การเมืองโลกยุคทรัมป์กับสมดุลทัศนะ ‘ธรรมะ-อธรรม’ ที่เปลี่ยนไป

ถึงแม้จะปฏิเสธได้ยากว่าบนเวทีการเมืองโลก อำนาจและผลประโยชน์เป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันพฤติกรรมของรัฐ แต่นั่นก็เป็นมุมมองด้านหยาบเพียงด้านเดียวในปรากฏการณ์ระหว่างประเทศ จริงอยู่ที่หลักคิดนี้ครอบงำมโนทัศน์มาช้านานจากการปลูกฝังให้เรา ‘ไม่คาดหวัง’ มากนักจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ แต่มนุษยชาติก็ดำเนินความพยายามมาโดยตลอดเพื่อนำพาการเมืองโลกให้เป็นมากกว่าเกมอำนาจและการหาผลประโยชน์เฉพาะตน

ความถูกต้องตามกฎเกณฑ์หรือตามทำนองครองธรรม การสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในสังคมโดยทั่วไปคาดหวังจะได้จากกัน และถือเป็นบรรทัดฐานอันเหมาะสมทางการเมืองไม่ว่าจะในประเทศไหน อาจฟังดูเลื่อนลอยไร้ความหมายในการเมืองโลก แต่นั่นก็เป็นหลักคุณค่าที่มีความพยายามปลูกฝังในระเบียบระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือภายใต้ระเบียบ ‘แบบเสรีนิยม’ ที่มีสหรัฐฯ เป็นแกนนำ

หลักคุณธรรม นิติธรรม ไปจนถึงสันติวิธี ตามอุดมการณ์แบบเสรีประชาธิปไตย กลายมาเป็นค่านิยมสากล ทั้งยังเป็นหลักการตั้งต้นและเป้าหมายสำหรับสถาบันระหว่างประเทศที่สถาปนาขึ้นมาโดยมีสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตัวตี ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี และโลกาภิบาลในกิจการด้านต่างๆ (global governance) ทั้งหมดนี้ดูจะมีสหรัฐฯ คอยค้ำยันให้คงอยู่และบรรลุผลเป็นรูปธรรมได้

อาจมีใครเถียงว่า ถึงที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ก็คือ ‘เครื่องมือ’ ที่สหรัฐฯ ใช้ครองโลกและดำรงสถานะความเป็นใหญ่หรือเป็นเจ้า (hegemony) โดยอาศัยการจัดวางบรรทัดฐานและกรอบปฏิบัติอันเหมาะสมมาสกัดไม่ให้รัฐใดท้าทายอำนาจของตน แต่ในอีกแง่ บรรทัดฐานเหล่านี้ก็กลายมาเป็นที่ยอมรับและยึดถือในฐานะ ‘มาตรวัดความชอบธรรม’ ของพฤติกรรมรัฐในประชาคมนานาชาติ ที่ผู้คนในประเทศต่างๆ (อย่างน้อยก็ในฝั่งโลกเสรี) เห็นดีเห็นงามด้วย

สหรัฐฯ เป็นต้นแบบการปฏิบัติตามบรรทัดฐานมาในประวัติศาสตร์โดยส่วนใหญ่ (แม้ไม่ได้เสมอต้นเสมอปลายเสมอไปก็ตาม) ทั้งในแง่การเป็นแบบอย่างแนวการปกครองเสรีประชาธิปไตยและแนวปฏิบัติของมหาอำนาจอันเป็นที่ยอมรับนับถือ นี่แหละที่โจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) มองเป็นข้อได้เปรียบเชิง ‘soft power’ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่ายุคใดพยายามประคับประคองให้คงอยู่ แต่มาถึงในสมัยประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์ 2.0’ สหรัฐฯ ดูจะกลายเป็นผู้ปฏิวัติบทบาทและมีท่าทีล่าถอยออกจากกรอบที่ตนก่อตั้งและธำรงรักษามาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความฮึกเหิมที่เพิ่มมากขึ้นจากชัยชนะในการเลือกตั้งจนได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย แบบที่ไม่ติดขัดต่อข้อด่างพร้อยและรอยแผลที่ได้สร้างไว้ในการเมืองของประเทศ ทำให้ทรัมป์เดินหน้าผลักดันวาระในแบบที่แทบจะ ‘ตามใจตัวเอง’ ทั้งนโยบายภายในและต่างประเทศ อย่างที่เห็นว่าเพียงไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่งเขาก็ได้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในหลายเรื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย

ท่าทีโอหัง (arrogant) ทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียว (unilateral) และหันไปยึดผลประโยชน์ของชาติตนเป็นที่ตั้งอย่างโต้งๆ จะส่งผลต่อสหรัฐฯ และระเบียบโลกอย่างไร ข้อเขียนนี้ขอหยิบยกประเด็นภาพลักษณ์และความชอบธรรมมาอภิปราย โดยมองว่าท่าทีการใช้อำนาจแบบบุ่มบ่ามมีผลลดทอนความชอบธรรมของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำและผู้คุ้มครองระเบียบที่เป็นอยู่

แนวโน้มพฤติกรรมเช่นนี้จะกระทบต่อสมดุลด้านภาพลักษณ์ระหว่างความเป็น ‘ฝ่ายธรรมะ’ ผู้คอยช่วยเหลือและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของมิตรประเทศ กับ ‘ฝ่ายอธรรม’ ผู้คอยจ้องจะขย่มโค่นล้มระเบียบ สมดุลที่ถูกสั่นคลอนนี้จะส่งผลต่อยุทธศาสตร์ของรัฐต่างๆ ในการบริหารจัดการระบบพันธมิตรกับสหรัฐฯ ตลอดจนอาจมีผลเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจระดับโลกในระยะยาวด้วย

โดนัลด์ ทรัมป์ กับการคืนสู่อำนาจอย่างยิ่งใหญ่แต่ใจแคบ

ช่วงหนึ่งเดือนแรกที่ทรัมป์เริ่มทำงานในทำเนียบขาว เราได้เห็นความปั่นป่วนภายในสหรัฐฯ ที่เกิดจากการตีโต้และโละรื้อค่านิยมและแนวปฏิบัติซึ่งมองว่าสะท้อนอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายเสรีของพรรคเดโมแครตที่ถูกโจมตีว่ารังแต่ทำให้สังคมสหรัฐฯ ถดถอย การจะบรรลุเป้าตามสโลแกน ‘ฟื้นความยิ่งใหญ่ให้สหรัฐฯ’ (Make America Great Again: MAGA) จะต้องเร่งผลักดันวาระอนุรักษนิยม ซึ่งหลายอย่างหมายถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนบางกลุ่ม แต่นี่ก็ดูจะสะท้อนสิ่งที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เรียกหาด้วยการช่วยกันพาทรัมป์กลับคืนสู่ตำแหน่ง

