เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการตีพิมพ์รายงานผลการสอบสวนชุดแรกซึ่งเกี่ยวกับความผิดพลาดของรัฐบาล จากกรณีการตั้งรับและควบคุมภาวะแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปรากฎว่ารายงานชิ้นนี้เปิดโปงจุดอ่อนและความล้มเหลวทุกขั้นตอนของหน่วยงานรัฐ ตั้งแต่การวางนโยบาย การเตรียมแผนการเบื้องต้น จนถึงการสั่งการและปฏิบัติการรับมือ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตล้มตายในสหราชอาณาจักรกว่า 235,000 คนซึ่งนับเป็นอันดับต้นของยุโรป
รายงานซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 217 หน้าชี้ให้เห็นจุดบกพร่อง ความสะเพร่า ขาดวิสัยทัศน์ ขาดความสำนึกถึงภัยร้ายแรงของไวรัสระบาด มีอัตตา โอหัง ขาดความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เริ่มตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ไล่ไปถึงข้าราชการระดับสูงที่ต้องนำแผนงานไปปฏิบัติทั่วประเทศ ทำให้จำนวนประชาชนตาย สูญเสียเกินเหตุ และสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจมากเกินกว่าที่ควรเป็น หากกล่าวโดยสรุปคือ รัฐบาลสหราชอาณาจักรล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชน
ที่น่าสนใจคือ หัวข้อหนึ่งในรายงานชี้ว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคือ ‘กระบวนความคิดแบบติดกลุ่ม’ (groupthink) ของกลุ่มคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ อันหมายถึงลักษณะของสมาชิกในกลุ่มยอมจำนนต่อความคิดของผู้นำผู้อาวุโสในกลุ่ม โดยไม่กล้าตั้งคำถามที่ท้าทายเพื่อเปิดแนวคิดแตกต่าง อีกทั้งยังขาดการเรียกร้องให้มีการประเมินผลกระทบ หรือแสวงหาแนวคิดทางเลือกอื่นๆ
นอกจากนี้ อีกปัญหาคือทั้งๆ ที่เห็นว่าไวรัสเพิ่งเริ่มระบาดมาจากเอเชีย แต่สหราชอาณาจักรกลับขาดแผนการตั้งรับ โดยไม่มีความเหนียวทนที่จะรับแรงกระแทก (resilience) จากภัยร้ายแรงของไวรัสตัวใหม่ที่ระบาดเข้าประเทศ ทั้งนี้เพราะระบบสาธารณสุขตกอยู่ในสภาพอ่อนแรง ขาดการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง ขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรที่จำเป็น ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยและสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่ต้องดูแลเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลพรรคคอนเซอร์เวทีฟก็มิได้จัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนให้เหมาะสม เนื่องจากในรอบปีสองปีก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาดเข้าประเทศ รัฐบาลก็มัวแต่หมกมุ่นและทุ่มเทสมาธิให้กับปัญหาการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
เนี้อหาอีกส่วนหนึ่งของรายงานชิ้นแรกนี้ได้ตำหนิรัฐมนตรีที่รับผิดชอบการกำหนดนโยบายสะกัดกั้นไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า มีความโอหังเย่อหยิ่ง ไม่ยอมเรียนรู้จากประสบการณ์ของบางประเทศในเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ที่เคยมีบทเรียนที่เจ็บปวดมาจากการรับมือกับ coronavirus รุ่นเก่าที่เคยระบาดมาก่อน นั่นคือ ‘SARS’ (Severe acute respiratory syndrome) และ ‘MERS’ (Middle East respiratory syndrome) จึงทำให้สหราชอาณาจักรมิได้ลงมือวางมาตรการ test and trace, ระบบการกักโรค (quarantine) และควบคุมการเดินทางเข้าประเทศ (border control) ได้อย่างทันท่วงที
