส่วนอื่นได้รับภายใต้องคาพยพของการเมืองแบบชนชั้นนำ