การโละทิ้งหลัก DEI (diversity, equality, inclusion) หรือ ‘ความหลากหลาย เท่าเทียม และเปิดกว้าง’ ในหน่วยงานต่างๆ การเพ่งเล็งส่งผู้อพยพต่างชาติกลับประเทศ และจำกัดพื้นที่กลุ่ม LGBTQ+ ดูจะเป็นผลงานแรกๆ ที่ตอบสนองความพอใจของฝ่ายขวา ขณะที่ในด้านการต่างประเทศ ทรัมป์ก็มีข้อริเริ่มแบบพลิกฝ่ามือจากสมัยไบเดน ซึ่งบีบให้ชาติพันธมิตรและอริต้องปรับตัวตามด้วยการนำภูมิปัญญาและทักษะการเจรจากับทรัมป์ที่วางขึ้นหิ้งไว้ตลอด 4 ปี กลับมาปัดฝุ่นใหม่เพื่อรับมือความไม่แน่นอนแบบสุดโต่งของสหรัฐฯ

วิถีการทูตบนเงื่อนไขการแลกเปลี่ยน (transactionalism) แบบฉบับของทรัมป์ที่ต้องมีข้อได้เปรียบของสหรัฐฯ เป็นที่ตั้ง กำลังเข้าแทนที่ ‘ความใจกว้าง’ ที่เคยมีให้พันธมิตร โดยเขามองว่านั่นคือการเป็น ‘ประเทศที่โง่เง่า’ (stupid country) การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าตามที่ขู่ไว้กับชาติที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับต้นๆ อย่าง จีน เม็กซิโก และแคนาดา (ทั้งที่สองชาติหลังร่วมอยู่ในกรอบการค้าเสรี NAFTA กับสหรัฐฯ) ชี้ชัดถึงความสุดโต่งในการปกป้องตลาดระลอกใหม่ นี่ยังไม่นับภาษีสินค้านำเข้าอีกหลายประเภทจากทั่วโลกที่รัฐบาลกำลังทยอยประกาศใช้

ส่วนในด้านความมั่นคง ท่าทีใจกว้างน่าจะแทนที่ด้วยแรงกดดันให้พันธมิตรต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมเพื่อลดภาระของสหรัฐฯ ในการป้องกันภูมิภาคต่างๆ อย่างกรณีพันธมิตรนาโต (NATO) ในยุโรป มีข่าวว่าสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาติสมาชิกเพิ่มงบถึงร้อยละ 5 ของ GDP จากที่ชาติโดยส่วนใหญ่ตอนนี้ใช้จ่ายไม่ถึงร้อยละ 3 เขายังเคยมีวาทะที่ต้องการให้พันธมิตรฝั่งเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ยอมจ่ายเพิ่มให้สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการคงฐานทัพในพื้นที่ ซึ่งทรัมป์มองเป็นภาระมากกว่าประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์

ส่วนท่าทีต่อชาติฝ่ายตรงข้าม เชื่อว่าชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ คงต้องพร้อมรับมือความแปลกใหม่ ไปจนถึงความงุนงงสับสนกับกลยุทธ์ของทรัมป์ สิ่งที่น่าจะมั่นใจได้คือจีนจะยังคงเป็นเป้าการคานอำนาจและสกัดกั้นต่อไป โดยรับประกันได้จากรายชื่อบุคคลในรัฐบาลซึ่งดูแลด้านยุทธศาสตร์และการต่างประเทศที่ส่วนใหญ่มีจุดยืน ‘ระแวงจีน’ สงครามการค้าจะยังคงดำเนินต่อไปเป็นแน่ แต่กับแนวหน้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย เกาหลีเหนือ และกลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง ทรัมป์อาจใช้วิธีที่ใครก็คิดไม่ถึง อย่างการฟุ้งว่าสหรัฐฯ จะเข้าครอบครองและฟื้นฟูฉนวนกาซ่าด้วยตนเองระหว่างการพบปะกับผู้นำอิสราเอลเมื่อไม่นานมานี้ ถึงจะฟังดูเหลวไหลแต่ก็ละเลยไม่ได้ เพราะอย่างกรณีที่เขาตั้งใจเปลี่ยนชื่อ ‘อ่าวเม็กซิโก’ เป็น ‘อ่าวอเมริกา’ ก็เกิดขึ้นแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะมีคนขบขันกับความคิดนี้ อีกทั้งเรื่องการตั้งภาษีนำเข้าต่อเม็กซิโกและแคนาดาก็เช่นกัน มองกลับไปในสมัยแรกเขายังได้เปิดการประชุมสุดยอดกับคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือแบบที่คนส่วนใหญ่มึนงง ทั้งยังสานสัมพันธ์เข้าหาวลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คาดว่าท่าทีที่ไม่เคยเห็นทำนองนี้จะหวนกลับมาอีกครั้ง

แบบแผนของสหรัฐฯ ในการใช้อำนาจครองโลกอย่างละมุนละม่อม

แม้ว่าผู้นำชาติต่างๆ อาจเตรียมรับสภาวการณ์ที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ได้พอสมควรจากที่เคยเห็นและสัมผัสการเล่นเกมการเมืองโลกของทรัมป์มาก่อน แต่สหรัฐฯ ในแบบนี้ก็ต่างไปจากมาตรฐานพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่ได้ดำเนินมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐฯ สลัดทิ้งแนวทาง ‘โดดเดี่ยวตัวเอง’ (isolationism) มาเป็นแกนนำก่อตั้ง บริหารจัดการ และปกปักษ์รักษาระเบียบโลกอย่างที่เห็นมาจนถึงปัจจุบัน โดยตั้งอยู่บนหลักการ แบบแผน และยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างมีความสอดคล้องต่อเนื่อง

นักวิชาการไม่น้อยมองว่ามาตรฐานเสรีนิยมและความยับยั้งชั่งใจ (self-restraint) ที่สหรัฐฯ ยึดถือในการเข้าหาประชาคมโลกเป็นปัจจัยทำให้สามารถรักษาพันธมิตรได้ในระยะยาว รวมถึงสถานะความเป็นเจ้า (hegemon) มาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับ แม้ในบางช่วงนโยบายอาจเบี่ยงเบนจากกรอบหรือเกิดข้อกังขาว่าสหรัฐฯ กำลังถดถอย แต่ก็หวนคืนสู่ลู่ทางเดิมได้ สมัยทรัมป์ก็อาจมองเป็นอีกช่วงที่สหรัฐฯ เฉออกนอกเส้นทาง แต่ยิ่งวิ่งห่างออกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าห่วงว่าจะกลับสู่ทิศทางเดิมได้ไหมและจะก่อผลกระทบยังไงบ้าง

