วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ขณะที่วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567 ที่วินิจฉัยว่ามาตรา 1523 วรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันวางหลักการว่าด้วยสิทธิของคู่สมรสในการเรียกร้องค่าทดแทนจากผู้ล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายในทำนองชู้สาว หรือ ‘กฎหมายฟ้องชู้’ มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีประเด็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศอยู่
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบเทียบกับคำวินิจฉัยที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คดีก่อนหน้าคือ คำวินิจฉัยที่ 20/2564 ที่วินิจฉัยว่ามาตรา 1448 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่วางหลักว่าการสมรสเป็นเรื่องของชายหญิงนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จะพบว่าศาลรัฐธรรมนูญมีท่าทีที่ต่างกันพอสมควร ทั้งทัศนคติต่อกฎหมายอันเป็นวัตถุแห่งคดี และความเข้าใจต่อสภาพสังคมและครอบครัวไทยในปัจจุบัน
งานเขียนชิ้นนี้จึงตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะเน้นศึกษาคำวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวเป็นสำคัญ ในที่นี้คือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 (คดีสมรสชายหญิง) และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567 (คดีฟ้องชู้)
ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะองค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย
ตามรัฐธรรมนูญ ภารกิจหลักของศาลรัฐธรรมนูญคือการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย[1] ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไทยมีอำนาจตรวจสอบหลายรูปแบบ ทั้งการตรวจสอบกฎหมายที่ศาลจะนำมาปรับใช้แก่คดี (กล่าวคือ เมื่อมีคดีความในศาลใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลนั้นอาจเห็นเองหรือคู่ความอาจโต้แย้งได้ว่าบทกฎหมายที่ศาลจะนำมาปรับแก่คดีมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ศาลนั้นย่อมส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้[2] นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไทยยังมีอำนาจตรวจสอบร่างกฎหมายก่อนประกาศใช้[3] หรือการตรวจสอบกฎหมายหลังประกาศใช้เนื่องจากมีผู้ร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้[4]
การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเรื่องกฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทในการปรับปรุงกฎหมายโดยอ้อม เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายฉบับใดขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญย่อมส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายนั้นๆ ภายในกำหนดเวลาตามคำบังคับของคำวินิจฉัย
ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ 4 คดีด้วยกัน ซึ่ง 2 คดีแรกเป็นคดีที่โต้แย้งบทบัญญัติเดียวกันคือมาตรา 194 และมาตรา 204 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีเนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 87/2547 วินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องสิทธิของเจ้าหนี้ในการเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ซึ่งบุคคลอาจก่อนิติสัมพันธ์โดยสมัครใจ ก่อให้เกิดมูลหนี้ให้ต้องปฏิบัติต่อกัน มิได้มีความเกี่ยวข้องกับหลักอำนาจอธิปไตยกับหลักความเสมอภาคตามที่มีผู้โต้แย้ง[5] ต่อมามีเรื่องโต้แย้งทำนองเดียวกันจึงมีการออกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 34/2548 ยืนยันว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
สมรสเท่าเทียมถึงฟ้องชู้: ศาลรัฐธรรมนูญกับกฎหมายครอบครัว
คดีรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ปรากฏอีกครั้งใน พ.ศ. 2564 ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 (คดีสมรสเท่าเทียม) ซึ่งในช่วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีและมีคำวินิจฉัย เป็นช่วงเดียวกับที่สังคมไทยอยู่ในกระแสธารแห่งการเรียกร้องสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
มูลเหตุของคดีสมรสเท่าเทียม สืบเนื่องจากคู่รักที่มีเพศกำเนิดเป็นหญิงได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส แต่ถูกนายทะเบียนปฏิเสธ ทั้งคู่จึงร้องยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ขอให้ศาลมีคำสั่งรับจดทะเบียนสมรส ทั้งโต้แย้งต่อศาลดังกล่าวว่ามาตรา 1448 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในขณะนั้น ที่กำหนดว่าการสมรสต้องกระทำระหว่างชายและหญิง เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจึงส่งคำโต้แย้งดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำวินิจฉัย[6]
