ระฆังตีบอกเวลา 5 นาฬิกาในยามเช้า เป็นสัญญาณบอกให้เด็กๆ ใน Bamboo School ลืมตาตื่นและมารวมตัวกันที่ห้องโถง พวกเขาเริ่มร้องเพลงเป็นสัญญาณบอกเพื่อนๆ ที่ยังมาไม่ถึงให้เร่งมือมาให้พร้อมเพรียงก่อนจะถึงเวลาท่องบทสวดภาวนา
ในอดีตที่นี่เคยเป็นอาคารไม้ไผ่จนเป็นที่มาของชื่อ ‘Bamboo School’ โรงเรียนสำหรับเด็กไร้สัญชาติที่ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบการศึกษาไทยได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 24 ปี อาคารปูนหลังใหม่ก็ถูกสร้างแทนที่และด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กทำให้เด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีสิทธิได้รับการศึกษา Bamboo School จึงปรับบทบาทหลักเป็นที่พักอาศัยของเด็กพลัดถิ่นและไร้สัญชาติ
หลังตื่นนอนกะเตนาเว (Ka-ten-ah-wee) มาภาวนาขอพรจากพระเจ้าของเธอพร้อมกับเพื่อนๆ พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เด็กๆ ต่างพากันหยิบถาดหลุมของตัวเองต่อแถวรับผัดบวบเป็นอาหารเช้า ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเอง หลังกินข้าวเสร็จนาว บอ (Naw Bor) มีความสุขกับการได้รับหน้าที่ให้อาหารสุนัขสองตัวทุกเช้า-เย็น เทเท (Tay Tay) รับผิดชอบการป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับลิตเติลจอห์นที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ บ้างรับหน้าที่ล้างถ้วยชาม บ้างหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดเก็บกวาดเศษขยะ
เมื่อพวกเขาทำหน้าที่ของตนเองเสร็จก็ถึงเวลาสะพายกระเป๋านักเรียนและเดินมารวมตัวกันที่รถฉุกเฉินที่ในทุกเช้าจะทำหน้าที่เป็นรถรับส่งนักเรียน เจ้าของรถคันดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่ก่อตั้ง Bamboo School เมื่อ 24 ปีที่แล้วคือแคทเธอริน รูธ ไรลี่ ไบรอัน (Catherine Ruth Riley-Bryan) ผู้ดูแลเด็กทุกคนหรือที่เด็กๆ มักเรียกเธอว่า ‘โมโมะแคท’ ในภาษากะเหรี่ยงที่แปลว่าแม่ เธอเกิดและเติบโตที่ชนบทในนิวซีแลนด์ เรียนจบที่สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนชีวิตจะมาลงเอยที่ Bamboo School ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี กว่า 24 ปีที่เธอช่วยเหลือและดูแลเด็กไรัสัญชาติในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตและได้รับการศึกษาในประเทศไทย


บ้านหลังสุดท้าย
“ฉันมาที่นี่ด้วยเงินเพียง 169 บาท ฉันเริ่มทำสิ่งต่างๆ ในพื้นที่จนมีคนในหมู่บ้านยกที่ดินให้ฉัน และเราสร้างโรงเรียนขึ้นมาให้กับเด็กๆ”
แคทเธอรินเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Bamboo School หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่งนักเรียนในตอนเช้าเธอขับรถพาเราสำรวจ บ้องตี้ เมื่อขับรถมุ่งหน้าทิศใต้ แนวเขาฝั่งขวาคือชายแดนที่กั้นระหว่างไทยกับเมียนมา ณ ปัจจุบันมีเด็กอยู่ในความดูแลของเธอทั้งสิ้น 83 คน เป็นเด็กที่มีสัญชาติไทย 12 คน เด็กไร้สัญชาติ 14 คน เด็กสัญชาติเมียนมา 3 คน เด็กไม่มีบัตรประจำตัว แต่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลไทยด้วยหมายเลขทางการศึกษา 52 คน และเด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนใดๆ 2 คน