พฤติกรรมอันเป็นมาตรฐานดั้งเดิมของสหรัฐฯ ที่ว่านี้ ประกอบด้วยการปฏิบัติตนเป็นต้นแบบอุดมการณ์และระบอบเสรีประชาธิปไตย การใช้ค่านิยมนี้จัดระเบียบโลก ความใจกว้างที่มีต่อมิตรประเทศ และความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนและคุ้มกันพันธมิตรในยุโรปและเอเชีย (Eurasia) สหรัฐฯ ยังคอยสอดส่องดุลอำนาจจากอีกฝั่งทวีป (offshore balancing) และรับภาระเป็นผู้ปกป้องระเบียบโดยรวม ซึ่งยืนบนกฎเกณฑ์ (rule-based order) อันเป็นที่ยอมรับและเปิดให้นานาชาติมีส่วนร่วมผ่านสถาบันระหว่างประเทศ

การให้ความสำคัญกับพันธมิตรและความใจกว้าง (magnanimity) อย่างการเจียดศักยภาพมาจุนเจือชาติที่ด้อยกว่าและรับภาระคุ้มกันระเบียบเช่นนี้ หาใช่เป็นเรื่องการกุศลที่ปราศจากซึ่งนัยเชิงผลประโยชน์ ที่จริง นั่นเป็นบทบาทที่ทำให้สหรัฐฯ คงสถานะผู้ครองระเบียบอยู่ได้และสามารถจัดแจงให้เกิดสภาพการณ์อันเหมาะสมสำหรับแสวงหาผลประโยชน์ของตนที่แผ่ไประดับโลก โดยอาศัยกฎเกณฑ์และสถาบันอันชอบธรรมที่ตนจัดตั้งขึ้น พร้อมไปกับการรักษาสมดุลอำนาจในพื้นที่ต่างๆ ผ่านระบบพันธมิตร เป็นเครื่องมือ

แนวทางเช่นนี้ยังประโยชน์แก่สหรัฐฯ ในระยะยาวมากกว่าเน้นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะสั้น นั่นคือทำให้สหรัฐฯ แผ่และคงอิทธิพลในส่วนต่างๆ ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสกัดยับยั้งรัฐวายร้ายไม่ให้ผุดขึ้นมาและขยายอำนาจจนเป็นภัยต่อตน หรือสั่นคลอนระเบียบที่สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ยึดโยงอยู่ การที่สหรัฐฯ มีช่องทางเข้าไปกำกับหรือมีส่วนกำหนดยุทธศาสตร์ของรัฐอื่นผ่านกรอบพันธมิตร ถือเป็น ‘อภิสิทธิ์’ และข้อได้เปรียบในการปรุงแต่งและแทรกแซงความเป็นไปในที่ต่างๆ ให้สอดคล้องตามความประสงค์

ผลได้เช่นนี้ยังรวมถึงความสามารถคงกองกำลังและฐานทัพไว้ในดินแดนของชาติพันธมิตรที่กระจายในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยมีฉากทัศน์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็นเป็นบทเรียนชี้ถึงภัยคุกคามที่อาจลุกลามข้ามมหาสมุทรมาถึงทวีปอเมริกาได้ทุกเมื่อ แม้ทรัมป์จะตีความบทบาทของสหรัฐฯ ดังกล่าวว่าเป็น “การทำเพื่อเพื่อนจนตนเองเสียหาย” แต่นักคิดและนักยุทธศาสตร์มองเป็นความจำเป็นเพื่อรักษาอำนาจของสหรัฐฯ เอง และถือเป็นยุทธศาสตร์แกนหลัก (grand strategy) ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยึดถือมา

คุณสมบัติและบทบาทของมหาอำนาจฝ่ายธรรมะตามแบบสหรัฐฯ

จอห์น ไอเคนแบรี (John Ikenberry) มองระเบียบโลกแบบเสรี ซึ่งถือกำเนิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ว่าตอบสนองอำนาจและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นก็ต้องแลก (bargain) กับการรับบทผู้นำที่อาจอธิบายด้วยคำว่า ‘ใจกว้าง’ และการใช้อำนาจอย่างบันยะบันยัง (restrain) โดยเลี่ยงท่าที ‘เอาแต่ใจ’ ทั้งนี้ การครองและบริหารจัดการระเบียบผ่านการวางกฎเกณฑ์ กลไก และสถาบันที่ชาติต่างๆ มีส่วนร่วมและยอมรับ ถือเป็นสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการเป็นมหาอำนาจที่ชอบธรรม เพราะนั่นสะท้อนวิถีการใช้อำนาจอย่างบันยะบันยังที่ว่า

แม้ว่าสหรัฐฯ จะครองความเป็นใหญ่ขนาดที่คิดทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ต้องพึ่งกรอบหรือกลไกพหุภาคี (อย่างสหประชาชาติ) ก็ยังได้ แต่ด้วยหลักการเสรีนิยมหรือเพราะตระหนักถึงผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ การปฏิบัติตนในกรอบสถาบันรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้น ทำให้สหรัฐฯ ดูเป็นมหาอำนาจที่ใฝ่ดี ใฝ่สันติ เป็นผู้นำที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ เป็น ‘ฝ่ายธรรมะ’ ในสายตาพันธมิตร และดู ‘ไม่เป็นภัย’ (benign) ไม่น่าหวั่นเกรง หรือมีอุปนิสัยบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตามต้องการ

ความรู้สึก ‘ไม่เป็นภัย’ และ ‘ดูชอบธรรม’ เป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่จำเป็นสำหรับสหรัฐฯ ในการธำรงพันธมิตรทั่วโลก โดยมีส่วนช่วยรับประกัน (reassure) ว่าชาติที่หันมาพึ่งสหรัฐฯ เพื่อความคุ้มครองหรือเสริมสร้างการป้องกันประเทศจะปลอดภัยจากการถูกสหรัฐฯ ‘หักหลัง’ หรือ ‘ผิดสัญญา’ ใน 2 แบบ อันเป็นปัญหาและข้อวิตกพื้นฐานในยุทธศาสตร์การเกาะกลุ่มเพื่อจัดการความมั่นคง ด้านหนึ่งคือการถูกครอบงำหรือบีบบังคับ (dominated) จากสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพเหนือกว่า และอีกด้านคือถูกทอดทิ้ง (abandoned) ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานให้รับมือภัยคุกคามตามลำพัง