การวินิจฉัยคดีดังกล่าวมีประชาชนให้ความสนใจอยู่พอสมควร เนื่องด้วยหลายประเทศได้ใช้วิธีการทางศาลในการช่วยเร่งรัดให้มีการออกกฎหมายรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กรณีที่เด่นชัดสุดคือไต้หวัน[7] และสหรัฐอเมริกา[8] บางฝ่ายจึงคาดหวังว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอาจช่วยเร่งรัดฝ่ายนิติบัญญัติในการปรับปรุงกฎหมายได้
อย่างไรก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ามาตรา 1448 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีเนื้อหาที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ[9] โดยมีการอ้างอิงเหตุผลที่ค่อนข้างยึดติดกับจารีตประเพณี เช่น เหตุผลที่กล่าวว่า กฎหมายนอกจากต้องนึกถึงกฎแห่งธรรมชาติแล้ว ยังเป็นไปตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของแต่ละสังคม กฎหมายจะบังคับใช้ได้อย่างยั่งยืน ต้องเป็นที่ยอมรับและไม่ขัดกับความรู้สึกของคนในประเทศนั้นๆ เพราะขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีที่แตกต่างกันของแต่ละสังคมย่อมเป็นที่มาของกฎหมายที่แตกต่างกัน บทบัญญัติว่าด้วยเงื่อนไขการสมรสตามมาตรา 1448 เป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติและจารีตประเพณีมานาน เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการสมรสคือการสร้างครอบครัว สืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ[10] และด้วยความที่มาตรา 1448 มีเหตุผลสอดคล้องตามธรรมชาติ และเป็นไปตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของสังคมไทย จึงไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ แต่ประการใด[11]
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังสอดแทรกความเห็นที่อาจเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าแฝงไปด้วยอคติต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้นว่า การวินิจฉัยว่าหากไม่ได้กำหนดเพศไว้ในเงื่อนไขแห่งการสมรส ทำให้ต้องมีการพิสูจน์ทั้งสภาพเพศและมีใบรับรองแพทย์ในทุกกรณี จึงเป็นการเพิ่มภาระให้รัฐและทำให้สิทธิของสามีภริยาที่เป็นชายจริงหญิงแท้ซึ่งเป็นมหาชนต้องถูกตรวจสอบไปด้วย ทำให้เกิดความล่าช้ามีอุปสรรคไม่ได้รับความเป็นธรรมไปโดยปริยาย นอกจากนี้ อาจมีผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของผู้มีความหลากหลายทางเพศมาจดทะเบียนสมรสเพื่อหวังผลประโยชน์ในสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ หรือประโยชน์จากการลดหย่อนภาษี อันอาจส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน[12]
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังเน้นย้ำว่าระบบกฎหมายไทยมิได้ห้ามบุคคลเพศกำเนิดเดียวกันอยู่กินร่วมกัน จัดงานแต่งงาน ทำประกันชีวิตหรือทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้คู่รักเพศเดียวกัน[13] มีลักษณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยอมรับในสภาพการรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในรูปแบบของ ‘กฎหมายไม่ห้าม แต่กฎหมายไม่ได้รับรอง’ อย่างไรก็ดี ในตอนท้ายของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คำแนะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการที่เหมาะสมและสนับสนุนให้บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยการตรากฎหมายเฉพาะเพื่อให้สิทธิและเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ[14] ซึ่งส่วนนี้อาจเป็นการลดความร้อนแรงของเหตุผลประกอบคำวินิจฉัยมิให้มีท่าทีอนุรักษนิยมจนเกินไป
เมื่อสืบค้นคำวินิจฉัยส่วนตนก็จะพบท่าทีอนุรักษนิยมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่าน เช่น คำวินิจฉัยส่วนตนของ วรวิทย์ กังศศิเทียม ที่อธิบายว่า กฎหมายครอบครัวของไทยแม้จะอาศัยแนวทางของต่างประเทศ แต่เนื่องจากครอบครัวชนตะวันตกกับครอบครัวชนชาวไทยมีวิถีชีวิตที่แตกต่างชัดเจน บทบัญญัติกฎหมายครอบครัวจึงเป็นบทบัญญัติที่สอดคล้องวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีและความเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย[15] สอดคล้องกับคำวินิจฉัยส่วนตนของทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ที่วินิจฉัยว่ามาตรา 1448 สอดคล้องธรรมชาติ จารีตประเพณีที่มีมานับพันปี[16] เช่นเดียวกับคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการท่านอื่นๆ[17] ทั้งการเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์ของการสมรสว่ามีเพื่อสืบเผ่าพันธุ์[18] ขณะที่การอยู่กินของบุคคลเพศเดียวกันเป็นเรื่องความพึงพอใจทางเพศหรือรสนิยมทางเพศเท่านั้น มากไปกว่านั้นยังมีตุลาการบางท่านมีความเห็นว่าการสมรสของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่สามารถสร้างเครือญาติและความผูกพันอันละเอียดอ่อนอย่างการสมรสชายหญิง[19] ทั้งยังปรากฏท่าทีความไม่ไว้วางใจในประเด็นเรื่องการสมรสเพื่ออ้างสิทธิสวัสดิการอีกด้วย[20]
