เมื่อกระแสลมอเมริกาเปลี่ยนทิศ: การจำใจกลับมากอดคอกันอีกครั้งของจีน-อินเดีย

จีน-อินเดีย

ปี 2025 นี้ ความสัมพันธ์จีน-อินเดียก้าวเข้าสู่ปีที่ 75 ถือว่ายาวนานพอๆ กับอายุของสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะต้องยอมรับว่าอินเดียเป็นชาติแรกๆ ที่ตัดความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และเลือกสานสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งสองประเทศผ่านทั้งความร่วมมือ ความขัดแย้ง การวางเฉยต่อกัน ไปจนถึงการเดินเกมความสัมพันธ์อย่างระมัดระวัง โดยกล่าวได้ว่าการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการเริ่มต้นของโลกาภิวัตน์ช่วยส่งเสริมความสมดุลและความเข้าใจใหม่ระหว่างอินเดียกับจีน เพราะทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและมีแนวคิดเดียวกันในการสร้างสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค

เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2024 ความสัมพันธ์จีน-อินเดียมาถึงจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอีกครั้ง เพราะปรากฏภาพการพบกันอย่างเป็นทางการระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ในที่ประชุม BRICS ประเทศรัสเซีย ซึ่งทั้งสองคนไม่ได้พบกันเลยนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งเรื่องพรมแดนในปี 2020

ในการหารือดังกล่าว นายกรัฐมนตรีโมดีเสนอให้อินเดียและจีนแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม โดยอิงผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะทั้งสองต่างก็เข้าใจดีว่าความขัดแย้งที่ไร้การควบคุมอาจสร้างความไม่มั่นคงในภูมิภาคและบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ดังนั้น การรักษาช่องทางการสื่อสารทางการทูตและการทหาร การดำเนินมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจตามแนวชายแดน และการส่งเสริมความร่วมมือในเวทีโลก เช่น BRICS, SCO และ G20 จึงยังเป็นสิ่งที่จำเป็น

นอกจากนี้ ตัวเร่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้จีนและอินเดียหันหน้ามาคุยกันมากขึ้น คือนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้กำแพงภาษีกับทั้งจีนและอินเดีย ซึ่งต่างก็เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ แรงกดดันนี้ดูจะส่งผลกระทบต่ออินเดียค่อนข้างมากในฐานะหนึ่งในพันธมิตรของสหรัฐฯ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายประการในช่วงต้นปี 2025 ที่ผ่านมา

สู่ปีที่ 75 ของความสัมพันธ์อินเดีย-จีน

ดังที่ได้เขียนไว้ข้างต้นว่าอินเดีย-จีนหวนกลับเข้าสู่เส้นทางการเจรจาอีกในช่วงปลายปี 2024 เมื่อทั้งสองผู้นำได้พูดคุยหารือประโยชน์ร่วมกัน โดยวางปัญหาความขัดแย้งไว้ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แต่สิ่งที่น่าสนใจคืออินเดียดูค่อนข้างจะมีท่าทีอ่อนลงเมื่อเทียบกับจุดยืนก่อนหน้านี้ โดยนายกรัฐมนตรีโมดีกล่าวในรายการวิทยุตอนหนึ่ง หลังจากที่เขาพบกับประธานาธิบดีสีว่า “พวกเราเห็นร่วมกันที่จะคืนความเป็นปกติกลับสู่พรมแดน”สอดคล้องกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอินเดีย ที่กล่าวว่า “อินเดียกำลังพิจารณาการฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับสู่ก่อนเดือนเมษายน 2020 ซึ่งเป็นสถานะเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้ง”

อินเดียส่งสัญญาณเชิงบวกอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการวางปัญหาพรมแดนเอาไว้ และหันหน้าเจรจาและสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันกับจีน โดยนายกโมดีมีท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่าอินเดียไม่ควรปล่อยให้ความตึงเครียดที่พรมแดนมากระทบต่อความสัมพันธ์โดยรวม พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า “เรา (อินเดีย-จีน) มีเหตุผลทุกประการที่จะสนับสนุนกันและกัน แทนที่จะบั่นทอนกัน และร่วมมือกัน แทนที่จะระแวดระวังกัน” สัญญะเหล่านี้จากอินเดียช่วยทำให้ปี 2025 อินเดียกับจีนสามารถกลับมาฉลองความสัมพันธ์ 75 ปีได้อย่างไม่ตึงเครียดนัก