ท่าทีไม่มีพิษภัยที่สั่งสมผ่านวิถีการใช้อำนาจตามกรอบกติกาทำให้พันธมิตรคลายความกังวลดังกล่าว และไม่มองอำนาจของสหรัฐฯ ด้วยความรู้สึกคุกคาม ภาวะเช่นนี้ช่วยระงับแนวโน้มอันเป็นปกติวิสัยในการเมืองโลกที่รัฐทั่วไปมักหวาดระแวงและมุ่ง ‘ถ่วงดุลอำนาจ’ กับชาติใหญ่ เนื่องจากไม่อาจแน่ใจได้ว่าอำนาจที่เหนือกว่านั้นจะถูกใช้แบบประสงค์ร้ายกับตนหรือไม่ สหรัฐฯ ไม่เพียงเลี่ยงการถูกรัฐอื่นถ่วงดุลหรือจับกลุ่มต่อต้านได้เท่านั้น ยังสามารถคงบทบาทเป็นแกนค้ำยันในภูมิภาคต่างๆ จากการเชื้อเชิญของเหล่าพันธมิตรอีกด้วย

ยิ่งสหรัฐฯ ย้ำจุดยืนว่าตนจะยึดมั่นในพันธะตามสนธิสัญญาป้องกันร่วมด้วยความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะในกรอบนาโต หรือกรอบทวิภาคีต่างๆ ก็ยิ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความอุ่นใจในหมู่พันธมิตรว่าจะไม่ถูกสหรัฐฯ กลับลำทอดทิ้ง แนวโน้มเชิงบวกที่ส่งเสริมภาพแกนนำฝ่ายธรรมะยังมาจากท่าทีใจดีใจกว้างด้วยการเจียดศักยภาพมาทำ ‘ประโยชน์ส่วนรวม’ ไม่ว่าการเปิดเสรีให้สินค้าจากนานาชาติเข้าไปตีตลาดกำลังซื้อสูงในประเทศ ตลอดจนไม่เกี่ยงงอนในการดูแลสมดุลอำนาจ โดยคอยช่วยเหลือหรือหนุนหลังพันธมิตร

ถือเป็นความสำเร็จของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกันที่บรรดาชาติฝ่ายเสรีมีความเชื่อมั่นและมองเห็นความสำคัญในฐานะเสาหลักในการธำรงระเบียบและสันติภาพ อย่างที่ทฤษฎี ‘การประกันเสถียรภาพโดยรัฐเป็นใหญ่’ (hegemonic stability theory) เสนอว่ามหาอำนาจหากมีความตั้งใจ ย่อมสามารถดูแลจัดการระเบียบให้สงบสันติได้โดยอาศัยศักยภาพที่มีเหนือกว่าเพื่อน ขณะที่ตนก็ได้ประโยชน์กลับมาจากการเป็นผู้กุมระบบและตำแหน่งที่สามารถสอดส่องตรวจตราพฤติกรรมของรัฐอื่นๆ ให้อยู่ในโอวาทได้

มหาอำนาจฝ่ายอธรรมผู้ท้าชิงความเป็นใหญ่ในระเบียบโลก

ภาพลักษณ์ฝ่ายธรรมะนอกจากสะท้อนผ่านปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องในค่ายเดียวกันดังที่กล่าวมาแล้ว เรายังคุ้นเคยกับวาทกรรมการเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ (guardian) ‘ผู้รับประกัน’ (guarantor) ‘ผู้รักษาสมดุล’ (balancer) และ ‘ตำรวจโลก’ ของสหรัฐฯ ซึ่งแม้บางครั้งอาจแฝงนัยเสียดสี หรือสื่อถึงการแทรกแซง ก้าวก่าย และกะเกณฑ์ผู้อื่นเกินกว่าเหตุ แต่นั่นก็ชี้ให้เห็นบทบาทที่ผ่านมาของสหรัฐฯ ที่มีความกระตือรือร้นระดับโลก ตลอดจนความคาดหวังโดยเฉพาะจากรัฐร่วมอุดมการณ์ที่อยากให้สหรัฐฯ ปกปักษ์รักษาระเบียบตามหลักค่านิยมที่มีมา (status quo order) อันเป็นบทบาทที่ชอบธรรม

เมื่อตระหนักถึงคุณประโยชน์ที่สหรัฐฯ จัดสรรแก่พันธมิตรและระเบียบส่วนใหญ่ในยุคก่อนหน้า รวมไปถึงผลได้ที่ย้อนกลับเข้าหาสหรัฐฯ เองแล้ว การพลิกแนวนโยบายในรัฐบาลทรัมป์มาสู่การเน้นผลประโยชน์เฉพาะหน้าแบบ ‘อเมริกามาก่อน’ จึงดูจะย้อนแย้งกับคำขวัญ ‘เรียกคืนความยิ่งใหญ่’ ในเมื่อมุมมองเชิงยุทธศาสตร์กลับกลายเป็นคับแคบเข้าหาตัวเองมากกว่าที่จะฟื้นฟูบทบาทและความใจกว้างต่อพวกพ้องดังที่ผ่านมา อันที่จริง ข้อกังขาว่าสหรัฐฯ ยังสามารถพึ่งพาได้หรือไม่มีขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2010 (สมัยโอบาม่ามาจนถึงทรัมป์ 1.0) แล้ว

การไม่อาจป้องปรามสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของพันธมิตร ทั้งกรณีอิรัก อัฟกานิสถาน ไครเมีย ยูเครน และกาซ่า (แม้กรณีนี้สหรัฐฯ อยู่ข้างอิสราเอล) ก็บ่งบอกถึงศักยภาพและความหนักแน่นในการดูแลระเบียบที่คลายมนต์ขลังลง อีกทั้งการทะยานขึ้นมาของจีนฝั่งเอเชียในฐานะต้นแบบการพัฒนาและความทันสมัยแบบอำนาจนิยม ก็ทำให้หลักคุณค่าเสรีประชาธิปไตยที่เคยอยู่คู่หรือผูกขาดความเจริญรุ่งเรืองเสื่อมสถานะลงโดยเปรียบเทียบ สหรัฐฯ กำลังประสบกับผู้ท้าชิงที่ไม่จำกัดเฉพาะแนวหน้าด้านแสนยานุภาพ แต่ในด้าน ‘ความชอบธรรม’ ในฐานะผู้นำระเบียบโลกด้วย

แน่นอนว่าสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าจีนแทบทุกด้าน โดยข้อได้เปรียบสำคัญเห็นจะเป็นการมีกลุ่มก้อนพันธมิตรที่สั่งสมประคบประหงมมายาวนานผ่านกระบวนการดังกล่าวมา จีนถูกมองเป็นมหาอำนาจที่ ‘ขาดเพื่อน’ แต่ความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ก็ผลักดันให้จีนฟูมฟักสายสัมพันธ์ด้วยการอุปถัมป์ชาติเล็กใหญ่ที่ไม่ยึดติดระบอบประชาธิปไตยหรือที่ขยาดอำนาจของสหรัฐฯ จีนจึงเสียเปรียบในฐานะผู้ท้าชิงที่อาจถูกมองว่าจ้องที่จะบ่อนทำลายระเบียบที่สหรัฐฯ เป็นผู้ปกครองและกระจายประโยชน์ให้แก่ชาติต่างๆ อย่างทั่วถึง

นี่ถือเป็นปัญหาความชอบธรรมของจีนจากการมักถูกตีตราว่ายืนอยู่ตรงข้ามกับหลักเกณฑ์และความถูกต้องตามแบบแผนเสรีนิยม หรือเป็นวายร้าย ‘ฝ่ายอธรรม’ ทั้งจากรูปแบบการปกครองที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ การขยายกำลังทหารอย่างน่าหวั่นเกรง และพฤติกรรมทวงคืนผืนดินผืนน้ำ รวมถึงไต้หวันและทะเลจีนใต้ ซึ่งไม่เพียงกระทบชาติข้างเคียงแต่ยังส่งผลปรับแปลงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเอเชียด้วย ท่าทีที่ดูเอาแต่ใจและใช้กำลังข่มขู่ของจีนถูกเหมารวมได้ง่ายว่าเป็นฝ่ายที่สร้างความปั่นป่วนก่อกวนเสถียรภาพและสันติภาพ

การเกิดรัฐกลุ่มน้อยขึ้นท้าทายบรรทัดฐานเดิมที่ผูกพันและจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่รัฐส่วนใหญ่ ยิ่งขับเน้นมโนทัศน์การแบ่ง ‘พวกเรา-พวกเขา’ ให้เด่นชัดขึ้น ซึ่งก็ยากที่จะแยกจากการประเมินตัดสินเชิงคุณธรรมแบบแบ่งเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติชอบตามกรอบกติกากับฝ่ายที่ก่อปัญหา แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมองโลกเป็นฝ่าย ‘ธรรมะ-อธรรม’ นี้ ขึ้นอยู่อีกทอดกับอคติว่าใครคือพรรคพวกเรา ใครให้ประโยชน์แก่เรา และใครที่เป็นภัย แต่มโนทัศน์เช่นนี้ก็ส่งเสริมวาทกรรมที่ใช้ลดทอนความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามและให้เหตุผลรองรับมาตรการตอบโต้

การแข่งขันความชอบธรรมผ่านวาทกรรมและภาพลักษณ์

บ่อยครั้งที่ฝ่ายจีนผลิตวาทกรรมย้ำภาพสหรัฐฯ ว่าเป็นฝ่ายอธรรม โดยทำตัวไม่ต่างจากอันธพาลที่หาเรื่องระราน ยั่วยุ ใส่ร้ายป้ายสี และกีดกันชาติอื่นเพราะกลัวจะเสียตำแหน่ง แต่การที่จีนมีพันธมิตรเพียงหยิบมือ หนึ่งในนั้นคือรัสเซียที่กระทำการรุกรานยูเครน และอีกชาติคือเกาหลีเหนือที่มุ่งพัฒนาอาวุธต้องห้าม ผนวกกับที่จีนเองก็มักจะระงับความเกรี้ยวกราดไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะในกรณีไต้หวัน ก็ทำให้เป็นการยากที่จะแข่งขันสร้างภาพลักษณ์อันดีงามเพื่อยื้อแย่งส่วนแบ่งความชอบธรรมบนเวทีโลกจากสหรัฐฯ และชาติโลกเสรี

การที่จีนเน้นย้ำตลอดการไต่สู่สถานะอำนาจว่าตนจะ ‘ทะยานขึ้นอย่างสันติ’ (peaceful rise) และไม่คิดแผ่อิทธิพลครอบงำใคร ก็ถือเป็นยุทธศาสตร์บนความตระหนักถึงข้อด้อยเชิงความชอบธรรมที่ติดพ่วงมากับสถานะการเป็นรัฐผงาดใหม่ในระเบียบที่สหรัฐฯ และชาติเสรีเป็นเจ้าของ จีนส่งเสริมและเผยแพร่วาทกรรมนี้เพื่อเจือจางภาพลักษณ์ภัยคุกคาม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์เชิง soft power แบบหนึ่ง เพื่อลดความรู้สึกเกลียดกลัวและหวังจะเลี่ยงการถูกรัฐต่างๆ รวมหัวต่อต้าน

จีนยังหาทางพิสูจน์ว่าตนก็มีบทบาท ‘เชิงบวก’ ต่อประชาคมโลกได้ ด้วยการดำเนินรอยตามมาตรฐานบทบาทที่สหรัฐฯ ทำเป็นต้นแบบ ไม่ว่าการแสดงความใจกว้าง นำศักยภาพอันเหลือเฟือมาจุนเจือชาติที่ด้อยกว่า ร่วมสร้างคุณูปการและสาธารณประโยชน์ ตลอดจนยืนหยัดทัดทานความลุแก่อำนาจ (abuse of power) ของเหล่ารัฐใหญ่ๆ ที่ครอบงำระเบียบ โดยเป็นตัวเลือกให้ชาติเล็กๆ มีที่ยึดเหนี่ยว อย่างที่เห็นว่าบ่อยครั้งก็เป็นสหรัฐฯ เสียเองที่เป็นฝ่ายใช้กำลังแทรกแซงในที่ต่างๆ ของโลก

อันที่จริงแล้วการจะชี้ชัดว่ารัฐและคนบนโลกมีทัศนะมองมหาอำนาจใดเป็นฝ่ายธรรมะ-อธรรมอย่างแม่นยำนั้น อาจต้องใช้วิธีสำรวจความคิดเห็นขนานใหญ่เป็นตัวตัดสิน ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อเขียนนี้เพียงเสนอประเด็นถกเถียงบนข้อสันนิษฐานว่าท่าทีของสหรัฐฯ หลังทรัมป์ขึ้นกุมบังเหียนมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าใกล้พฤติกรรมของฝ่ายที่สหรัฐฯ มักให้ภาพเป็นวายร้ายหรือฝ่ายอธรรมมากขึ้น จากการหันไปใช้นโยบายที่สร้างความปั่นป่วนต่อแบบแผนการต่างประเทศที่เคยถือปฏิบัติมา

ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์กับสมดุลทัศนะธรรมะ-อธรรมที่เปลี่ยนไป