“เด็กส่วนใหญ่ที่เราดูแลคือพ่อแม่เขาไม่สามารถดูแลได้” แคทเธอรินเล่าในขณะที่รถแล่นมาจนถึงจุดผ่านแดน ต.บ้องตี้ “หลายครั้งพ่อแม่เอาเด็กมาทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล เด็กบางคนเข้ามาเพราะอยากได้รับการศึกษาและมีอนาคตที่ดี”
เด็กทุกคนเมื่อเข้ามาอยู่ที่ Bamboo School จะถูกฝึกภาษาไทยเป็นอันดับแรก จากนั้นจะถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนบ้านบ้องตี้ที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมปีที่ 3 และกำลังจะขยายระดับชั้นถึงมัธยมชั้นปีที่ 6 เมื่อเด็กเหล่านี้เข้าสู่ระบบการศึกษาพวกเขาจะได้รับเลขทะเบียนทางการศึกษา (รหัส G) และเมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พวกเขาจะได้รับบัตรประจำบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
“เด็กบางคนเติบโตแล้วไปเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลท้องถิ่น บางคนได้เป็นครูในโรงเรียนท้องถิ่นและโรงเรียนนานาชาติ มีคนหนึ่งได้เป็นหมอ บางคนได้สถานะผู้ลี้ภัยไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในขณะที่บางส่วนทำงานเพื่อส่งต่อโอกาสเช่นที่เขาเคยได้รับ” แคทเธอรินกล่าว
รถแล่นมาจอดที่ริมทะเลสาบขนาดเล็กที่แคทเธอรินได้รับการบริจาคที่ดิน เธอแปลงที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นบ้านพักสำหรับเด็กผู้ชายให้ได้ดูแลกันเองโดยมีศิษย์เก่า 2 คนคอยดูแล และกำลังจะเปิดคลินิกให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบจากฝั่งเมียนมา เธอกล่าวว่าจะพยายามส่งเสียเด็กทุกคนให้ได้เรียนสูงที่สุด
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลายที่อำเภอไทรโยคแล้ว เด็กหลายคนได้รับการศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาตรีในวิชาชีพที่ตนเองสนใจ ตลอด 24 ปีที่ผ่านมามีเด็กกว่า 690 คนที่ผ่านการดูแลจาก Bamboo School
“ฉันคิดว่าเด็กที่อยู่ประเทศไทยมานานกว่า 10 ปีและมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานในวิชาชีพต่างๆ เพื่อกลับไปช่วยเหลือชุมชน ถ้าพวกเขาผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาควรได้รับบัตรประชาชนไทยก่อนจบการศึกษา ไม่ควรมีใครต้องมานั่งรอสถานะหลังเรียนจบแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
แคทเธอรินเล่าถึงปัญหาที่เด็กทุกคนของเธอต้องพบหลังเรียนจบปริญญาตรี เธอยกตัวอย่าง วรรณ (ไม่มีนามสกุล) หนึ่งในเด็กของ Bamboo School ที่เรียนจบวิชาชีพพยาบาลจากมหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชียแปซิฟิก ทั้งยังพูดได้ 4 ภาษาคือ ไทย, อังกฤษ, กะเหรี่ยง และพม่า แต่ไม่สามารถนำความรู้และทักษะไปทำงานได้ เนื่องจากต้องรอการขอสถานะพลเมืองไทย ทั้งๆ ที่เธออาศัยและได้รับการศึกษาอยู่ประเทศไทยมากว่า 16 ปีแล้ว
“เธอควรได้รับสัญชาติไทย”
แคทเธอรินกล่าวขณะนั่งรอเด็กๆ เลิกเรียนในช่วงสี่โมงเย็น หากมองด้วยตาเปล่าไม่น่าเชื่อว่าเด็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่รายล้อมแคทเธอรินอยู่ตอนนี้ คือเด็กที่สูญเสียพ่อแม่จากภัยสงครามและความยากจน รวมทั้งหลายคนมีภาวะเจ็บป่วย เช่น ธาลัสซีเมีย, ภาวะทุพโภชนาการ หรือเป็นผู้พิการ ในขณะที่เด็กๆ กำลังสนุกสนานอยู่นั้น แคทเธอรินแนะนำให้เราได้รู้จักกับวรรณ หลังจากที่เธอเพิ่งเสร็จสิ้นงานจากโรงพยาบาลประจำตำบล


มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ
Bamboo School ในยามเย็นกลับมามีสีสันเมื่อเด็กๆ กลับมาจากโรงเรียน ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยมีเด็กโตคอยดูแลความเรียบร้อย ทำอาหาร และสอนการบ้านให้น้องๆ วรรณสอนวิชาภาษาไทยให้เทเท เธอเกิดที่ประเทศไทยแต่ชีวิตในวัยเด็กต้องข้ามไปมาระหว่างฝั่งไทยและเมียนมา เพราะพ่อของเธอเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ระหว่างพรมแดนของทั้งสองประเทศ
ปัจจัยความยากจนผลักให้วรรณต้องมาขออาศัยกับน้าที่ประเทศไทย วันหนึ่งน้องชายของเธอป่วยด้วยโรคมาลาเรียทำให้พ่อของเธอต้องไปคอยดูแลที่โรงพยาบาล วรรณในวัย 9 ขวบต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองเนื่องจากผู้เป็นน้ามีภาระงานที่ต้องทำ จนกระทั่งแคทเธอรินทราบข่าวจึงรับตัววรรณให้มาอาศัยที่ Bamboo School และรับน้องชายของเธอมาอยู่ด้วยในภายหลัง
“หนูไม่มีนามสกุล อาจารย์ทุกคนถามว่าทำไมเธอไม่มีนามสกุล ช่วงแรกรู้สึกน้อยใจและอายมาก”
อย่างไรก็ดีการไม่มีนามสกุลไม่ใช่ข้อจำกัดที่ทำให้วรรณเลือกที่จะหยุดเรียน กลับกันมันทำให้เธออยากจะช่วยเหลือคนอื่น เพราะเธอรู้ดีว่าการได้รับโอกาสสำคัญต่อชีวิตเธอมากขนาดไหน ปัจจุบันวรรณทำงานช่วยเหลือ รพ.สต. บ้านบ้องตี้โดยไม่ได้รับเงินเดือน วรรณเล่าว่าตอนนี้เธอกำลังยื่นขอใบรับรองการเกิดจากทางที่ว่าการอำเภอ เพื่อนำไปยื่นขอสัญชาติไทยต่อไป คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 ปีที่วรรณและสังคมไทยต้องเสียโอกาสในการนำทักษะวิชาชีพของเธอมาใช้งาน
“บัตรประชาชนสำคัญมาก หนูจะได้มีโอกาสทำงานเต็มความสามารถที่เรียนมา หนูอยากเป็นพยาบาล อยากมีโอกาสไปเป็นอาสาสมัครพยาบาลในทวีปแอฟริกาดูสักครั้งในชีวิต”
ไม่ใช่วรรณแค่คนเดียวที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าว โมซา (ไม่มีนามสกุล) เป็นอีกคนที่บอกว่าอยากให้กระบวนการขอสัญชาติง่ายขึ้น
“หากเรามีบัตรประชาชนก็จะได้สิทธิมากขึ้น ทุกวันนี้เดินทางไปไหนต้องขออนุญาต แต่ถ้ามีบัตรประชาชนจะเดินทางหรือทำงานก็ง่ายขึ้น”
โมซาอยู่ที่ Bamboo School ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เธอเกิดและเติบโตที่ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย จ.ราชบุรี พ่อของเธอเสียชีวิต ส่วนแม่ของเธอยังอาศัยอยู่ที่ฝั่งเมียนมา โมซาเป็นคนที่ผลการเรียนดีมาโดยตลอด ปัจจุบันเธอกำลังเรียนคณะรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา เธอเลือกเรียนที่นี่เพราะสามารถเรียนออนไลน์ได้ ทำให้เธอยังสามารถพักอาศัยอยู่ใน Bamboo School และดูแลเด็กคนอื่นๆ ได้
“วันข้างหน้าเมื่อเรียนจบ อยากกลับมาช่วยเหลือน้องๆ รุ่นต่อไป” โมซาเล่าความฝันของเธอ “เราเคยไม่มี และเห็นคนที่เขาไม่มีเหมือนเรา จะเข้าเรียนก็ไม่ได้ ไม่มีพ่อแม่ดูแล เราจึงอยากเข้าไปเปลี่ยนแปลง”
ตอนนี้โมซาได้รับมอบหมายจากแคทเธอรินให้เป็นคนดูแลน้องๆ มาร์คคือเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ห่างจากตัวเธอ เขาเกิดมาโดยที่ไม่มีรูทวารและมีไตเพียงข้างเดียว จึงต้องผ่าตัดลำไส้เพื่อใช้ในการขับถ่าย โดยปัจจุบันเขาได้รับการรักษาจนเป็นปกติแล้ว

จากกรณีตัวอย่างของวรรณและโมซา ทางเครือข่ายการปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR) ที่กำลังผลักดันนโยบายการจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานในประเทศไทยผ่านการมีส่วนร่วมในสภานิติบัญญัติ ได้ให้ความเห็นว่า ถ้าบุคคลดังกล่าวเกิดในประเทศไทยและมีหลักฐานการเกิด หลักฐานการจบการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐควรเปิดให้พวกเขาได้สัญชาติในทันที
“มีเหตุผลอะไรทำให้เราไม่รับเด็กกลุ่มนี้เข้ามา” ศิววงศ์ สุขทวีตัวแทนของเครือข่ายแสดงความคิดเห็น “เด็กกลุ่มนี้มีความพยายามมากกว่าเด็กปกติ ชีวิตพวกเขาเริ่มจากติดลบ พ่อแม่ไม่มีสัญชาติ ต้องดิ้นรน กว่าจะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย”
แม้จะมีข้อกังวลรวมทั้งข้อกังขาถึงความเป็นไทยของเด็กกลุ่มนี้ แต่ศิววงศ์มองว่าเด็กกลุ่มนี้เกิดและเติบโตในไทย ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ค่านิยมของสังคมไทย คนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่สามารถเข้ามาทดแทนประชากรไทยได้ดีที่สุดในวันที่อัตราการเกิดกำลังถดถอยลง
“กว่าเด็กคนหนึ่งจะเรียนจบปริญญาตรีมาได้ ประเทศนี้ลงทุนกับเด็กคนนี้ไปเท่าไหร่ ในแง่คุณภาพเขาได้พิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นแล้ว และในแง่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีความจำเป็นที่เราต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์การลงทุนทางการศึกษาของคนกลุ่มนี้” ศิววงศ์กล่าวทิ้งท้าย


มากกว่าการได้สัญชาติคือการตอบแทนสังคมไทย
ทุกวันเสาร์เด็กใน Bamboo School จะตื่นขึ้นมาทำหน้าที่และธุระส่วนตัวของตัวเอง ก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดสวยหล่อเพื่อมารวมตัวกัน พวกเขาทั้ง 80 คนจะร้องเพลงและทำกิจกรรมในหัวข้อต่างๆ ที่ตนเองสนใจ เช่น การเรียนภาษาไทย-ภาษากะเหรี่ยง การร้องเพลง การทำผักสวนครัว เป็นต้น โดยในช่วงบ่ายจะเป็นการทำกิจกรรมเพื่อชุมชน เช่น การนำเสื้อผ้าไปแจกให้กับกลุ่มผู้ลี้ภัย การเข้าไปช่วยด้านสาธารณสุขให้กับคนในพื้นที่ หรือในอดีตมีการลงพื้นที่เก็บขยะในชุมชน
“สิ่งที่ Bamboo School ทำได้ช่วยเหลือพื้นที่บ้องตี้เอาไว้มาก”
อนันต์ เรืองเชื้อเหมือน กำนันตำบลบ้องตี้บอกกับเราว่า บ้องตี้เป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมที่มีคนจากหลากหลายชาติพันธุ์ เช่น คนไทย คนกะเหรี่ยง คนมอญ รวมทั้งยังนับถือศาสนาที่หลากหลาย ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม
“ผมคิดว่าในพื้นที่ของเราไม่มีการกีดกันไม่ว่าคนมาจากไหน เราอยู่กันอย่างพี่น้อง” อนันต์เล่าว่าตั้งแต่ในอดีตสมัยที่เขายังเรียนหนังสืออยู่ในพื้นที่ เขาก็มีเพื่อนจากหลากหลายชาติพันธุ์มาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นสาเหตุให้ภาพรวมในบ้องตี้ไม่มีปัญหาความขัดแย้งเพราะความแตกต่างกันทางชาติพันธุ์ รวมทั้งเขามองว่าเด็กที่ Bamboo School มีศักยภาพสามารถสื่อสารได้หลายภาษา ซึ่งสามารถกลับมาทำงานช่วยท้องถิ่นได้