ส่วนท่าทีของจีนตลอดหลายปีมานี้ก็คงไม่ได้แตกต่างกันนัก โดยเฉพาะปัญหาพรมแดนที่ทางการจีนมักระบุเสมอว่าควรถูกแยกออกมาจากความสัมพันธ์ในภาพรวมของทั้งสองประเทศ การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาลจีนในรอบนี้ส่งผลให้การพูดคุยกันของทั้งสองประเทศในมิติอื่นๆ ราบรื่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมิติเศรษฐกิจ รวมถึงการแสวงหาเสถียรภาพทางด้านความมั่นคงภายในภูมิภาค รวมถึงการแสดงบทบาทเป็นแกนนำกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ซึ่งทั้งจีนและอินเดียเห็นตรงกันว่าต้องเป็นปากเป็นเสียงให้ประเทศกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าการหันกลับมาคุยกันอย่างจริงจังเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะความสัมพันธ์อันยาวนาน แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการคาดการณ์ถึงแรงกดดันของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังโดนัล ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การออกนโยบายปกป้องทางการค้า การตั้งกำแพงภาษีกับทั้งจีนและอินเดีย รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ต้องหันหน้ากลับมาพูดคุยกันมากขึ้น นอกจากเพื่อหาทางหลีกภัยทางเศรษฐกิจแล้ว ยังรวมถึงการแสวงหาพันธมิตรเพื่อต่อกรกับแนวนโยบายใหม่ของอเมริกาด้วย

นโยบายการค้าและภาษีของทรัมป์ จุดผลักให้ต้องกอดคอกันแบบจำเป็น

แม้นายกรัฐมนตรีโมดีจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียที่มีมายาวนานและมีการปรับท่าทีกันอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมากทั้งในอินเดียและต่างประเทศ ล้วนวิเคราะห์ตรงกันว่าในใจลึกๆ แล้ว อินเดียยังคงมีความกังวลอย่างมากต่อท่าทีด้านความมั่นคงของจีน โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลทางการทหารตามแนวพรมแดน แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้อินเดียจำเป็นต้องปรับท่าทีต่อจีนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาจีนค่อนข้างมาก ในขณะที่สถานการณ์ด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เนื่องจากแนวนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ยังคงบังคับใช้อย่างเข้มข้นแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและทางการทหารของสหรัฐฯ ก็ตาม

การหวนคืนสู่การเจรจากับจีนจึงถือเป็นไพ่อีกหนึ่งใบที่อินเดียเลือกหยิบใช้ เพื่อบอกให้สหรัฐฯ รับรู้ว่าอินเดียยังสามารถหันหน้าเข้าหาจีนได้ หากแรงกดดันทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีมากจนเกินไป เห็นได้ชัดเจนจากท่าทีของอินเดียต่อประเด็นกรอบความร่วมมือ G20 และ BRICS ที่อินเดียยังคงยืนยันว่าเป็นสิ่งจำเป็น และจะเดินหน้าผลักดันต่อไป แม้ทรัมป์จะออกมากดดันอย่างหนัก โดยระบุหลายครั้งว่าไม่ต้องการให้มีกรอบความร่วมมือทั้งสองซึ่งท้าทายความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ท่าทีของอินเดียในลักษณะเช่นนี้ไม่เชิงว่าจะเข้าหาจีนอย่างเต็มตัว แต่คือการเดินเกมด้านนโยบายต่างประเทศ เพื่อรักษาสมดุลทางอำนาจต่อรอง รวมถึงรักษาผลประโยชน์แห่งชาติให้ได้มากที่สุด และนั่นทำให้อินเดียต้องมีท่าทีเป็นมิตรกับจีนมากขึ้น

เช่นเดียวกันกับจีนที่แม้ยังคงมองอินเดียในท่าทีไม่ไว้วางใจ เนื่องจากหลายครั้งแนวนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงของอินเดียเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซ้ำแนวนโยบายทางเศรษฐกิจที่เป็นกำแพงภาษีทางอ้อมก็ล้วนแล้วแต่พุ่งเป้ามาที่จีนเป็นหลัก แต่การกลับมาดำรงตำแหน่งของทรัมป์ในทำเนียบขาวได้ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อระบบการค้าโลก ทรัมป์กลายเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้จีนต้องแสวงหาพันธมิตรทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้นเท่าที่จะทำได้ เพื่อจำกัดขอบเขตความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอินเดียถือเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และถือเป็นอีกตลาดสำคัญที่จะเข้ามาทดแทนตลาดสหรัฐฯ เห็นได้จากข้อเรียกร้องจากทูตจีนประจำอินเดียเคยกล่าวว่า “อยากเรียกร้องให้อินเดียบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันกับบริษัทจีนมากยิ่งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมระหว่างสองประเทศ”

นับตั้งแต่ปลายปี 2024 จีนจึงมีกระบวนการทางการทูตหลายช่องทางที่พยายามอย่างมากที่จะเปิดการเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยเริ่มผ่อนปรนเรื่องท่าทีด้านความมั่นคงชายแดน เพื่อหาทางลงให้กับอินเดียในการปรับเปลี่ยนแนวนโยบาย รวมถึงสร้างโอกาสที่ผู้นำของทั้งสองประเทศจะสามารถพบกันได้โดยที่ผู้นำอินเดียไม่ถูกประชาชนในประเทศท้วงติง การเจรจาและพบปะกันทั้งทางการและไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองประเทศช่วยให้บรรยากาศความสัมพันธ์ในภาพรวมดีขึ้น ในขณะที่กระบอกเสียงของรัฐบาลจีนมีการรายงานข่าวถึงความสำคัญที่ทั้งจีนและอินเดียต้องร่วมมือกันในการพัฒนาภูมิภาคเอเชียและโลก ภายใต้กระแสลมอเมริกาที่กำลังเปลี่ยนทิศ เพราะสำหรับจีนแล้ว อินเดียคือตลาดการค้าที่สำคัญ และจีนทำกำไรมหาศาลได้จากการค้ากับอินเดีย การที่อินเดียกลับมาที่โต๊ะเจรจาคือสิ่งที่จีนได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด และดูเหมือนจะได้ประโยชน์มากกว่าฝั่งอินเดียด้วยซ้ำ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ต้องบอกก่อนว่าอินเดียก็คืออินเดีย จีนก็คือจีน ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนี้ขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องแบกรับความคาดหวัง และผลประโยชน์ของประเทศตัวเอง การที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้าดีกันก็ดีไป แต่เวลาทะเลาะกันก็ไม่ใช่ว่าจะคุยกันง่าย แต่สถานการณ์ที่กำลังเห็นในปัจจุบันนี้คือสภาพการกอดคอกันก่อนแบบจำใจ เพราะไม่รู้ว่าถ้าสลัดมือจากกันตอนนี้ ต่างฝ่ายจะมีสภาพเช่นไรนั่นเอง

ทิศทางความสัมพันธ์อินเดีย-จีน

ความสัมพันธ์อินเดีย – จีน เป็นลักษณะรักไม่ได้ เกลียดไม่ลง เพราะสุดท้ายทั้งสองประเทศก็ยังคงมีพรมแดนติดกัน และมีสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น จีนเป็นคู่ค้าหลักของอินเดียติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี และในหลายโอกาสจีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งแทนที่สหรัฐฯ โดยอินเดียต้องนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากจากจีน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่วันนี้แบรนด์จีนได้ครองตลาดอินเดียเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้จีนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้จำนวนมากในอินเดีย เศรษฐกิจอินเดียในวันนี้จึงต่างจากเมื่อก่อน และมีสภาพไม่ต่างจากหลายประเทศทั่วโลกที่ผูกโยงกับจีนอย่างใกล้ชิด การเดินเกมความสัมพันธ์กับจีนในวันนี้สำหรับอินเดียจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเมื่อก่อน

แค่จะรักษาสถานภาพความเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียใต้ ยังถือเป็นงานที่ยากขึ้นสำหรับอินเดีย เพราะวันนี้อิทธิพลของจีนกำลังแพร่ปกคลุมแนวเทือกเขาหิมาลัยไปจรดมหาสมุทรอินเดีย ประเทศในกลุ่มเอเชียใต้จำนวนมากพึ่งพาเงินลงทุนและเงินกู้จากจีน ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่เช่นนี้ส่งผลให้สถานะนำของอินเดียในภูมิภาคสั่นคลอนอย่างรุนแรง แนวนโยบายต่างประเทศแบบพี่ใหญ่เอเชียใต้ของอินเดียในวันนี้ใช้ไม่ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องปรับเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

แต่ในมุมหนึ่งการเข้ามาของจีนในภูมิภาคนี้ก็ลดภาระการเป็น ‘นางแบก’ ของอินเดียเช่นเดียวกัน เพราะอินเดียสามารถนำเงินงบประมาณที่เคยให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ไปลงทุนในการพัฒนาประเทศตัวเองได้มากยิ่งขึ้น นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศของอินเดียบางส่วนจึงมองว่าการที่จีนเข้ามาลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย จะยังประโยชน์หลายส่วนให้อินเดียได้เช่นกัน เพราะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเติบโตขึ้น อินเดียจะพลอยได้รับผลประโยชน์ทางการค้าด้วย เพราะสุดท้ายประเทศเหล่านั้นก็ยังคงพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากอินเดีย

สายสัมพันธ์ของอินเดียและจีนในวันนี้อาจดีขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อ 4-5 ปีก่อน แต่นั่นเป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังจากการ set zero ตามคำกล่าวของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอินเดีย เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะที่พรมแดนในปี 2020 ความสัมพันธ์อินเดีย-จีนจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านั้น และจะไม่มีทางกลับไปดีได้ ต่างฝ่ายจะอยู่กันอย่างหวาดระแวงในด้านความมั่นคง ขณะเดียวกัน สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไป จะทำให้อินเดียและจีนมีบทบาทในการค้าโลกมากยิ่งขึ้น เพราะทั้งสองประเทศคือหัวหอกที่ไม่ยอมรับการเปิดเสรีสินค้าเกษตร โดยมองว่าต้องปกป้องคนในประเทศ ซึ่งดูจะตรงข้ามกับแนวทางของสหรัฐฯ ในวันนี้ที่ต้องการให้ทุกประเทศลดกำแพงภาษีสินค้าเกษตรให้กับตัวเอง

ในอนาคต เราจึงอาจได้เห็นความร่วมมือแบบจำใจของทั้งอินเดียและจีนที่มากขึ้น เพื่อต่อกรกับนโยบายภาษีใหม่ๆ ของทรัมป์ แม้วันนี้อินเดียจะพยายามเดินหน้าเจรจากับอเมริกาอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีไพ่จีนที่ถืออยู่ในมือไว้คอยย้ำกับอเมริกาว่าอย่าบีบบังคับกันจนต้องหันไปพึ่งจีนมากขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับรัสเซีย เพราะสุดท้ายอินเดียก็จำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติเอาไว้นั่นเอง

จีน-อินเดีย

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

Asia

27 Jun 2023

โฉมหน้าใหม่การเมืองการปกครองอัฟกานิสถาน หลัง 2 ปี ตาลีบันรีเทิร์น

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ ชวนมองการเปลี่ยนแปลงของอัฟกานิสถาน หลังผ่านระยะเวลาเกือบ 2 ปี ภายใต้การกลับมาปกครองของตาลีบัน

อัครพันธ์ อัครโรจน์กิจ

27 Jun 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save