การกระทำแบบบุ่มบ่ามตามอำเภอใจและยึดผลประโยชน์ของตนเป็นศูนย์กลาง นอกจากจะสร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพและระเบียบที่เป็นอยู่แล้ว ยังลดภาพลักษณ์ฝ่ายธรรมะของสหรัฐฯ ลง ซึ่งหมายถึงความรู้สึกเชื่อมั่น (credibility) พึ่งพาได้ในสายตาของชาติพันธมิตร รวมไปถึงการเป็นที่ยึดเหนี่ยวและเป็นพลังด้านบวกในการจัดการระบบระเบียบ กฎเกณฑ์ และหลักคุณค่าแบบเสรี ทั้งยังลดทอนคุณสมบัติมหาอำนาจที่ดูไม่เป็นภัยและใจดีใจกว้าง อันเป็นแกนกลางสร้างปึกแผ่นในหมู่พันธมิตรด้วย

นอกจากวีรกรรมหลังรับตำแหน่งที่เอ่ยถึงตอนต้น ทรัมป์ยังแผลงฤทธิ์โดยการประกาศจะยึดคืนคลองปานามา จะยึดครองกรีนแลนด์ (ส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก) และผนวกแคนาดาเป็นมลรัฐที่ 51 แนวคิดขยายดินแดนเช่นนี้แม้ฟังดูเพ้อเจ้อหรือเพียงเรียกกระแสสื่อ แต่ก็ส่งผลกระพือความกังวลให้หลายฝ่าย โดยในขั้นเบา นี่คือการตอกย้ำความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของนโยบายทรัมป์ ซึ่งตั้งอยู่บนความเอาแต่ใจและไม่แยแสมิตรประเทศ ในขั้นหนักนี่ย่อมกระทบความเป็นปึกแผ่นของพันธมิตรในยุคที่เอกภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องปรามรัฐฝ่ายตรงข้ามไม่ให้คุกคามหรือสั่นคลอนระเบียบ

ทรัมป์ดูจะไม่สนว่าวาทะของเขาส่งผลในเชิงยุทธศาสตร์โดยเฉพาะการส่งสัญญาณและผลทางจิตวิทยาต่อพันธมิตรอย่างไรเมื่อเขามองว่าชาติเหล่านี้ได้แต่พึ่งสหรัฐฯ อยู่ฝ่ายเดียว หรือหากเขามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการทำเช่นนั้น ผลที่ได้ก็ยังต้องแลกกับความชอบธรรมที่สั่งสมมาบนฐานการเป็นมหาอำนาจที่มีความยับยั้งชั่งใจ และการปฏิบัติตามพันธะสัญญาที่ให้กับพันธมิตรว่าจะไม่ใช้อำนาจบีบบังคับ หรือละทิ้งบทบาทพี่ใหญ่ผู้ให้การคุ้มกันและปกป้องผลประโยชน์

จุดยืนของสหรัฐฯ ที่เห็นองค์การระหว่างประเทศและกลไกพหุพาคีว่าไม่ตอบสนองความต้องการและหันหลังให้กรอบการจัดการวาระระดับโลก ไม่เพียงเดินออกห่างแนวทางที่ใช้หลักเสรีนิยมจัดการระเบียบระหว่างประเทศตามแบบแผนที่ทำมา แต่ยังดูจะเป็นฝ่ายที่บั่นทอนระเบียบอันเป็นเครื่องมือสำหรับใช้อำนาจแบบบันยะบันยังบนหลักกฎเกณฑ์ของตน ทั้งที่นี่คือคุณสมบัติซึ่งหล่อเลี้ยงภาพลักษณ์การเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ ผู้คอยปกปักษ์รักษาระเบียบโลก

เมื่อสหรัฐฯ ไม่ได้ถูกมองด้วยภาพลักษณ์แบบมหาอำนาจที่ใจดี ไว้ใจได้ และใฝ่คุณธรรมในระดับดั้งเดิมแล้ว อาจนำมาซึ่งสถานการณ์ (scenario) ซึ่งสั่นคลอนความได้เปรียบของสหรัฐฯ บนเวทีโลก ทรัมป์อาจคิดว่าการยกระดับแรงกดดันให้ยิ่งแข็งกร้าวด้วยการข่มขู่และวางมาตรการลงโทษ จะบีบให้พันธมิตรยิ่งต้องเพิ่มความพยายามปฏิรูปและปรับปรุงตัวตามข้อเรียกร้อง เพื่อแลกกับความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ และระบบพันธมิตรที่แน่นแฟ้นขึ้น แต่ท่าทีโอหังมากขึ้นก็อาจส่งผลตรงข้ามได้หลายทางเช่นกัน

การปรับกลยุทธ์ของพันธมิตรเมื่อสหรัฐฯ เปิดประตูสู่ด้านมืด

ประการแรก เมื่อสหรัฐฯ ดูไม่น่าไว้วางใจในฐานะผู้คุมกฎ ผู้คุ้มภัย และชาติใหญ่ที่ใช้อำนาจในทางบวกต่อผู้อื่น ย่อมผลักดันให้พันธมิตรต้องปรับยุทธศาสตร์การเข้าหาสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ เป็นไปได้ว่าความพยายาม ‘ลดการพึ่งพิง’ จะเกิดขึ้น ซึ่งในระยะสั้นทรัมป์อาจถูกใจสิ่งนี้ เพราะตรงกับความต้องการลดภาระการเป็นผู้ปกป้องบริวารในแคมป์ตนเอง แต่ในระยะยาวนั่นก็เท่ากับการที่เหล่าพันธมิตรจะมองและรู้สึกว่าบทบาท อำนาจ และการปรากฏกายของสหรัฐฯ ในภูมิภาค มีความจำเป็นลดลง

ในแง่นี้ สหรัฐฯ อาจเสียอิทธิพล การเข้าถึง และการมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางจัดการระเบียบกับพันธมิตรในแบบยินยอมพร้อมใจได้อย่างเก่า ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการกะเกณฑ์สภาวการณ์ในภูมิภาคต่างๆ ลดลง ถึงกระนั้นเมื่อคำนึงถึงศักยภาพ สหรัฐฯ คงไม่ถูกผลักไสออกจากกรอบความร่วมมือ แต่เมื่อระดับความเชื่อมั่นลดลงก็ทำให้พลังการโน้มน้าวและความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลดลงด้วย ความเคลื่อนไหวเพื่อจัดการปัญหาแบบ ‘ไม่พึ่งสหรัฐฯ’ เริ่มมีให้เห็นมาพักหนึ่งแล้ว โดยถูกกระตุ้นจากความไม่แน่นอนของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก

เห็นได้จากแนวโน้มการสานสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในหมู่รัฐอำนาจรองกันเอง ทั้งแบบภายในภูมิภาคและแบบข้ามทวีป เช่น ระหว่างชาติเอเชียกับยุโรป แนวทางที่เรียกว่าการสร้าง ‘เครือข่ายในหมู่ซี่ล้อ’ (network among spokes) นี้คือวิธีลดการยึดเกาะกับ ‘แกน’ (hub) อันหมายถึงสหรัฐฯ ตามโครงสร้างดั้งเดิมแบบ ‘hub & spokes’ ซึ่งมีสหรัฐฯ ยืนหยัดป้องปรามศัตรู และสนับสนุนพันธมิตร กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือแนวโน้มการ ‘เผื่อทางหนีทีไล่’ (hedging) ของพันธมิตรโลกเสรี ในยามที่สหรัฐฯ ดูเบี่ยงเบนจากพันธะสัญญาเดิม

ประการถัดมา การเพิ่มพูนแสนยานุภาพด้วยตัวเอง และกระชับพันธมิตรกันเองโดยไม่พึ่งแต่สหรัฐฯ นั้น ยังไม่ใช่ทั้งหมดของวิธีการที่ชาติค่ายเสรีวางเผื่อไว้รับความเสี่ยงกรณีที่อาจถูกสหรัฐฯ หักหลัง เมื่อสหรัฐฯ มีท่าทีและนิสัยไปทำนองเดียวกับฝ่ายอธรรมในเวทีโลกมากขึ้น สมดุลความชอบธรรมและ soft power จึงไม่ได้เทน้ำหนักไปยังสหรัฐฯ มากเท่าเดิม ภาพลักษณ์วายร้ายฝ่ายอธรรมที่เพิ่มขึ้นตามพฤติกรรมเรียกร้อง กดดัน และทำตามอำเภอใจของรัฐบาลทรัมป์ กำลังทำให้ศัตรูขั้วตรงข้ามดูมีท่าทีบุ่มบ่าม ไร้เหตุผล และเอาแต่ใจ ‘น้อยลงในเชิงเปรียบเทียบ’

นี่ทำให้พันธมิตรเกิดแรงจูงใจในการเผื่อทางเลือก ‘ประนีประนอมเข้าหา’ (engage) รัฐอริฝ่ายอธรรมมากขึ้น อย่าง จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ก็ในเมื่อกลไกป้องปรามที่ต้องอาศัยท่าทีแน่วแน่และการสื่อสารจากสหรัฐฯ ว่าจะยืนหยัดเคียงข้างพันธมิตรอย่างคงเส้นคงวา กำลังเสื่อมถอยเพราะความไม่แน่นอนในนโยบายและคำพูดของทรัมป์ อีกทั้งเมื่อมองว่าการเข้าหาและเจรจากับสหรัฐฯ ก็เสี่ยงที่จะถูกข่มขู่กดดันบนการคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนพอๆ กันแล้ว การผูกมิตรเข้าหาฝ่ายอธรรมก็ดูไม่ได้ย่ำแย่หรือลำบากมากจนเกินไป

การที่สหรัฐฯ ทำตนเป็นตัวปัญหาท้าทายกฎเกณฑ์ แบบแผน หรือเป็น ‘รัฐสั่นคลอนระเบียบ’ ที่เป็นอยู่ (revisionist state) เสียเอง อาจส่งผลเปลี่ยนแปลงการรับรู้ในหมู่พันธมิตรว่ารัฐอธรรมที่เป็นศัตรูของค่ายโลกเสรีตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาหรือภัยคุกคามใหญ่ขนาดนั้น (เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีพฤติกรรมห่ามพอกัน) และเมื่อภาวะไร้เสถียรภาพและวิกฤตอาจมีต้นเหตุมาจากฝั่งสหรัฐฯ ได้ไม่ต่างกัน ความรู้สึกคุกคาม (threat perception) และมองศัตรูขั้วตรงข้ามว่าชั่วร้ายอาจผ่อนเบาระดับความรุนแรงลง ทำให้สามารถประนีประนอมเข้าหาอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น

สมดุลอำนาจที่เปลี่ยนแปลงจากสมดุลทัศนะธรรมะ-อธรรมที่เปลี่ยนไป

ภาวะที่ต่อพ่วงจากสถานการณ์ข้างต้นคือ เมื่อสมดุลแห่งมโนภาพ ‘ธรรมะ-อธรรม’ เคลื่อนไปจากจุดที่สหรัฐฯ ได้เปรียบ รัฐคู่กรณีอาจถือโอกาสสร้างภาพและวาทกรรมที่เน้นพฤติกรรมกร่างและข่มเหงรังแกชาวบ้าน (bullying) ของสหรัฐฯ ซึ่งก็เพื่อฉกฉวยสถานะอันน่าเชื่อถือ ชอบธรรม โดยเสนอตัวเป็นทางเลือกทดแทนบทบาทของสหรัฐฯ ที่มีข้อแม้มากและหวังผลยากขึ้น ดังที่เห็นว่าขณะที่ทรัมป์กำลังก่อความวิตกให้เศรษฐกิจโลกด้วยกำแพงภาษี จีนดูจะมีท่าทีสุขุม โดยสีจิ้นผิงออกมาย้ำความสำคัญที่จะต้องปกป้องระบบเศรษฐกิจแบบเสรีจากแนวโน้มการใช้นโยบายปกป้องตลาดและชาตินิยมของบางประเทศ

การยื้อแย่งภาพลักษณ์ฝ่ายธรรมะนี้ยังมีความสำคัญในเกมจิตวิทยาและการโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะในหมู่ชาติเล็กๆ ที่ต้องพึ่งรัฐพี่ใหญ่ในหลายด้าน ดังนั้นศักยภาพ ความใจกว้าง ดูพึ่งได้ และน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งดึงดูดการร่วมขบวนเข้าหารัฐมหาอำนาจ (bandwagon) สหรัฐฯ ที่เคยได้เปรียบในเรื่องนี้จากการไม่เกี่ยงที่จะสร้างสาธารณประโยชน์ให้แก่โลก อาจตกเป็นรองฝ่ายตรงข้ามที่ยินดีรับหน้าที่โอบอุ้มชาติที่ด้อยกว่าโดยไม่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนมากนัก

ยิ่งเมื่อบวกกับภาวะที่สหรัฐฯ เสียดุลความชอบธรรมจากภาพลักษณ์หวังแต่ผลประโยชน์ เอาแต่ใจ และไม่สนกฎเกณฑ์แล้ว รัฐเล็กเหล่านี้อาจต้องหาทางเผื่อทางหนีทีไล่ หันเหจุดยืนและการทูตเข้าหาค่ายที่ตนเคยมองเป็นภัยมาก่อนแต่ตอนนี้ดูเป็นมิตรขึ้นจากการเปลี่ยนท่าทีของสหรัฐฯ การประนีประนอมเข้าร่วมขบวนกับอีกฝั่งนอกจากจะเป็นเรื่องการเลือกพี่ใหญ่ที่พึ่งได้และให้ประโยชน์แก่ตนได้มากกว่าแล้ว อาจเกิดจากการยอมจำนน เพราะถึงแม้จะเสี่ยงถูกควบคุมข่มเหง แต่ในเมื่อพี่ใหญ่ขั้วเดิมดูสับสนวุ่นวายไม่อาจเอาแน่เอานอนได้ จึงต้องหาทางไปตายเอาดาบหน้า

สถานการณ์สุดโต่งที่เป็นไปได้อีกประการ อาจเกิดขึ้นเมื่อทัศนะที่ว่าสหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจฝ่ายธรรมะถูกตั้งข้อกังขาหนักข้อเข้า นั่นคือเมื่อชาติค่ายเสรีด้วยกันเริ่มมองสหรัฐฯ ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบไร้หลักประกันและความยับยั้งชั่งใจ แสนยานุภาพของสหรัฐฯ อาจถูกมองทั้งโดยอริและมิตรด้วยกันว่ากลายเป็นภัยคุกคาม ดังที่ไอเคนแบรีวิเคราะห์ไว้ว่าแนวทางเสรีนิยมและการใช้อำนาจอย่างบันยะบันยังช่วยให้สหรัฐฯ รอดพ้นการถูกนานาชาติผนึกกำลังเพื่อถ่วงคานหรือต่อต้านอำนาจ (anti-hegemonic coalition) มาได้โดยตลอด

เมื่อสหรัฐฯ ทิ้งบรรทัดฐานเหล่านั้นก็อาจเสี่ยงตกเป็นเป้าถูกปิดล้อม (encircle) ไม่ต่างจากจีนปัจจุบัน จากการถูกประชาคมโลกมองด้วยสายตาหวาดระแวงมากขึ้น ภาวะเช่นนี้อาจฟังเหมือนจินตนาการเกินจริง เพราะถึงอย่างไรศักยภาพของสหรัฐฯ ก็ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ อยู่มาก จนยากแก่การถูกถ่วงคาน อีกทั้งสมดุลความชอบธรรมก็ยังไม่เทหมดจากหน้าตักของสหรัฐฯ พันธมิตรทั้งหลายยังพยายามต่อรองเจรจาและย้ำหลักเหตุผลให้ทรัมป์เข้าใจ (talk some sense into him) ว่าสหรัฐฯ และโลกได้ประโยชน์อย่างไรจากแบบแผนการต่างประเทศที่สหรัฐฯ ยึดมั่นมา

แต่ความดื้อดึงเอาแต่ใจจนก่อความปั่นป่วนสับสนให้พันธมิตรซึ่งมีแนวโน้มดำเนินต่อไปภายใต้ระบอบทรัมป์ ก็อาจบีบให้ชาติพันธมิตรภายในค่ายต้องรวมตัวต่อต้านหรือสกัดยับยั้งข้อเรียกร้องและความต้องการของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความยิ่งใหญ่ระดับโลกของสหรัฐฯ ที่ได้มาจากการยอมรับและเกื้อหนุนของพันธมิตรเสื่อมถอยลงไปแน่ แล้วเมื่อแนวร่วมฝ่ายโลกเสรีเสียความเป็นปึกแผ่น หรือดูมีความแตกแยก ตกลงกันไม่ได้ ดุลอำนาจก็คงจะเอนไปเอื้อกลุ่มชาติที่จ้องบ่อนทำลายระเบียบ

ในยุคที่สมดุลภาพลักษณ์ธรรมะ-อธรรมกำลังเปลี่ยนไปจากการที่สหรัฐฯ มีท่าทีและอุปนิสัยโอนเอนเข้าใกล้ฝ่ายที่ถูกตีตราว่าเป็นอธรรมในระเบียบโลก ก็เป็นการยากที่จะตัดสินเด็ดขาดว่ามหาอำนาจไหนกันแน่ที่เป็นภัยหรือเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพ สันติภาพ บรรทัดฐาน และสถาบันแบบเสรีนิยม อันเป็นระเบียบที่รัฐส่วนใหญ่มีผลประโยชน์และสวัสดิภาพยึดโยงอยู่ในเวลานี้

ดุลความชอบธรรมและดุลอำนาจระหว่างชาติขั้วเสรีที่นำโดยสหรัฐฯ กับชาติขั้วตรงข้ามจะมีพลวัตอย่างที่บรรยายมาแบบใด คงขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายของทรัมป์ต่อไปจากนี้ รวมถึงการเมืองภายในและมติมหาชนสหรัฐฯ ว่าจะยินยอมให้รัฐบาลหันหลังให้พันธมิตร ระเบียบเสรีที่มีอยู่ และโลกไปกว่านี้แค่ไหน

แหล่งอ้างอิง

  • G. John Ikenberry, “Institutions, Strategic Restraint, and the Persistence of American Postwar Order,” International Security, Vol. 23, No. 3 (Winter, 1998-1999).
  • G. John Ikenberry, “American Strategy in the New East,” American Interest, Vol. 2, No. 1 (Sep 1, 2006), https://www.the-american-interest.com/2006/09/01/american-strategy-in-the-new-east/
  • John Lewis Gaddis, “A Grand Strategy of Transformation,” Foreign Policy (Nov/Dec 2002).
  • “Donald Trump’s Demolition Theory of Foreign Policy Won’t Work,” The Economist (Jun 7, 2018), https://www.economist.com/leaders/2018/06/07/donald-trumps-demolition-theory-of-foreign-policy-wont-work
  • “Trump Pledges Tariffs ‘Much Bigger’ than 2.5% and on Key Sectors,” The Japan Times (Jan 28, 2025), https://www.japantimes.co.jp/business/2025/01/28/economy/trump-tariffs-key-sectors/
  • Andrew Gray & Lili Bayer, “NATO Won’t Back Trump’s New Defense Spending Target but Will Raise its Sights,” Reuters (Jan 11, 2025), https://www.reuters.com/world/nato-wont-back-trumps-new-defence-spending-target-will-raise-its-sights-2025-01-10/
  • “Xi’s Push for Stable World of Low Tariffs Undone by Trump and Putin,” The Japan Times (Nov 20, 2024), https://www.japantimes.co.jp/news/2024/11/20/world/politics/xi-tariffs-trump-putin/

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save