ส่วนมาลีเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าของ Bamboo School ที่กลับมาทำงานเป็นพยาบาลอยู่ในพื้นที่และเปิดคลินิกนอกเวลาของตัวเองเพื่อให้บริการทางสาธารณสุขกับคนในพื้นที่ รวมทั้งทุกๆ วันเสาร์มาลีไม่ลืมที่จะกลับมาช่วยงานที่ Bamboo School
“เรากลับมาทำงานในพื้นที่เพราะอยากตอบแทนบุญคุณคนที่ส่งเราเรียน พวกเราทำให้คนในพื้นที่มองว่า Bamboo School เป็นที่พึ่งพาของพวกเขาได้ในยามยากลำบาก ทั้งเรื่องการเจ็บป่วยและการศึกษา” มาลีบอก
นอกจากมาลีแล้วอมรเทพ การุณยเสถียร เป็นศิษย์เก่าอีกคนที่เคยอาศัยอยู่ Bamboo School มาตั้งแต่อายุ 12 ปี เขาเกิดที่ไทยแต่พ่อแม่ของเขาเป็นชาวกะเหรี่ยงที่ข้ามไปมาระหว่างไทยกับเมียนมา จึงทำให้ไม่ได้รับสัญชาติ หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์วิทยา อมรเทพตัดสินใจไปเรียนต่อสาขาวิชาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์จนจบปริญญาตรี
“หลังจากเรียนจบผมหางานไม่ได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน” อมรเทพในวัย 31 ปีเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเรียนจบ “ผมต้องทำงานล้างจาน รับจ้างตามสวนอยู่หลายปี ทั้งที่มีวุฒิปริญญาตรี เทียบกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันได้ทำงานในบริษัทใหญ่ แต่ผมต้องใช้เวลาเกือบ 3 ปีกว่าจะได้บัตรประชาชน”
ปัจจุบันอมรเทพมีบัตรประชาชนแล้ว เขากลับมาทำงานเป็นไกด์ในปางช้างที่อำเภอไทรโยค พร้อมกับรู้สึกเสียดายโอกาสในชีวิตที่หายไป ก่อนช่วงเวลาที่เขาจะมีบัตรประชาชน
“เราเหมือนแกะดำเวลาเรียนและไม่มีนามสกุล ทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเอง ทั้งๆ ที่เรามีเพื่อน มีครูสอนให้ซึบซับวัฒนธรรมไทยมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าโอกาสในชีวิตผมมาช้าไปหน่อย อายุ 27 กว่าจะได้บัตรประชาชนถึงได้ทำงานเริ่มต้นชีวิต” อมรเทพกล่าวทิ้งท้าย


อนาคตของเด็กไร้สัญชาติในสังคมที่ประชากรลดลง
หลังจากเสร็จสิ้นการคุยกับอมรเทพในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ แคทเธอรินพาเราเดินทางไปรับเด็ก Bamboo School สองคนที่มีสอบในตัวเมือง การขับรถไปกลับ Bamboo School กับตัวเมืองกาญจนบุรีกลายเป็นกิจวัตรประจำของแคทเธอริน เธอกล่าวว่าเมื่อเด็กส่วนใหญ่ของเธอไม่มีสัญชาติ การขวนขวายโอกาสทางการศึกษาจึงเป็นใบเบิกทางให้กับพวกเขา
ทุกวันนี้ประเทศไทยมีคนที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่อาศัยอยู่ในไทยทั้งสิ้น 983,994 คน หลายคนรอโอกาสที่จะได้รับสัญชาติ ในขณะเดียวกันไทยก็กำลังเผชิญปัญหาการลดลงของประชากร หากสังคมไทยไม่เร่งอัตราการเกิดและการนำเข้าประชากร ผลคือประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 32 ล้านคนภายในสิ้นศตวรรษนี้
“ถ้าวันนี้เราดึงอัตราการเกิดกลับมาไม่ได้ เมื่อสิ้นศตวรรษนี้จะเกิดการทะลักเข้ามาของคนต่างชาติแบบควบคุมไม่ได้ เพราะความต้องการแรงงานที่แอบแฝงอยู่” ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของงานวิจัยเรื่อง ‘นโยบายประชากรเพื่อตอบโต้การลดลงของประชากร’ เปิดโอกาสพูดคุยกับเราถึงเรื่องนี้
