ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เทศกาล ‘หมอกควันพิษ’ หรือ ‘ฝุ่น PM2.5’ ประจำปีได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยเริ่มจากเขตภาคกลาง กรุงเทพมหานครและขณะนี้ภาคเหนือกำลังได้รับผลกระทบจากเทศกาลหมอกควันพิษเช่นกัน
ที่ผ่านมามีข้อมูลชี้ชัดว่าสาเหตุหลักๆ ของการเกิดหมอกควันพิษและฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่มาจากควันดำของรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล การเผาไหม้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการเผาซากพืชไร่ อ้อย ข้าว ข้าวโพด ขณะที่ในพื้นที่ภาคเหนือเกิดจากปัญหาการไฟป่าและการเผาซากพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนทางภาคอีสาน ภาคกลาง ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาซากในนาข้าว ไร่ข้าวโพดและการเผาไร่อ้อย ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะภาคอีสานที่มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ
แต่ข้อมูลใหม่ได้ชี้ชัดว่า ผู้ต้องหารายล่าสุดที่เป็นต้นตอก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 อีกรายคือ ‘ปุ๋ยเคมี’
เมื่อไม่นานมานี้ ดร.วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT ได้เปิดเผยว่าจากการใช้เทคนิคดาราศาสตร์ Mass Spectrometry ด้วยการจำแนกโครงสร้างของโมเลกุลสารต่างๆ ออกมาในรูปแบบของสเปกตรัม ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสารนั้นๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันเป็นอะไรบ้าง มาใช้ศึกษาองค์ประกอบฝุ่นเพื่อหาว่าต้นตอจริงๆ ของฝุ่น PM2.5 ว่ามาจากการเผาตามที่หลายคนเข้าใจหรือไม่
จากการศึกษาดังกล่าวพบว่า องค์ประกอบโดยเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ประกอบด้วย สารประกอบอินทรีย์ถึง 58% รองลงมาคือไนเตรท (NO3) 21% ตามด้วยซัลเฟต (SO4) 12% และแอมโมเนีย (NH4) 8% โดยเรื่องที่น่าสนใจคือในบรรดาสารประกอบอินทรีย์ทั้ง 58% นั้น หากเทียบสัดส่วนเป็น 100% จะจำแนกออกมาได้ว่า เป็นสารที่เกิดจากการเผาชีวมวลโดยตรง (Biomass Burning Organic Aerosol, BBOA) เพียง 23% และเป็นสารที่เกิดจากไฮโครคาร์บอนหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล (HOA) เพียง 11% เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 66% เป็น ‘ละอองลอยทุติยภูมิ’ (Secondary Organic Aerosol)
‘ละอองลอย’ คือ อนุภาคขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในอากาศ และหนึ่งในสารตั้งต้นละลองลอยทุติยภูมิที่สำคัญคือ ไนโตรเจนออกไซด์ต่างๆ จากภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการเผาไหม้ของรถยนต์ ซึ่งจะไปทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ระเหยง่ายในอากาศส่งผลให้เกิดอนุภาค PM2.5
ไนโตรเจนออกไซด์ส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘การให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินความต้องการของพืช’ ในภาคเกษตรกรรม เช่น ต้นอ้อยดูดซึมไนโตรเจนได้ประมาณ 30% ที่เหลือ 70% ลอยขึ้นไปในอากาศ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคการเกษตรในไทย ดร.วิภู เสริมว่า “บ้านเราใช้ปุ๋ยไนโตรเจนต่อหัวประชากรเยอะติดอันดับต้นๆ ของโลก”
ทุกวันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมใหญ่เกินเยียวยาแก้ไขระดับโลกปัญหาหนึ่งคือ ทั่วโลกมีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมหาศาล ระหว่างปี 1970 ถึง 2005 ปริมาณปุ๋ยไนโตรเจนเพียงอย่างเดียวที่ใช้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า อีกทั้งยังถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเป็นเวลานานจนมีปริมาณสะสมมากขึ้น กระตุ้นให้สาหร่าย วัชพืช และจุลินทรีย์บางชนิด แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนเกิดน้ำเน่าเสีย เพราะออกซิเจนในน้ำมีน้อย ทำให้ปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตายหมด
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ นักนิเวศวิทยาได้เคยกล่าวว่า “เรื่องผลกระทบจากปุ๋ยในไทยไม่มีการพูดถึงเลยอย่างน่ามหัศจรรย์ และใช้ปุ๋ยเคมีสำเร็จรูปในการทำเกษตรกรรมอย่างมหาศาล ต้องเข้าใจก่อนว่าธรรมชาติของพืชต้องการไนโตรเจนเป็นสารอาหาร ซึ่งไนโตรเจนอยู่ในอากาศ พืชเอามาใช้เองไม่ได้ ก็ต้องไปพึ่งจุลินทรีย์ เช่น รา แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดิน โดยที่จุลินทรีย์เหล่านี้จะแปรไนโตรเจนในอากาศมาเป็นไนเตรท ซึ่งอยู่ในภาวะที่ละลายน้ำได้ แลกเปลี่ยนกับน้ำตาลที่พืชให้มา พอละลายน้ำได้พืชก็ดูดขึ้นมาใช้ได้เป็นสารอาหาร”