รายงานเปิดเผยคราวนี้เป็นเพียงฉบับแรกในกระบวนการไต่สวนอิสระที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2023 และเป็นที่คาดหมายว่า หลังจากนี้จะมีการตีพิมพ์เปิดเผยอีกอย่างน้อยแปดฉบับ เนื่องจากยังมีคณะกรรมการย่อยชุดต่างๆ ที่กำลังทยอยสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก โดยเฉพาะญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตที่กดดันรัฐบาลบอริส จอห์นสัน โดยขู่ว่าจะฟ้องศาลหากไม่ยอมให้มีการไต่สวน จนบอริส จอห์นสัน ยอมประกาศตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระชุดใหญู่โดยมี บารอนเนส แฮลเลท (Baroness Hallett) อดีตผู้พิพากษาอาวุโสเป็นประธาน
จากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการย่อยหลายชุด แต่ละชุดก็จะสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการกำหนดนโยบาย การรับมือ และการปฏิบัติในภาคส่วนต่างๆ ของรัฐบาล นอกจากนี้ คณะกรรมการยังเปิดพื้นที่ออนไลน์ให้ประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจนเกิดความเสียหายต่อสมาชิกในครอบครัวทั่วประเทศ สามารถส่งข้อมูลและข้อร้องเรียนเข้าไปตามโครงการที่เรียกว่า ‘Every Story Matters’ คณะกรรมการจะคัดกรองและเรียกให้บุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียมาให้ปากคำกับคณะกรรมการชุดย่อยๆ โดยมีการถ่ายทอดสดทาง BBC News Website และ YouTube อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ถอดเทปนำข้อมูลการให้ปากคำตีพิมพ์ในหน้าออนไลน์ของคณะกรรมการไต่สวนด้วย
อดีตนายกบอริส จอห์นสัน และ ริชชี สุหนัก ต่างก็ไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการแล้ว หลังจากนั้นก็มี แมท แฮนคอก อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข และ เจเรมี ฮันท์ นักการเมืองอาวุโส ต่างก็เริ่มการให้ปากคำด้วยการกล่าวขอโทษในที่สาธารณะ และกล่าวเสียใจต่อเหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อมูลปากคำดังกล่าวตีพิมพ์อยู่ในหน้าออนไลน์ของคณะกรรมการสอบสวน อย่างเปิดเผย
นายบอริส จอห์นสันกล่าวว่า ตนขอรับผิดชอบต่อการตัดสินใจทุกประการระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่ขอยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนทำหน้าที่เต็มความสามารถในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งระหว่างที่เขาให้ปากคำก็มีเสียงตะโกนขัดจังหวะจากผู้ประท้วงที่เป็นญาติผู้เสียชีวิตซึ่งนั่งฟังอยู่ในห้องประชุมนั้น บางคนถือป้ายที่เขียนว่า ‘คนตายไม่ได้ยินคำขอโทษ’
บารอนเนส แฮลเลท แถลงหลังจากเปิดเผยรายงานชิ้นนี้ออกมาว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรขาดความเตรียมพร้อมในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินไม่ว่าชนิดใดๆ ทั้งนี้มิต้องพูดถึงโรคระบาดแบบ coronavirus และเน้นย้ำว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะไม่ยอมให้โรคระบาดใดๆ มาคร่าชีวิตผู้คนและสร้างความเจ็บปวดอย่างสาหัสแบบนี้ พร้อมกับกำหนดข้อเสนอแนะหลายประเด็นให้รัฐบาลนำไปพิจารณา โดยมีประเด็นหลักๆ ดังนี้
1.ให้นำภารกิจการวางแผนรับมือโรคระบาดออกจากกระทรวงสาธารณสุข
2.ให้ตั้งหน่วยงานระดับรัฐมนตรี ทั้งในอังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยมีภาระหน้าที่วางแผนรับมือฉุกเฉินทุกรูปแบบ และผู้บริหารทุกกระทรวงจะต้องเข้าร่วมในการป้อนข้อมูล
3.ให้ตั้งหน่วยงานอิสระแยกต่างหาก ทำหน้าที่สรุปข้อมูลการรับมือภาวะฉุกเฉิน ประเมินความพร้อม วัดภาวะความเหนียวทน (resilience) ของระบบรับมือเหตุฉุกเฉิน โดยจะต้องมีข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญทางภาคสังคมเศรษฐกิจ และ วิทยาศาสตร์ด้วย
4.ในทุกสามปีจะต้องมีการจัดทดสอบแผนปฏิบัติการณ์ภาวะฉุกเฉิน เพื่อวัดขีดสมรรถนะความพร้อม
บารอนเนส แฮลเลท กล่าวว่าภายในหกเดือนหรือหนึ่งปีนับจากนี้ รัฐบาลควรจะต้องนำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปฏิบัติโดยเร็ว เพราะว่าจากข้อมูลความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ปากคำกับคณะกรรมการ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเหตุโรคระบาดในลักษณะคล้ายๆ กับ coronavirus อีกแน่นอนในอนาคต
หลังจากการตีพิมพ์เปิดเผยรายงานฉบับแรกออกมา บรรดาญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสโควิดออกมาแสดงความยินดีที่มีความคืบหน้าหลังจากที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลมานาน และตั้งตารอคอยการตีพิมพ์รายงานที่จะทยอยกันออกมาอีกแปดฉบับ
ศ.นาวมิ ฟูลอป (Prof. Naomi Fulop) โฆษกของกลุ่มเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ครอบครัวผู้สูญเสีย (Covid-19 bereaved families for justice Group) กล่าวว่ารายงานชิ้นแรกนี้หนักแน่นและชัดเจน พวกตนเรียกร้องให้รัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ นำข้อเสนอแนะไปวางแผนและปฏิบัติโดยทันที อย่างไรก็ตามก็ท้วงติงว่า ขอบเขตการไต่สวนยังแคบไป เพราะยังไม่แตะประเด็นลึกไปถึง สาเหตุที่ทำให้สหราชอาณาจักรไม่มีขีดความสามารถสะกัดการขยายตัวของโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที นั่นคือ ‘ความเหลื่อมล้ำและสภาพที่ถดถอยของหน่วยงานภาคบริการสาธารณะ’ ซึ่งหมายถึงระบบรักษาพยาบาลทั่วหน้า หรือ National Health Services (NHS)
นี่เป็นเพียงรายงานฉบับแรกจาก 9 ฉบับที่คณะกรรมการไต่สวนอิสระกำหนดจะทยอยตีพิมพ์ออกมาในอนาคต ขณะนี้ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ผลการไต่สวนจะสรุปออกมาในแต่ละฉบับข้างหน้าอย่างไรและขอบเขตเนื้อหาจะพาดพิงไปไกลแค่ไหน แม้ว่าคณะกรรมการชุดนี้จะไม่มีอำนาจลงโทษใคร เพราะทำหน้าที่เพียงแค่แสวงหาข้อเท็จจริงและชี้เป้าผู้ที่ทำงานผิดพลาด แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าบรรดาญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต คงไม่หยุดเพียแค่นี้พวกเขาอาจใช้ข้อมูลจากการไต่สวนครั้งนี้ ไปดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
กระบวนการไต่สวนลักษณะเช่นนี้ก็ยังมีกลไกที่เป็นอิสระ ทำหน้าที่ไต่สวนสาธารณะ ดำเนินการอย่างเปิดเผย โปร่งใส เพื่อตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจบริหารประเทศชาติ หลังจากเกิดเหตุร้ายแรงที่ทำให้ประชาชนและประเทศชาติเสียหายอย่างหนัก หลายประเทศในยุโรปก็มีการไต่สวนอิสระ และแสวงหาข้อเท็จจริงเช่นกัน เพื่อสรุปบทเรียนและหามาตรการเพื่อระวังมิให้เกิดความเสียหายซ้ำซาก
สำหรับกรณีที่เกิดความเสียหายต่อชีวิตผู้คนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากนั้น จนบัดนี้ประชาชนคนไทยที่สูญเสียก็ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะมีปฏิบัติการณ์ข่าวสารและการใช้อำนาจรัฐเพื่อกลบเกลื่อนปิดบังการทำงานผิดพลาดล้มเหลว ตลอดจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครยอมรับด้วยการออกมาขอโทษประชาชน