ทั้งนี้ แม้คำวินิจฉัยกลางจะใช้คำกว้างๆ ว่าให้รัฐควรมีมาตรการที่เหมาะสมและสนับสนุนให้บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยการตรากฎหมายเฉพาะ แต่เมื่อพิจารณาจากคำวินิจฉัยส่วนตนจะพบว่าตุลาการที่มีข้อแนะนำดังกล่าว ส่วนใหญ่อ้างถึงเพียงร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของรัฐบาลเท่านั้น[21] โดยมิได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (สมรสเท่าเทียม) ของพรรคก้าวไกลเลย ทั้งที่เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการตรากฎหมายเพื่อรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศและอยู่ระหว่างการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเช่นเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของรัฐบาล
ดังนั้น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้เกิดจากผลของคำวินิจฉัย แต่เกิดจากเหตุผลประกอบคำวินิจฉัยมากกว่า และแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่ามาตรา 1448 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็มิได้ห้ามฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแต่ประการใด
ในส่วนของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567 (คดีฟ้องชู้) มีที่มาจากการที่มีผู้ร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่ามาตรา 1523 วรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันวางหลักว่าด้วยสิทธิในการเรียกค่าทดแทนจากมือที่สามขัดรัฐธรรมนูญในส่วนของความเสมอภาคทางเพศ เนื่องจากให้สิทธิสามีในการเรียกค่าทดแทนจากผู้มาล่วงเกินภริยาของตนมิว่าเพศใดก็เรียกได้ ขณะที่ฝั่งภริยาเรียกได้เฉพาะหญิงอื่นที่ล่วงเกินสามีของตนและมีพฤติการณ์แสดงออกว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาว เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
คดีนี้ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญมีท่าทีที่ผ่อนคลายไปจากการยึดมั่นในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมไทยอยู่มาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมาตรา 1523 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพิ่งจะมีการปรับปรุงแก้ไขใน พ.ศ. 2550 นี้เอง ทั้งเจตนารมณ์ในการแก้ไขกฎหมายครอบครัวในครั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อความเสมอภาคทางเพศเป็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องการตรากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น[22] และปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้อ้างเจตนารมณ์ พ.ร.บ. นี้ด้วย[23]
ศาลยังเห็นว่ามาตรา 1523 วรรค 2 เป็นกรณีที่ฝั่งภริยามีภาระการนำสืบที่หนักกว่าฝ่ายชาย เนื่องจากต้องพิสูจน์ว่า ‘หญิงอื่น’ แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว ขณะที่ฝั่งสามีนั้นเพียงผู้อื่น ‘ล่วงเกิน’ ภริยาของตนในทำนองชู้สาวก็เรียกค่าทดแทนได้แล้ว จึงเป็นกรณีที่ขัดหลักความเสมอภาค ทั้งศาลรัฐธรรมนูญยังมีท่าทีที่ยอมรับสภาพสังคมที่มีการแสดงออกของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยการให้เหตุผลประกอบคำวินิจฉัยส่วนหนึ่งว่า การที่ภริยาไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจากบุคคลที่เป็นเพศชายหรือบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอื่นที่เข้ามามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีของตน การบัญญัติกฎหมายเช่นนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับสภาพทางสังคมปัจจุบันที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความแตกต่างและความหลากหลายทางเพศ[24] ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่ามาตรา 1523 วรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขัดรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ มีข้อพิจารณาว่าคำวินิจฉัยนี้ของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลต่อการปรับปรุงกฎหมายฟ้องชู้ตามมาตรา 1523 วรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มากน้อยเพียงใด แต่เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในช่วงเดียวกับที่ฝ่ายนิติบัญญัติกำลังพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครอบครัวครั้งใหญ่เพิ่งเสร็จสิ้นลงไป (วุฒิสภาลงมติร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยได้ไม่กี่ชั่วโมง) ซึ่งร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมก็มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1523 อยู่แล้ว[25] จึงเป็นกรณีที่มีการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้วนั่นเอง[26]
สองกฎหมาย สองท่าที