นอกจากนี้ยังกล่าวต่อว่า “แต่ปัจจุบันเมื่อคุณเอาปุ๋ยไนเตรทสำเร็จรูปที่ผลิตจากน้ำมาละลายน้ำให้พืช พืชก็คล้ายเด็กโดนสปอยล์ เลิกเอาน้ำตาลไปเลี้ยงจุลชีพในดิน ดินก็ตายในที่สุด และเกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น โครงสร้างดินพังพินาศ จุลชีพตายทำให้ไส้เดือนไม่มา ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตที่คอยดูดซับสารอินทรีย์ พอฝนตกลงมาก็ชะสารอินทรีย์ที่ค้างในดินไปสู่ทะเล ผ่านแม่น้ำลำธาร และกลายเป็นมลภาวะครั้งใหญ่”
ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นหลายแห่งของโลก มีสารอาหารจำนวนมากไหลลงสู่แหล่งน้ำชายฝั่ง สารอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการใช้ปุ๋ยเคมีทางการเกษตรอย่างเข้มข้น ซึ่งถูกชะล้างด้วยฝนลงสู่แม่น้ำ จนทุกวันนี้ในทะเลหลายแห่งจึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Dead Zone’ (พื้นที่มรณะ) จากปุ๋ยเคมี
เมื่อสารอินทรีย์ลงมาในน้ำเยอะๆ ก็จะเกิด ‘Plankton Bloom’ หรือ ‘ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี’ เป็นผลมาจากการที่แพลงก์ตอนพืชบางชนิดได้รับธาตุอาหารในปริมาณมากกว่าปกติ จึงเกิดการขยายตัวมาก พอแพลงก์ตอนพวกนี้ตายและจมลง จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจน และเกิดการดึงออกซิเจนจากน้ำไปจนทำให้ออกซิเจนในน้ำทะเลลดลง อีกทั้งยังทำให้สัตว์จำพวกกุ้งตายเป็นจำนวนมาก
หากความเข้มข้นของออกซิเจนยังคงลดลงต่อไป สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นทะเลก็จะหายไปด้วย กล่าวคือหากน้ำด้านล่างหมดออกซิเจนในที่สุด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็จะตายไปจนกลายเป็น ‘Dead Zone’ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของทะเลหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แหล่งน้ำหลายแห่งเน่าเสีย ไร้สิ่งมีชีวิต โดยที่ปัญหานี้กำลังลุกลามไปตามแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วโลก เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะแก้ไขให้กลับสู่ธรรมชาติเหมือนเดิมได้ รวมทั้งทะเลไทยด้วย อาทิ แถวทะลบางแสนและระยองที่ปลาจำนวนมากลอยตายหน้าชายหาดส่งกลิ่นเหม็นเป็นข่าวดังไม่นานมานี้
หันกลับมาที่บ้านเราในปีพ.ศ. 2513 ประเทศไทยมีปริมาณการใช้ปุ๋ย 265,000 ตัน และในปีพ.ศ. 2532 เพิ่มเป็น 875,000 ตัน ขณะที่ในปีพ.ศ. 2564 มีการนำเข้าปุ๋ยเคมีมากถึง 5,500,000 ตัน เพื่อใช้ในการปลูกพืชเกษตรทุกชนิด โดยเฉพาะ ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง โดยมีมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวมีปริมาณพอๆ กับยอดขายเครื่องดื่มแอลกฮอล์ในตลาดทั้งปี
ผู้ประกอบการเกี่ยวกับปุ๋ยเคมีในประเทศไทยกว่า 4,000 ราย แต่ตลาดปุ๋ยเคมีในประเทศไทยประมาณ 75% เป็นของผู้ผลิตและนำเข้ารายใหญ่ 5-6 บริษัทเท่านั้น โดยมีซีพี-เจียไต๋เป็นผู้ครองตลาดใหญ่ที่สุด ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินความจำเป็น ร่วมกับประเทศบราซิล, เม็กซิโก, โคลอมเบีย, จอร์เจีย, อิสราเอล และจีน จากการศึกษานโยบายเศรษฐศาสตร์การเกษตรและสิ่งแวดล้อมจากสถาบัน ETH Zurich ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พบว่า ประเทศเหล่านี้สามารถลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลงได้ถึง 35% โดยที่ผลผลิตทางการเกษตรจะไม่ลดลง ประหยัดต้นทุนการผลิต ลดปัญหามลพิษในน้ำ และช่วยลดการเกิดปัญหา PM2.5 ด้วย
ปัญหามลภาวะจากอากาศสู่ท้องทะเล ต้นเหตุของปัญหาล้วนมีความสัมพันธ์กัน การแก้ต้นเหตุของปัญหา PM2.5 ให้ตรงจุด จึงต้องนำปัญหาการใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปมาพิจารณา เช่นเดียวกับปัญหาการเผาไร่ เผาป่า ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและจากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจาก ‘ปุ๋ยเคมี’, ‘พืชเกษตร’, ‘Plankton Bloom’ และ ‘ฝุ่น PM2.5’ จึงมีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว