บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะผลักดันนโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะแม้หลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ หรือนักวิเคราะห์ จะแสดงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติหนักถึงขนาดที่ต้องใช้การกระตุ้นอุปสงค์มวลรวม ผ่านมาตรการที่ต้องใช้การกู้เงินจำนวนมหาศาลถึง 6 แสนล้านบาท
มาตรการที่สร้างภาระทางคลังสูงขนาดนี้ย่อมถูกคาดหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาคในปีหน้าเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากเป็นไปตามที่รัฐบาลวาดฝันไว้ จีดีพีของไทยในปีหน้าจะโตถึงร้อยละ 5 และเกิดโมเมนตัมที่ส่งต่อให้จีดีพีในปีถัดๆ ไปเติบโตตามในอัตราเดียวกัน
คำถามที่ประชาชนอยากรู้ในวันนี้คือ มาตรการแจกเงินของรัฐบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีได้หรือไม่ นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มกับราคาที่คนไทยในวันข้างหน้าต้องจ่าย เพื่อชำระหนี้ที่รัฐบาลก่อในวันนี้หรือไม่
แม้วันนี้เราจะไม่มีลูกแก้ววิเศษที่สามารถมองเห็นอนาคตล่วงหน้า แต่เราสามารถจินตนาการถึงผลสัมฤทธิ์ของมาตรการแจกเงินต่อจีดีพีได้ ผ่านการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ที่เคยใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะที่คล้ายๆ กันนี้ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 1999 ที่รัฐบาลได้แจกคูปองเงินสดมูลค่า 20,000 เยน หรือประมาณ 200 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น) ให้กับครอบครัวที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยแต่ละครอบครัวจะได้คูปองตามจำนวนเด็กที่อยู่ในวัยดังกล่าว นอกจากครัวเรือนที่มีเด็กเล็กแล้ว รัฐบาลยังแจกคูปองให้กับกลุ่มประชากรสูงวัยที่เข้าเกณฑ์รับสิทธิ์อีกด้วย ซึ่งผู้ที่ได้รับคูปองมีจำนวน 32 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด โดยงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการแจกคูปองนี้อยู่ที่ 6.2 แสนล้านเยน หรือราว 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
เห็นได้ว่าโครงการแจกคูปองเงินสดของญี่ปุ่นในปี 1999 นี้มีความละม้ายกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทยหลายประการ ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณที่ใช้ จำนวนประชากรที่เข้าเกณฑ์ได้รับแจกคูปอง และข้อกำหนดของการใช้คูปอง ที่จำกัดให้ใช้ได้เฉพาะร้านค้าในชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งการจำกัดระยะเวลาใช้คูปองไว้ที่ 6 เดือน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่งานศึกษานี้ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกับนโยบายพรรคเพื่อไทยในพื้นที่สื่อบ้านเราในช่วงเดือนที่ผ่านมา
Hsieh, Shimizutani and Hori ได้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของนโยบายแจกคูปองเงินสดนี้ไว้ในบทความ ‘Did Japan’s shopping coupon program increase spending?‘ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Public Economics เมื่อปี 2010 ซึ่งงานวิจัยนี้ไม่พบหลักฐานในทางสถิติที่ยืนยันได้ว่า การแจกคูปองช่วยกระตุ้นให้ประชาชนเพิ่มการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ดี หากเจาะดูรายจ่ายครัวเรือนตามประเภทสินค้า ผู้วิจัยกลับพบว่าในเดือนมีนาคม ที่รัฐบาลได้เริ่มกระจายคูปองให้กับประชาชนนั้น การใช้จ่ายของครัวเรือนในสินค้าประเภทกึ่งคงทนมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับรายจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ ร้อยละ 1.3 (ระดับนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ 5 %)
แม้การใช้จ่ายในเดือนมีนาคมจะปรับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ผู้วิจัยกลับพบว่า ครัวเรือนลดการซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ลงในเดือนพฤษภาคม และต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคม นั่นหมายความว่า ครัวเรือนเพียงแค่เลื่อนเวลาการซื้อสินค้ากึ่งคงทนให้เร็วขึ้น มาเป็นช่วงเดือนมีนาคมที่ได้รับคูปอง และลดการซื้อสินค้าประเภทนี้ในเวลาต่อๆ มาลง พฤติกรรมเช่นนี้สะท้อนว่า มาตรการแจกคูปองเงินสดก่อให้เกิดการทดแทนการบริโภคข้ามเวลา หรือ Intertemporal Substitution แต่ไม่ได้จูงใจให้คนจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นแต่อย่างใด
ผู้วิจัยยังทำการคำนวณการตอบสนองของการบริโภคครัวเรือนต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากคูปองเงินสด หรือที่เรียกกันว่า ‘แนวโน้มการบริโภคหน่วยสุดท้าย’ (Marginal propensity to consume หรือ MPC) ไว้ด้วย โดย MPC ที่คำนวณได้มีค่าเท่ากับ 0.09 ในเดือนมีนาคม ซึ่งการใช้จ่ายในสินค้ากึ่งคงที่มีการเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ และค่า MPC ที่คำนวณได้ในเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคมมีค่าลดหลั่นลงไป จากบวกปริ่มๆ ค่อยปรับลดลงจนกลายเป็นลบในที่สุด โดยค่าของ MPC ที่คำนวณได้ เท่ากับ 0.06, -0.02, -0.03 และ -0.01 ตามลำดับ (ค่า MPC ที่ติดลบนั้นบ่งบอกว่าครัวเรือนที่ได้รับคูปองใช้จ่ายสินค้ากึ่งคงทนในเดือนดังกล่าว ลดลงกว่าที่เคยใช้จ่ายในเดือนกุมภาพันธ์)
ตัดมาที่ปี 2020 ที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จนขยายตัวกลายมาเป็นวิกฤติเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งในปีนั้นประเทศจีนประสบภาวะเศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง โดยในไตรมาสแรกของปี GDP หดตัวในอัตราร้อยละ 6.8 อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่อัตราร้อยละ 6.2 ช่วงเวลาดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ
เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้หดตัวไปกว่านี้ รัฐบาลและภาคเอกชนได้ออกคูปองดิจิทัลมูลค่ากว่า 19,000 ล้านหยวน หรือราว 85,000 ล้านบาท เพื่อการจับจ่ายในกว่า 100 เมือง 28 มณฑล
โครงการนี้มีความต่างจากการแจกคูปองเงินสดของญี่ปุ่น (และเงินดิจิทัลของไทย) อยู่มาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้รายละเอียดของโครงการโดยสังเขปก่อน และเนื่องจากการแจกคูปองดิจิทัลนี้ดำเนินการโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งแจกเงินในจำนวนที่แตกต่างกันไปในแต่ละรอบ แต่ลักษณะสำคัญของแต่ละท้องที่จะคล้ายคลึงกัน ในบทความนี้จะขอเลือกโครงการแจกคูปองดิจิทัลในเมืองหางโจวมาเป็นตัวอย่าง
รัฐบาลของหางโจวได้ประกาศโครงการแจกคูปองดิจิทัลเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อบริโภคโดยใช้งบประมาณ 500 ล้านหยวน โดยเริ่มกระจายคูปองตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2020 และหมดเขตการใช้คูปองในวันที่ 31 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ชาวเมืองหางโจวทุกคน (จำนวนราว 10 ล้านคน) จะมีสิทธิ์ที่จะได้รับคูปองนี้
ในรอบแรก รัฐบาลกระจายคูปอง 2 ล้านชุดให้กับประชาชนในตอนเช้าวันที่ 27 โดยแต่ละชุดประกอบด้วยคูปอง 5 ใบ ที่ประชาชนสามารถใช้ซื้อของตามร้านค้าในเมืองหางโจว แต่ไม่สามารถใช้เพื่อซื้อของออนไลน์ได้ และรัฐบาลตั้งเงื่อนไขการใช้คูปองว่า รัฐบาลจะสมทบจ่าย 10 หยวน ก็ต่อเมื่อมีการใช้จ่ายถึง 40 หยวน และผู้มีคูปองสามารถใช้คูปองได้เพียงใบเดียวในการซื้อสินค้าแต่ละครั้ง
สมมติว่าผู้ได้รับชุดคูปองรอบแรกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในวันที่ 30 มีนาคม มูลค่า 78 หยวน โดยตามเงื่อนไข RMB 40-10 ผู้ใช้คูปองจะควักกระเป๋าจ่าย 68 หยวน และใช้คูปอง 10 หยวน (ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายเงินโดยตรงให้กับร้านค้าเอง)
เงื่อนไขนี้ละม้ายคล้ายโครงการ ‘คนละครึ่ง’ โดยมีความต่างกันตรงที่สัดส่วนเงินที่รัฐจ่ายเงินสมทบให้ไม่เท่ากันกับเงินที่ประชาชนควักกระเป๋าจ่ายเอง นอกจากนี้จำนวนเงินที่รัฐบาลจ่ายสมทบถูกกำหนดให้มีมูลค่าตายตัว คือในรอบแรกนี้ คูปองชุดหนึ่งได้รับเงินสมทบจากรัฐ 50 หยวนต่อราย ซึ่งไม่ใช่จำนวนเงินที่มากมายแต่อย่างใด (RMB 50 เท่ากับ USD 7 ในเวลานั้น หรือไม่ถึง 300 บาท) และชุดคูปองในรอบแรกนี้สามารถใช้จ่ายได้ภายใน 7 วันนับจากที่ได้รับแจก
ในรอบที่สอง รัฐบาลกระจายคูปองในวันที่ 3 เมษายน เป็นจำนวน 1.5 ล้านชุด ในแต่ละชุดมีคูปองสามชุดด้วยกัน ชุดแรกเป็นชุด RMB 100-20 นั่นคือหากใช้จ่าย 100 หยวน รัฐจะสมทบให้ 20 หยวน ชุดที่สองคือ RMB 200-35 และชุดที่สามคือ RMB 300-45 รวมเงินสนับสนุนจากรัฐบาลในรอบนี้เท่ากับ 100 หยวน ต่อชุดคูปอง การกระจายคูปองในรอบนี้ยังบังคับให้ผู้รับใช้คูปองภายในระยะเวลา 7 วัน เช่นเดิม นั่นคือหากใครที่ได้รับคูปองแล้ว ก็ต้องใช้คูปองให้หมดภายในวันที่ 9 เมษายนเท่านั้น
รัฐบาลแจกคูปองเป็นรอบที่สามในวันที่ 10 เมษายน โดยเงื่อนไขการใช้คูปองและมูลค่าเงินสมทบเป็นเช่นเดียวกันกับคูปองที่แจกในรอบแรก
รัฐบาลหางโจวแจกดิจิทัลคูปองผ่านทาง Alipay โดยผู้ที่ต้องการคูปองต้องเข้าไปกดรับคูปองทางแอปในมือถือ ในรอบแรกของการแจกชุดคูปอง ใช้เวลาเพียง 38 นาที คูปองทั้ง 2 ล้านชุดก็ถูกแจกจ่ายไปจนครบจำนวน ในรอบที่สองและรอบที่สามนั้น ชุดคูปองถูกกระจายไปหมดภายในเวลาไม่ถึง 3 นาทีและ 2 นาที ตามลำดับ เห็นได้ว่าประชาชนให้ความสนใจ ขอรับคูปองดิจิทัลเป็นจำนวนมากในแต่ละรอบ
งานวิจัยของ Liu, Shen, Li and Chen (2021) พบว่า ในการกระจายคูปองรอบแรกนั้น คนที่ได้รับดิจิทัลคูปองมีการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงขึ้น 125 หยวน (เทียบกับคนที่ไม่ได้รับคูปอง) คิดคำนวณจากการใช้คูปองโดยเฉลี่ยคนละ 3.5 คูปองต่อคนต่อสัปดาห์ (เพราะบางคนไม่ได้ใช้คูปองครบทั้ง 5 ใบในช่วง 7 วัน) นั่นหมายความว่ารัฐบาลท้องถิ่นจ่ายเงินอุดหนุนการใช้จ่ายประชาชนคนละ 35 หยวน (3.5 คูปองคูณด้วย 10 หยวน)
เนื่องจากเงินอุดหนุนจากรัฐคือรายได้ที่เพิ่มขึ้นของประชาชน ดังนั้นเงินอุดหนุนรายหัว 35 หยวน นำมาซึ่งการใช้จ่ายส่วนเพิ่ม 125 หยวน นั่นหมายความว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้น 1 หยวน จะก่อให้เกิดการใช้จ่ายของเอกชนที่เพิ่มขึ้น 3.57 หยวน (125/35) งานศึกษานี้จึงสรุปว่าค่า MPC ของผู้ได้รับดิจิทัลคูปองในรอบแรกนี้เท่ากับ 3.57
ยิ่งไปกว่านั้น การแจกคูปองดิจิทัลในรอบสองที่มีเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบในอัตรา 35:200 หยวน ผู้วิจัยคำนวณได้ว่าค่า MPC ของผู้ได้รับคูปองมีค่าสูงถึง 5.8 เลยทีเดียว
สังเกตได้ว่าทั้งสองงานวิจัยที่หยิบยกมาเล่าให้กับท่านผู้อ่านล้วนทำการคำนวณค่า MPC ของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายแจกเงิน นั่นเป็นเพราะว่าค่า MPC มีนัยเชิงนโยบายต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะ MPC เป็นตัวกำหนดสำคัญของ ‘ตัวคูณทวีทางการคลัง’
กล่าวคือเมื่อรัฐบาลเติมเงินเข้ากระเป๋าประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คนที่ได้รับเงินจะนำเงินไปใช้จ่าย ยิ่ง MPC มากเท่าไหร่ สัดส่วนการใช้จ่ายต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นยิ่งมากตาม (ในทางกลับกัน เงินที่ถูกเก็บออมไว้ ไม่ใช้จ่าย ก็จะมีสัดส่วนน้อย) ทำให้มีเงินจำนวนมากกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค
การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสร้างรายได้ให้กับคนอีกกลุ่มในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากคนกลุ่มนี้มีค่า MPC สูง คนกลุ่มนี้ก็จะนำรายได้ที่เพิ่มไปใช้จ่ายต่อในสัดส่วนที่สูงด้วยเช่นกัน เงินที่รัฐบาลแจกก็จะหมุนวนกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง
ดังนั้น เศรษฐกิจที่ประชาชนมีค่า MPC สูง เงินที่รัฐใส่เข้าไป จะหมุนกลับเข้ามาใช้จ่ายในระบบหลายรอบ สร้างให้เกิดรายได้และการผลิตในมูลค่าที่สูงเป็นทวีคูณ
กล่าวได้ว่า มาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยนั้นจะกลายเป็น ‘พายุหมุน’ ทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้ GDP เติบโตแบบก้าวกระโดดได้นั้น ประชาชนไทยจำต้องมีค่าตัวคูณทวีทางการคลัง (และค่า MPC) ที่สูงมาก
เมื่อเราย้อนกลับไปดูค่า MPC จากงานวิจัยทั้งสอง จะพบว่าในกรณีศึกษาคูปองเงินสดของประเทศญี่ปุ่นนั้น MPC ที่คำนวณได้มีค่าต่ำมาก บอกให้เราทราบว่าตัวคูณทวีของมาตรการแจกเงินจะมีค่าต่ำตามไปด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกว่ามาตรการแจกคูปองเงินสดในปี 1999 ไม่สามารถกระตุ้นให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตได้ดังคาด ต่างจาก MPC ที่คำนวณจากกรณีศึกษามาตรการคูปองดิจิทัลเมืองหางโจว ที่มีค่าสูงถึง 3.57-5.8
อย่างไรก็ดี เราคงไม่สามารถสรุปในทันทีได้ว่า ค่า MPC ที่สูงเกิน 1 นี้จะสร้างพายุหมุนทำให้เศรษฐกิจเมืองหางโจวเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผลผลิตแท้จริงของเมืองหางโจวเติบโตในอัตราเพียงร้อยละ 3.5 ในปี 2020 ซึ่งต่ำกว่า อัตราเติบโตร้อยละ 6.8 ในปี 2019 มาก (แต่หากไม่มีการแจกคูปองดิจิทัล อัตราการขยายตัวของผลผลิตแท้จริงอาจตกต่ำกว่านี้ หรืออาจติดลบก็เป็นได้)
สิ่งที่เราสามารถถอดเป็นบทเรียนจากการใช้นโยบายแจกคูปองดิจิทัล พอสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้
- ค่า MPC สูงกว่า 1 นั้นเป็นผลของการออกแบบวิธีใช้คูปอง เพราะรัฐบาลจีนต้องการให้คนนำเงินที่เก็บออมไว้ออกมาใช้จ่ายในช่วงวิกฤติ ดังนั้นคนที่จะใช้คูปองเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า จำต้องควักกระเป๋าใช้เงินตัวเองด้วย และต้องใช้ในสัดส่วนที่มากกว่าเงินอุดหนุนที่ภาครัฐแจกให้ (ในสัดส่วน 40:10 ในรอบแรกและรอบสาม หรือ ในสัดส่วน 125:35 ในรอบสอง) ในเงื่อนไขนี้ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างจากการแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยมาก เพราะผู้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่ต้องใช้เงินของตัวเองเลย ในเวลาที่นำเงินดิจิทัลออกจับจ่าย ดังนั้นค่า MPC ของการใช้เงินดิจิทัลจะไม่มีทางเกิน 1 แบบที่พบในกรณีของประเทศจีนได้
- คูปองดิจิทัลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวจีนนำเงินออมออกมาใช้จ่ายในช่วงวิกฤติ เพราะค่านิยมเรื่องความมัธยัสถ์ถือเป็นอัตลักษณ์ของชาวจีนมาแต่โบราณ ดังนั้นเพื่อให้คนยอมควักกระเป๋าเอาเงินที่ออมไว้มาใช้จ่าย ต้องใช้สิ่งล่อใจ ซึ่งรัฐบาลใช้หลักจิตวิทยาที่เรียกว่า Loss framing effect เป็นเครื่องมือ กล่าวคือสร้างสถานการณ์ที่ทำให้คนรู้สึกว่าคูปองดิจิทัลนี้ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ (ต้องวัดดวงกันลงทะเบียนรับสิทธิ์) แถมยังมีอายุการใช้งานเพียงแค่ 7 วัน ดังนั้นถ้าได้คูปองดิจิทัลแล้วไม่รีบใช้ก็จะสูญสิทธิประโยชน์นั้นไป ความกลัวจะสูญเสียนี้ส่งผลกระตุ้นให้คนที่มีคูปองนำเงินที่ออมไว้ออกมาใช้คู่กับคูปองดิจิทัลนั่นเอง
เมื่อย้อนมามองเทียบกับเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัลของไทยที่แจกให้กับผู้ที่ผ่านเกณฑ์และมีระยะเวลาการใช้เงินยาวถึง 6 เดือน จึงคิดว่าเงินดิจิทัลจะไม่สามารถสร้าง Loss framing effect ที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายดังในกรณีคูปองดิจิทัล
แม้ว่างานวิจัยของ Liu, Shen, Li and Chen (2021) จะพบว่าประชาชนชาวเมืองหางโจวตอบสนองต่อคูปองดิจิทัลด้วยการจับจ่ายเงินเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงการหมุนเงินเพียงรอบเดียว งานวิจัยไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า ในที่สุดแล้วเม็ดเงินจะหมุนวนในระบบเศรษฐกิจได้กี่รอบ สร้างให้เกิดมูลค่าการใช้จ่าย และการผลิตมากเพียงใด แต่หากคิดวิเคราะห์จากอุปนิสัยของชาวจีนแล้ว เชื่อว่าคงไม่ได้มีการใช้จ่ายต่อจากรอบแรกนี้มากเท่าใด เพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจที่บอบช้ำจากการระบาดของโควิด-19 ร้านค้าที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากมาตรการคูปองดิจิทัลน่าจะเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้ไว้เป็นเงินออมเผื่อฉุกเฉิน มากกว่าเอาไปจับจ่ายซื้อของต่อ
หากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าประเทศไทยขณะนี้วิกฤติแล้ว พรรคเพื่อไทยควรตระหนักด้วยว่าการแจกเงินดิจิทัลไม่น่าจะทำให้เกิดค่าตัวคูณทวีที่มากเท่าใดนัก เพราะครัวเรือนไทยที่รายได้ไม่เติบโตมา 9 ปี และมีหนี้ท่วมหัว ไม่ได้มีเงินออมที่จะนำมาใช้จ่ายในช่วงวิกฤติได้ และบรรดาร้านค้าที่ได้รับเงินดิจิทัลไป น่าจะต้องการขึ้นเงินสดเพื่อเก็บออมไว้ มากกว่าจะนำมาใช้จ่ายต่อ เพราะกลัวในความเสี่ยงทางการคลังที่เกิดจากนโยบายเงินดิจิทัลนี้จะสร้างวิกฤติเศรษฐกิจอีกในอนาคต
ดูสภาพแล้ว มาตรการแจกเงินดิจิทัลคงไม่สามารถทำให้เกิดพายุหมุนได้แน่
เอกสารอ้างอิง
Hsieh C., Shimizutani S. and Hori M. (2010) “Did Japan’s shopping coupon program increase spending?” Journal of Public Economics, Vol. 94(7), pp. 523-529.
Liu, Q., Shen, Q., Li, Z. and Chen, S. (2021) “Stimulating consumption at low budget: evidence from a large-scale policy experiment amid the COVID-19 pandemic” Management Science, Vol.67 issue 12, pp. 7291-7307