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระหว่าง พ.ศ. 2564-2567 จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย กล่าวคือมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครบวาระ 2 ท่าน ได้แก่ ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐและวรวิทย์ กังศศิเทียม และมีการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ 2 ท่าน ได้แก่ อุดม รัฐอมฤตและสุเมธ รอยกุลเจริญ แต่ท่าทีของศาลรัฐธรรมนูญกับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องเพศและความหลากหลายทางเพศในกฎหมายครอบครัวผ่านคำวินิจฉัยทั้ง 2 คดีกลับมีท่าทีที่ต่างกันอยู่พอสมควร
ขณะที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีสมรสเท่าเทียม ปรากฏว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสอดแทรกแนวคิดและความเชื่อเกี่ยวกับจารีตประเพณีวัฒนธรรมพอสมควร ดังจะเห็นได้ชัดในคำวินิจฉัยส่วนตน แต่ในคดีฟ้องชู้ปรากฏว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความระมัดระวังในการให้เหตุผลประกอบคำวินิจฉัยอยู่มาก โดยมากจะอ้างเจตนารมณ์ของมาตรา 1523 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่ามีขึ้นเพื่อคุ้มครองสถาบันครอบครัว ทั้งอ้างถึงเหตุผลประกอบพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550 ที่มีเหตุสืบเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาความเท่าเทียมทางเพศในกฎหมายครอบครัวของไทย
ในคำวินิจฉัยส่วนตนคดีฟ้องชู้ก็ปรากฏว่ามีการให้เหตุผลไปในทำนองเดียวกัน คือมีการอ้างถึงพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550 และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW)[27] ทั้งปรากฏร่องรอยทัศนคติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่านต่อกฎหมายครอบครัว เช่น อุดม รัฐอมฤต ที่กล่าวถึงกฎหมายครอบครัวในคำวินิจฉัยส่วนตนว่า “กฎหมายครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามคุณค่าที่มีการรับรองในระดับรัฐธรรมนูญ โดยหลักความเสมอภาคมาเป็นลำดับ ในส่วนที่ปรากฏในการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและความไม่เสมอภาค”[28] ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายครอบครัวของไทยอันมีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความเท่าเทียมทางเพศเป็นสำคัญ ดังปรากฏว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีฟ้องชู้อ้างถึงเอกสารเกี่ยวกับต้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวพอสมควร ทั้งในชั้นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา
เมื่อพิจารณาสภาพสังคมไทย ประเด็นความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายหญิงในกฎหมายครอบครัวเป็นเรื่องที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ทั้งในภาคประชาชนและฝ่ายนิติบัญญัติมีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศเรื่อยมา[29] ไปจนถึงการรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งไทยเดินไปในแนวทางการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือสมรสเท่าเทียมในที่สุด ซึ่งเป็นไปได้ว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็พอจะทราบถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในกฎหมายครอบครัวเช่นว่านั้นด้วย เมื่อมีโอกาสได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีส่วนร่วมในการช่วยชี้ถึงปัญหาความเท่าเทียมทางเพศในกฎหมายครอบครัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากฝ่ายนิติบัญญัติ
ถึงแม้ว่าสุดท้ายการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีฟ้องชู้จะมิได้มีผลโดยตรงต่อการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 เพราะสุดท้ายบทบัญญัติดังกล่าวจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎหมายสมรสเท่าเทียมในที่สุด แต่การวินิจฉัยคดีดังกล่าวเป็นโอกาสของศาลรัฐธรรมนูญในการแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงทัศนคติที่ตามทันสังคมและเข้าใจประเด็นสิทธิเสรีภาพร่วมสมัยที่อาจมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องความเสมอภาคชายหญิงและความหลากหลายทางเพศนั่นเอง
↑1 | สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ (สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 2561) 1. |
---|---|
↑2 | ดู มาตรา 212 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 |
↑3 | ดู มาตรา 148 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 |
↑4 | ดู มาตรา 231 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 |
↑5 | คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 87/2547 ใน “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 87/2547 เรื่อง ศาลจังหวัดราชบุรีส่งคำโต้แย้งของจำเลย (บริษัท แบงกอก สกรีน โปรดักซ์ จำกัด กับพวก) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ว่าพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 มาตรา 31 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 และมาตรา 204 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 30 หรือไม่” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนที่ 70 ก (28 สิงหาคม 2548) 1-7. |
↑6 | ณัฐ วิไลลักษณ์ และ ณัฐณิชา วาณิชย์วิรุฬห์, จาก ‘Pride Month’ สู่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม-คู่ชีวิต และการช่วงชิงประวัติศาสตร์สีรุ้งในสังคมไทย |
↑7 | ดู คำวินิจฉัยสภาตุลาการไต้หวันเลขที่ 748 (Judicial Yuan interpretation No.748) ลง ณ วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 |
↑8 | ตะวัน มานะกุล, ข้อถกเถียงเรื่องสิทธิแต่งงานเพศเดียวกันในศาลสูงอเมริกา: ค้านอย่างไรไม่ไร้สมอง? |
↑9 | “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 138 ตอนที่ 84 (13 ธันวาคม 2564) 16. |
↑10 | เพิ่งอ้าง 12-13. |
↑11 | เพิ่งอ้าง 15. |
↑12 | เพิ่งอ้าง |
↑13 | เพิ่งอ้าง 15-16. |
↑14 | เพิ่งอ้าง 16. |
↑15 | วรวิทย์ กังศศิเทียม, ความเห็นส่วนตน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 หน้า 2. |
↑16 | ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, ความเห็นส่วนตน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 หน้า 5-6. |
↑17 | โปรดดู ความเห็นส่วนตนของวิรุฬห์ แสงเทียน หน้า 3-4 ของจิระนิติ หะวานนท์ หน้า 2-3 และบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ หน้า 7. |
↑18 | โปรดดู ความเห็นส่วนตนของบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ หน้า 7 และของนภดล เทพพิทักษ์ หน้า 2. |
↑19 | ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, ความเห็นส่วนตน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 หน้า 4. |
↑20 | เพิ่งอ้าง 5-6. |
↑21 | ดู ความเห็นส่วนตนของ วรวิทย์ กังศศิเทียม หน้า 4-5 ของนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ หน้า 4-5 และของวิรุฬห์ แสงเทียน หน้า 4. |
↑22 | โปรดดู หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550.
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ให้ความคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับความคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่บทบัญญัติมาตรา 1445 มาตรา 1446 มาตรา 1447/1 วรรคสาม มาตรา 1516 (1) และมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติที่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ สมควรแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักการมีสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง และหลักการห้ามมิให้เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ ที่เคยได้รับความคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ |
↑23 | “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 141 ตอนที่ 44 ก (17 กรกฎาคม 2567) 34-36. |
↑24 | เพิ่งอ้าง 36-37. |
↑25 | ร่างมาตรา 49 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ให้ยกเลิกความในมาตรา 1523 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2550 และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “มาตรา 1523 เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งและจากผู้ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ซึ่งแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับคู่สมรสอีกฝ่ายในทำนองชู้ก็ได้ ถ้าคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการตามมาตรา 1516 (1) หรือให้ผู้อื่นกระทำการตามวรรคสอง คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคนนั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้” |
↑26 | โปรดดู ไพโรจน์ กัมพูสิริ, “ว่าด้วยกฎหมายฟ้องชู้ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ (ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรค 2)” วารสารกฎหมาย 42(2) 247-248. และดู Ilaw, “สมรสเท่าเทียมแก้รอยรั่ว หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยบทบัญญัติฟ้อง “ชู้” อย่างจำกัดเพศขัดรัฐธรรมนูญ” |
↑27 | โปรดดู ความเห็นส่วนตนของสุเมธ รอยกุลเจริญ และปัญญา อุดชาชน เป็นอาทิ |
↑28 | อุดม รัฐอมฤต ความเห็นส่วนตน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 13/2567 หน้า 4. |
↑29 | ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์, ‘พัฒนาการของกฎหมายลักษณะครอบครัวในไทย’ (2565) 2 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 470, 476-479. |