fbpx
ความตาย ก. : จินตนาการต่อความวิตกกังวล

ความตาย ก. : จินตนาการต่อความวิตกกังวล

นิติ ภวัครพันธุ์ เรื่อง

กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ

 

ในขณะนี้ ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเป็นกังวลและหวาดกลัวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การเขียนถึงความตายอาจดูไร้สามัญสำนึก ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ผมพบว่ามีนักเขียนจำนวนไม่น้อย อย่างน้อยในโลกภาษาอังกฤษ เขียนถึงเรื่องนี้ ตัวอย่างหนึ่งคือข้อเขียนสั้นๆ ใน London Review of Books ของชายสูงวัยผู้หนึ่งที่พรรณนาถึงความคิดความรู้สึกที่ต้องกักตัวเองอยู่ในที่พักเพราะการระบาดของไวรัสและกลัวว่าตนจะติดเชื้อ

ในตอนท้ายผู้เขียนจบด้วยวลีภาษาละตินว่า Timor mortis conturbat me – นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักวลีนี้ และคิดว่าหากแปลเป็นภาษาพูดชาวบ้านๆ อาจแปลได้ว่า “ความกลัวตายทำให้ฉัน ปสด.”[1]

ครับ คงไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย และผมเดาว่าตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งรวมตัวผมเองด้วย คงเครียด วิตกกังวลว่าตัวเองจะติดเชื้อไวรัสหรือไม่? จะป่วยหนักหรือไม่? (เพราะรายงานบางชิ้นระบุว่ามีบางคนที่ติดเชื้อแต่ไม่ป่วยหรือมีอาการใดๆ) คนในครอบครัว คนรัก มิตรสหายที่รักใคร่กัน จะติดเชื้อหรือล้มป่วยหรือไม่? เชื้อไวรัสโควิดจะแพร่ระบาดอีกนานหรือไม่? พูดตรงๆ คำถามเหล่านี้รบกวนจิตใจผม แต่ผมคงเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ในขณะนี้ที่ไม่ทราบคำตอบ ได้แต่ภาวนาว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้จะจบสิ้นลงในเร็ววัน ตัวเองและคนอื่นๆ ที่ตนรักใคร่จะไม่ติดเชื้อไวรัส

ทำไมจึงเขียนถึงความตาย? ประการแรก สำหรับคนที่เรียนวิชามานุษยวิทยาอย่างผม ความตายเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง แต่ผมอยากเดาว่าที่เรื่องนี้สำคัญมากมิใช่เพราะความตายเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะเท่าที่ผมทราบ มีผู้คนหลายกลุ่มให้คำอธิบายเกี่ยวกับความตาย – และคนตาย – ว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย ตรงกันข้าม กลับเป็นคำอธิบายที่ทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความตายและการมีชีวิต ระหว่างโลกของคนที่ยังมีลมหายใจและโลกของคนตาย สะท้อนถึงจินตนาการของผู้คนเหล่านี้ที่มิได้หยุดอยู่ที่ความตาย กล่าวคือความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น “ทางผ่าน” หรือ “ช่องทาง” ที่เปิดทะลุภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง หรือถ้าจะพูดว่าความตายเป็นการเดินทางผ่านต่างมิติก็คงไม่ผิดนัก (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมจะกล่าวถึงข้างหน้า)

ประการที่สอง ผมสนใจเรื่องจินตนาการของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงจินตนาการเกี่ยวกับความตายและหลังความตาย Claude Lévi-Strauss ปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาผู้โด่งดัง ได้เสนอไว้ว่าความคิดเยี่ยงอนารยชน (savage thought) มีลักษณะเชิง “ศาสตร์แห่งรูปธรรม” (a science of the concrete) ในขณะที่ความคิดสมัยใหม่ (modern thought) มีลักษณะเชิงนามธรรมมากกว่า ชนบรรพกาล (ซึ่งรวมถึงศิลปหัตถกรรมของชนรุ่นหลังในสังคมเช่นนี้) สร้างความหมาย ตอบคำถามและแก้ปัญหาโดยเปรียบเทียบกับวัตถุที่ตนสร้างขึ้น (ซึ่งนำไปสู่การสร้างความหมายของวัตถุต่างๆ) เช่น การประดิษฐ์ “Totemism” ซึ่งเป็นที่มาของคำอธิบายความแตกต่างของผู้คนหลากกลุ่ม เปรียบเทียบกับสัตว์ประเภทต่างๆ ในขณะที่ความฝันถูกอธิบายว่าเป็นวิญญาณคู่แฝดของมนุษย์ (spirit-doubles) ในอีกโลกหนึ่ง

ตรงกันข้าม ความคิดสมัยใหม่ตั้งอยู่บนฐานของการแก้ปัญหาด้วยการใช้แบบจำลอง (models) ที่มีเหตุมีผล แต่กลับมีความเป็นจินตนาการน้อยกว่า[2] (จะเรียกว่าไม่สามารถเตลิดเปิดเปิงทางจินตนาการได้เช่นเดียวกับความคิดเยี่ยงอนารยชนก็อาจจะได้) เลวี-สโทรสส์จึงเห็นว่ามนุษย์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมตะวันตก ตัดขาดตัวเองจากโลกที่มองไม่เห็น จึงปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ และขาดจินตนาการเกี่ยวกับโลกหลังความตาย

ความคิด ความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับความตาย ไม่ว่าจะเป็นของชนกลุ่มใดก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่ปรมาจารย์ด้านมานุษยวิทยาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาเรื่องศาสนา ให้ความสนใจและทำการศึกษา พร้อมทั้งผลิตผลงานเขียนมากมายที่นักเรียนอย่างผมต้องอ่าน ไม่ว่าจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทว่า ความเป็นจริงของชีวิตผู้คนที่เป็นเป้าหมายของงานมานุษยวิทยาทำให้ผมมีประสบการณ์ รับรู้ และเรียนรู้เกี่ยวกับการตายบ่อยครั้ง ซึ่งมักเป็นเหตุบังเอิญ มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมกำลังค้นคว้าอยู่ก็ตาม

 

-1-

 

ทำไมมนุษย์จึงตาย? คงเป็นคำถามที่ผู้คนจำนวนมากฉงน กึ่งอยากรู้กึ่งขลาดกลัว ขวนขวายหาคำตอบมายาวนาน (และอาจมีความหวังว่าหากค้นพบคำตอบ อาจหาวิธีการหรือหนทางที่จะไม่ต้องตายก็ได้?) ผมลองเข้าไปค้นดูในอินเทอร์เน็ตพบว่ามีหลากหลายคำอธิบาย ทั้งที่คนไทยอาจพอคุ้นเคยหรือเคยได้ยินมาบ้าง เช่น คัมภีร์ไบเบิลในศาสนาคริสต์พาดพิงถึง “Fall of man” อธิบายว่า เพราะมนุษย์คู่แรก Adam และ Eve ซึ่งอาศัยอยู่ในสวนอีเดน มีชีวิตอมตะ แต่เพราะทั้งสองไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ห้ามกิน “ผลไม้ต้องห้าม” บนต้น “tree of knowledge of good and evil”

ฤทธิ์เดชของผลไม้ต้องห้ามนี้ทำให้ทั้งสองเกิดความละอายที่ร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อน พอทราบเรื่อง พระเจ้าก็ลงโทษทั้งคู่ด้วยการขับไล่ออกจากสวนอีเดน ทำให้ไม่ได้กินผลไม้ของ “tree of life” ผลที่ตามมาคือมนุษย์คู่แรกต้องตาย (และเป็นผลให้มนุษย์ทุกคนต้องตายด้วย) มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่าแม้ว่าคัมภีร์ไบเบิลจะมิได้ระบุไว้ก็ตาม แต่เรื่อง “Fall of man” นี้มีต้นตอมาจากการตีความตามเรื่องราวที่เล่าใน “Genesis” บทที่ 3 ในศาสนายูดาห์ของชาวยิว[3]

คำอธิบายที่ว่าเหตุใดมนุษย์จึงตายอีกชุดหนึ่งมาจากปกรณัมปรัมปรา (Myth) ของชาวเมารีที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนหนังสือที่นิวซีแลนด์ เล่าถึงเมาวิ (Maui) วีรบุรุษเชิงวัฒนธรรมผู้มากด้วยกลอุบาย หลงเชื่อคำพูดของพ่อที่ว่า หากเขาต้องการเป็นอมตะเขาจะต้องทำลาย (ฆ่า) ไฮเนนุยเตโพ (Hine-nui-te-po ซึ่งมีความหมายว่า “Great Woman of Night”) เทพเจ้าแห่งความตายและยมโลก (ผู้คอยต้อนรับและนำวิญญาณของคนตายไปสู่ยมโลกเพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ [ในภพนั้น] เชื่อกันว่าท้องฟ้าสีแดงยามเย็นมาจากสีบนร่างกายของนาง) โดยเขาจะต้องเข้าไปในร่างของนางผ่านทางช่องคลอดแล้วออกทางปาก ถ้าทำสำเร็จนางจะตายและมนุษย์จะเป็นอมตะ

เมาวิจึงเดินทางไปหาไฮเนนุยเตโพ รอจนนางหลับก็แปลงร่างเป็นไส้เดือนเพื่อเข้าสู่ช่องคลอดของนาง แต่นางสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องของนกพิวากะวากะ พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนางก็ใช้ฟันหินออบซีเดียนที่ช่องคลอดกัดเขาจนเสียชีวิต ในปกรณัมปรัมปราของชาวเมารี เมาวิเป็นมนุษย์คนแรกที่ต้องตาย[4] ซึ่งทำให้ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นอมตะ บางครั้งชาวเมารีจึงพาดพิงว่าความตายคือ “บ้านแห่งเคราะห์ร้าย” (te whare o aitua – the house of misfortune)[5]

พิธีศพของชาวเมารีเริ่มด้วยการร้องบทสวด (karakia) ที่เรียกว่า inoi tuku เพื่อเป็นการปลดปล่อยวิญญาณ (wairua) จากร่างกายเพื่อเริ่มต้นการเดินทางไปตาม “ถนนวิญญาณ” (te ara wairua – the road of the spirit) สู่ “หนทางแห่งวิญญาณ” (Te rerenga wairua – flight of the spirit) ซึ่งอยู่บนยอดเขาสูงทางทิศเหนือของเกาะเหนือในประเทศนิวซีแลนด์ที่เรียกกันว่า Cape Reinga เมื่อวิญญาณถึงจุดนั้นแล้วก็จะหยุดพักชั่วครู่ แล้วเดินทางลงสู่พื้นมหาสมุทรเพื่อเริ่มต้นการเดินทางใหม่ (อีกครั้ง) ณ ที่นั่น ไฮเนนุยเตโพจะรอรับวิญญาณผู้ตาย เธอมีหน้าที่ปกป้องวิญญาณจากปีศาจอันชั่วร้าย (Whiro) ในยมโลก (Rarohenga) เพื่อให้วิญญาณเดินทางถึงยมโลกอย่างปลอดภัย[6]

 

-2-

 

โดยส่วนตัว ผมชอบเรื่องเล่าเกี่ยวกับความตายของชาวเมารี เพราะดูแปลกและมีจินตนาการมาก เป็นปกรณัมปรัมปราที่มีรายละเอียดมากมาย หลายเรื่องก็เกินการคาดเดาของผมว่าจะเป็นไปได้ อาจพูดได้ว่าเป็นจินตนาการที่ลึกล้ำยิ่ง เรื่องเล่าประเภทนี้ของชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูน่าทึ่งมากคือตำนานม้ง เล่าขานผ่านเพลงที่ร้องในพิธีศพ พาดพิงถึง “จุดกำเนิด” (Creation) ของมนุษย์และสรรพสัตว์-สรรพสิ่ง มีความย่อๆ ว่า กบผู้มีนามว่า Nplooj Lwg เป็นผู้สร้างโลกแห่งมนุษย์และวิญญาณ ทว่า เขาต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่โกรธเคืองเพราะถูกกบหลอกว่า โลกมนุษย์มีขนาดเท่ากับฝ่ามือหรือส้นเท้าเท่านั้น (แต่มนุษย์มาค้นพบว่าความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น จึงโมโหและทำร้ายกบ)

ก่อนสิ้นใจ กบได้สาปแช่งมนุษย์ให้ต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยและความตาย ให้ใบไม้ร่วงหล่นจากต้นและป่าไม้จะหดขนาดลงเรื่อยๆ มนุษย์จะต้องทนทรมานกับฝน ความร้อนและแสงแดด โลกที่มนุษย์เคยอาศัยอยู่ร่วมกับวิญญาณจะถูกแบ่งออกเป็นโลกมนุษย์และโลกแห่งวิญญาณ และมนุษย์จะไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตในวันที่สิบสามหลังจากที่ตายไปแล้วได้อีก (ไม่เหมือนที่เคยฟื้นมีชีวิตได้อีก)

ในยมโลก มียมบาลที่น่าสะพรึงกลัวและดุร้ายอยู่สององค์ องค์หนึ่งมีนามว่า Ntxwj Nyug ผู้ตัดสินว่าหลังจากที่ตายแล้ววิญญาณมนุษย์จะไปเกิดใหม่เป็นสัตว์ ผัก หรือมนุษย์อีกครั้ง องค์นี้อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง คอยเฝ้าดูและป้องกันประตูที่เป็นทางผ่านของวิญญาณมนุษย์ไปสู่หมู่บ้านของบรรพบุรุษ ท่านชอบงานเลี้ยงเป็นยิ่งนัก และยังเลี้ยงวัวฝูงใหญ่ไว้ ซึ่งก็คือวิญญาณของคนม้งบางคนที่กลายเป็นวัวในยมโลก มียมบาลอีกองค์คู่กายชื่อ Nyuj Vaj Tuam Teem มีหน้าที่ออกใบอนุญาตให้วิญญาณไปเกิดใหม่ได้ ใบอนุญาตนี้วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่อลังการ ตั้งอยู่หน้าบัลลังก์อันโอ่อ่าและน่าหวาดกลัวที่ยมบาลองค์นี้ประทับอยู่ Ntxwj Nyug และ Nyuj Vaj Tuam Teem เป็นยมบาลที่ควบคุมชีวิตและความตายเมื่อใบอนุญาตให้มีชีวิตของคนม้งคนใดหมดอายุลง มีแต่หมอ/คนทรง (shaman) เท่านั้นที่บางครั้งบางคราวอาจต่อรองกับ Ntxwj Nyug ให้ผู้นั้นมีชีวิตต่อในโลกมนุษย์ได้อีกระยะหนึ่ง[7]

คนม้งเรียกหมอ/คนทรงว่า “Txiv Neeb” ซึ่งแปลว่าพ่อหรือเจ้านายของวิญญาณ (father/master of spirits) เป็นบุคคลที่สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ/ภูติผีได้ ตามความเชื่อดั่งเดิมของคนม้ง มนุษย์ประกอบด้วยสองส่วนคือร่างกายและวิญญาณ (ซึ่งผมสันนิษฐานว่าอาจเทียบได้กับจิต หรือขวัญ ในความเชื่อของคนไต/ไท เพราะคนม้ง โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนลาวมายาวนาน) หากวิญญาณหนีออกจากร่าง[8] คนผู้นั้นก็อาจล้มป่วยลง Txiv Neeb จะถูกเชิญมารักษาผู้ป่วยผ่านพิธีเข้าทรง ซึ่ง Txiv Neeb ต้องเดินทาง (ผ่านการเข้าทรง) ไปสู่โลกของวิญญาณเพื่อหาสาเหตุของการป่วย และต้องต่อรอง เอาใจวิญญาณ เพื่อรักษาผู้ป่วยให้กลับคืนสู่สภาพปรกติ[9]

เรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกและภพหน้าของชนอีกกลุ่มที่ผมสนใจมากคือคนไทดำ ซึ่งคนไทยคงคุ้นเคย เพราะนอกจากจะพูดภาษาในตระกูลภาษาไต/ไท ที่ภาษาไทยถูกจัดอยู่ด้วย ก็ยังมีขนบ ธรรมเนียมปฏิบัติ ความเชื่อ คล้ายกับคนไทย เป็นกลุ่มที่อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่หลายแห่งในประเทศไทย แต่สถานที่ที่คนกลุ่มนี้อ้างว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอนนั้นอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนาม แม้ว่าผมยังมิได้ไปถึงสถานที่แห่งนั้นก็ตาม แต่ก็ได้ไปเยือนชุมชนไทดำหลายแห่งในบริเวณจังหวัดเงียอาน (Nghệ An) ช่วงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 เรื่องราวที่จะเล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากการเดินทางในครั้งนั้น[10]

ผมได้พบคนไทดำหลายคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ หนึ่งในนั้นเป็นอดีตครูที่เกษียณอายุแล้ว จะเรียกว่าเป็นปราชญ์พื้นเมืองไตเมือง (หมายถึงคนไทดำที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง – ครูเรียกคนไทดำว่า “ไต” ซึ่งผมจะใช้เรียกสลับกับคำว่าไทดำในที่นี้) ก็ได้ เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้อย่างดีเยี่ยมเรื่องโตเมืองหรืออักษรของคนไตเมือง ครูให้คำอธิบายเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทดำมากมาย พร้อมด้วยสารพันเรื่องเล่า ซึ่งรวมถึงความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยา (cosmology) ของคนไตที่ว่าในจักรวาลนี้มี 3 โลก ได้แก่

  • โลกมนุษย์ ที่ที่คนไทดำและชนกลุ่มอื่นๆ อยู่ร่วมกัน
  • ฟ้า – ครูใช้คำนี้ ซึ่งหมายถึงบนฟ้า ไม่ใช่สวรรค์ (ทำให้ผมสันนิษฐานว่าคนไตอาจไม่มีความคิดความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์และนรกเช่นที่คนไทยเชื่อกัน) เป็นสถานที่ที่ “แถน” และผีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ เมื่อคนไตในโลกมนุษย์เสียชีวิตลง ผี (หรือวิญญาณ) ก็จะไปอยู่บน “ฟ้า” ร่วมกับแถนและผีบรรพบุรุษ

ทว่า หากเป็นการตายแบบผิดปกติ เช่น ป่วยไข้ โรค อุบัติเหตุ หรือภัยอื่นๆ ก็จะกลายเป็นผีตายโหง ซึ่งจะไม่ได้ขึ้นไปอยู่บน “ฟ้า” แต่วิญญาณจะล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ และมีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายหรือก่อเภทภัยต่างๆ ต่อมนุษย์บนโลก

  • โลกของมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ผีบนฟ้า เป็นโลกของมนุษย์กลุ่มนี้ต่างหาก แยกจากโลกมนุษย์ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือทำอันตรายต่อมนุษย์

ผมมิใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคนไทดำ/ไต ไม่สามารถวินิจฉัยว่าคำบอกเล่าของครูผู้นี้ถูกต้องหรือไม่[11] ทว่า มีรายงานว่าในความเชื่อของคนไทดำ ชีวิตหลังความตาย (บน “ฟ้า” หรือในโลกของบรรพบุรุษ) ก็มีความแตกต่างของลำดับชั้นทางสังคมเช่นเดียวกับในโลกมนุษย์ กล่าวคือ มีผี/วิญญาณที่เป็นชั้นนายซึ่งมีหลายระดับ และชั้นคนธรรมดาสามัญ กลุ่มหลังนี้ รวมไปถึงเด็กที่ตายก่อนอายุ 5 ขวบ ผี/วิญญาณจะเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน Lam Loi ที่มีสภาพและความเป็นอยู่คล้ายหมู่บ้านในโลกมนุษย์[12]

 

-3-

 

หลังจากอ่านเกี่ยวกับจินตนาการเรื่องชีวิตและโลกหลังความตายของชนหลายกลุ่ม ผมมีข้อสังเกตว่าบางทีสิ่งที่มนุษย์เกรงกลัวที่สุดอาจมิใช่ความตาย เพราะจินตนาการเกี่ยวกับโลกหลังความตายหรือภพหน้ามิได้ดูน่าสยดสยองจนทนไม่ได้ ตัวอย่างที่ดีคือจินตนาการของคนไทดำเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ซึ่งก็คือภพที่บรรพบุรุษอาศัยอยู่ หากลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ประพฤติตนตามธรรมเนียมและความเชื่อ เคารพ เซ่นไหว้วิญญาณของบรรพบุรุษ และปฏิบัติต่อสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวตามขนบประเพณี ช่วยเหลือเกื้อกูลญาติพี่น้อง ชีวิตในโลกหน้าหรือภพของบรรพบุรุษของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องวิตกกังวลมากนัก เพราะนอกจากจะได้พบบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว วิถีชีวิตหลังความตายก็ดูจะไม่แตกต่างจากชีวิตในโลกมนุษย์มากนัก ดังเช่นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมู่บ้าน Lam Loi ของคนไทดำ

สำหรับชนหลายกลุ่ม สิ่งที่ดูน่าสะพรึงกลัวกว่าโลกหลังความตายอาจเป็นการตายที่ไม่ปกติ เช่น เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โรคระบาด หรือจากสถานการณ์ที่เกินการคาดเดาอื่นๆ ที่คนไทยเรียกว่า “ตายโหง” (ดังเช่นกรณีของหญิงชาวมหาสารคามที่ฝันถึงแม่และน้องชายที่เสียชีวิตแบบตายโหง ซึ่งผมได้กล่าวถึงในงานเขียนชิ้นที่แล้ว) ทว่า สิ่งที่ดูจะเลวร้ายและน่าหวาดกลัวกว่าการตายโหงคือการตาย(โหง)ที่ไร้ศพ ซึ่งทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และรักใคร่คนตายไม่สามารถนำศพมาทำพิธีกรรมที่ถูกต้องตามประเพณีความเชื่อ

ตัวอย่างของการตายเช่นนี้มีมากมายในบ้านเรา แต่กรณีที่น่าสนใจมากเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เรื่องของชายมุสลิมชื่อ Mohammad Shareef ช่างซ่อมจักรยานผู้ตามหาลูกชายที่หายสาปสูญไปนานถึง 27 ปี เมื่อเกิดเหตุจลาจลระหว่างคนฮินดูและมุสลิมในปี 1992 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบสองพันคน หลังเกิดเหตุราวหนึ่งเดือนตำรวจได้มาบอกโมฮัมหมัดว่าลูกชายของเขาเสียชีวิตแล้ว แต่ไม่มีศพให้เขาไปทำพิธี ที่แย่กว่านั้นคือตำรวจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าศพอยู่ที่ใดหรือฝังอยู่ที่ไหน ทำให้โมฮัมหมัดกระวนกระวายใจมาก วิตกว่าหากไม่มีการฝังศพตามพิธี ตามความเชื่อในศาสนาอิสลาม วิญญาณของลูกชายก็จะล่องลอย ไม่ได้ไปพบพระเจ้า ไม่มีความสงบสุขในโลกหลังความตาย

แล้วเขาก็ต้องยิ่งตกใจ หวาดกลัวมากขึ้นอีกเมื่อเห็นตำรวจโยนศพลงไปในแม่น้ำ (เพราะมีคนตายเป็นจำนวนมากจนไม่มีใคร–แม้แต่ตำรวจเอง–สนใจที่จะฝังหรือทำพิธีศพให้เหมาะสม) เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาตระหนักว่าศพของลูกชายอาจถูกโยนลงในแม่น้ำเช่นกัน ด้วยความห่วงใยและเป็นกังวลว่าคนตายจะไม่ได้รับการทำพิธีศพตามหลักศาสนา (เช่นเดียวกับที่เขาห่วงใยและวิตกเกี่ยวกับศพของลูกชายที่หาไม่พบ และไม่มีพิธีศพ) ทำให้เขาเริ่มเก็บศพที่ถูกทิ้งไว้ตามยถากรรมมาทำพิธี หากเขาคิดว่าผู้ตายเป็นคนมุสลิมก็จะทำการฝังตามพิธีของศาสนาอิสลาม ถ้าเป็นคนฮินดูก็จะเผาตามศาสนาฮินดู มีผู้ประมาณการว่าโมฮัมหมัดได้ทำพิธีศพไปแล้วราว 2,500 ศพ

ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคืออินเดียเป็นสังคมที่มีวรรณะ การทำพิธีศพเป็นหน้าที่ของคนในวรรณะที่ต่ำที่สุดในสังคม จัดว่าเป็นพวกจัณฑาล (untouchables) แม้แต่คนมุสลิมก็คิดและเชื่อเรื่องวรรณะ จึงไม่มีผู้ใด–แม้แต่คนในครอบครัวของเขาเอง–ที่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา แต่โมฮัมหมัดไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นเก็บศพที่ไร้นามไร้ญาติมาทำพิธีทางศาสนา

ในที่สุดความปรารถนาดีและการมีจิตใจดีของเขาก็บรรลุผล หลังจากผ่านไปหลายปีรัฐบาลอินเดียตัดสินมอบรางวัลอันทรงเกียรติแก่เขา เจ้าของร้านรวงต่างๆ ในเมืองที่เขาอาศัยอยู่หันมาช่วยเหลือเขาด้านการเงิน แม้แต่คนแปลกหน้าก็ส่งเงินให้เขาเพื่อใช้จ่ายในการผ่าตัดดวงตา ทำให้เขาสามารถว่าจ้างผู้ช่วยทำงานได้สองคน เขายังมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจนี้ (การเก็บศพเพื่อทำพิธี) ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ แม้ว่าลูกชายที่เหลืออยู่อีกสองคน และหลานๆ ไม่ใส่ใจที่จะช่วยเขาเลยก็ตาม[13]

กรณีของโมฮัมหมัดอาจเป็นตัวอย่างที่ดีในการยืนยันถึงความสำคัญของพิธีศพ ซึ่งถ้าไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามความเชื่อทางศาสนาก็อาจเป็นผลร้ายต่อวิญญาณของผู้ตาย ต้องล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่สามารถเดินทางถึงจุดหมายที่วิญญาณควรไป และไม่พบความสงบสุขในภพหน้า ความเชื่อนี้นอกจากจะมีนัยของความห่วงใยต่อวิญญาณผู้ตายแล้ว ยังแสดงถึงความรักของคนในโลกมนุษย์ที่มีต่อผู้ที่จากไป

คราวหน้าผมจะเขียนถึงความตายกับคนที่เรารักใคร่

 

อ้างอิง

[1] ดู August Kleinzahler, “Under Lockdown in San Francisco”, LRB blog, 20 March 2020

[2] Nigel Rapport & Joanna Overing, Social and Cultural Anthropology: The Key Concepts, (London and New York: Routledge, 2000), p. 52

[3] ดู Wikipedia, the free encyclopedia, “Fall of man”, และ Wikipedia, the free encyclopedia, “Book of Genesis

[4] Antony Alpers, Maori Myths & Tribal Legends (Longman Paul, 1989)

[5] James Irwin, An Introduction to Maori Religion: Its character before European Contact and its survival in contemporary Maori and New Zealand culture (Bedford Park, South Australia: Australian Association for the Study of Religions, 1984), p. 51

[6] Ibid.

[7] Nicholas Tapp, “Hmong Religion”, Asian Folklore Studies Vol. 48 (1989), pp. 59-60

[8] ในหนังสือเรื่อง The Spirit Catches You and You Fall Down ซึ่งแต่งโดย Anne Fadiman (New York: Farrar, Straus, and Giroux, 1997) กล่าวถึงถึงเด็กหญิงม้งนาม Lia Lee ซึ่งเป็นโรคลมชัก (Epilepsy) มีรายละเอียดและเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ผมอยากชวนให้ทุกคนอ่าน แต่ประเด็นเล็กๆ ที่ผมจะพาดพิงถึงในที่นี้คือเมื่อเลียลียังเป็นทารก อายุได้สามเดือน เธอมีอาการชักเป็นครั้งแรก แต่ในตอนนั้นพี่สาวเธอปิดประตูแรง เสียงดังมากจนทำให้เธอตกใจ ครอบครัวเธอเชื่อว่ามีวิญญาณมาเข้าทรงเธอ เพราะเธอมีญาณพิเศษหรือคุณสมบัติของการเป็น Txiv Neeb ซึ่งทำให้เธอต่างจากคนม้งทั่วไป – ตอนที่เธอตกใจและเชื่อกันว่าวิญญาณมาเข้าทรง ผมสันนิษฐานว่าหากเทียบกับความเชื่อของคนไต/ไทก็คือ “ขวัญ” ของเธอตกใจมาก และหนีกระเจิดกระเจิงออกจากร่างกายไป

[9] Tapp, op. cit., p. 74

[10] ตามคำเชิญและการรับรองอันยอดเยี่ยมของนักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยนครพนม มี อ. ณรงค์ฤทธิ์ สุมาลี ดร. โสรัจจ์ ประวีณวงศ์วุฒิ อ. สุริยันต์ สุรเกรียงไกร และ รศ. ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นการเดินทางที่ผมได้รับความรู้มากมาย และความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้ลิ้มชิมรสอาหารเวียดและไทดำที่แสนอร่อย เบียร์เย็นๆ หลากยี่ห้อ และมิตรภาพอันงดงาม – ผมขอขอบคุณทั้งสี่ท่านในที่นี้ด้วย

[11] จริงๆ แล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการตัดสิน/วินิจฉัยว่าเรื่องเล่า/เรื่องราวอะไรก็ตาม ของชนกลุ่มใดก็ตาม มีเพียงชุด (version) เดียว เนื่องจากผมคิดว่าเรื่องเล่าเรื่องเดียวกันอาจมีได้สารพัดชุด ความแตกต่างของเรื่องเล่าอาจเป็นผลมาจากเงื่อนไขด้านสถานที่ เวลา การเคลื่อนย้าย และอื่นๆ ดังนั้น เราควรสนใจพิจารณาว่าเหตุใดเรื่องเล่า/เรื่องราวเหล่านี้จึงแตกต่างกันมากกว่า

[12] Frank M. Lebar, Gerald C. Hickey, John K. Musgrave (eds.), Ethnic Groups of Mainland Southeast Asia (New Haven: Human Relations Area Files, 1964), p. 223

[13] Swaminathan Natarajan & Khadeeja Arif, “Saviour of the dead: Burying the bodies India forgets”, BBC World Service, 13 March 2020

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save