อภิชาติระบุว่าค่า TFR ของประเทศไทยลดลงมาจากค่าเฉลี่ย 2.1 มาอยู่ที่ 1.08 (TFR คือ อัตราการเจริญพันธุ์รวมของประชากร หมายถึงจำนวนเด็กโดยเฉลี่ยที่เกิดจากผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงชีวิตของผู้หญิงคนนั้น) ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าประชากรทดแทนปีละ 2 แสนคน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวกลุ่มเด็กไร้สัญชาติ เป็นทรัพยากรที่อภิชาติประเมินว่าสามารถทดแทนประชากรที่ลดลงไปได้ถึงปีละ 30,000 คน
“เด็กกลุ่มไร้สัญชาติมีความเชื่อมโยงกับสังคมไทย พวกเขาเป็นทรัพยากรที่พร้อมจะเป็นพลเมืองไทย ดังนั้นควรให้สัญชาติไทยกับเด็กกลุ่มนี้ โดยดูได้จากความยึดโยงของตัวเขากับพื้นที่”
อภิชาติขยายความว่าในปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการขอมีสัญชาติไทยไว้ชัดเจนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถปรับใช้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่และอำนวยความสะดวกในกระบวนการขอสัญชาติให้รวดเร็วขึ้นได้
“ภาครัฐเข้าใจตัวเลขแล้วว่าคนกำลังลดลง แต่ความรู้สึกของเจ้าหน้าที่รัฐและสังคมไทยเรื่องการนำเข้าประชากร ยังมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนต่างชาติอยู่ มีความรู้สึกว่าทำไมต้องไปให้สัญชาติคนต่างชาติด้วย สังคมไทยยังไม่มีสำนึกเรื่องการขาดแคลนประชากร”
ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ได้มีนโยบายต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจน แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่อภิชาติหยิบยกขึ้นมาให้เห็นภาพระบบการคัดเลือกผู้ย้ายถิ่นฐานอย่างชัดเจน มีหน่วยงานอย่าง ‘Immigration, Refugees and Citizenship Canada (IRCC)’ ที่มีเจ้าหน้าที่ 7,000 คน โดยแคนาดาตั้งเป้าคัดเลือกประชากรถึง 485,000 คน ในปี 2024
“การโยกย้ายถิ่นฐานเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน มันคือกระแสของโลก โจทย์ของประเทศไทยคือจะทำอย่างไรให้นำคนเข้ามาแล้วสร้างความเท่าเทียมและไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำไปมากกว่านี้”
อภิชาติกล่าวทิ้งท้ายพร้อมบอกว่า หากรัฐมีการออกแบบกระบวนการย้ายถิ่นฐานและให้สัญชาติอย่างเป็นระบบจะส่งผลดีต่อพื้นที่ โดยต้องสื่อสารให้สังคมไทยเข้าใจว่าแม้ในระยะสั้นคนที่เข้ามาจะทำให้เกิดการแย่งงานบางประเภท แต่ระยะยาวคือการส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวม

ตั้งใจใช้ชีวิตเพื่อแลกกับการมีนามสกุล
ฝนตกลงมาตลอดทางกลับ Bamboo School ในช่วงหัวค่ำหลังจากรับเด็กสองคนกลับมาจากการสอบ เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ระฆังหลังเวลาอาหารเย็นดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้เด็กทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถง พวกเขายังคงร้องเพลงเหมือนเคย แคทเธอรินเล่าว่าการร้องเพลงช่วยเยียวยาความเจ็บปวดที่พวกเขาเคยต้องประสบก่อนมาอยู่ที่ Bamboo School นอกจากนี้แคทเธอรินยังทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาเด็กที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ.เมืองกาญจนบุรี เธอจะส่งต่อเด็กที่ได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในอดีต และแคทเธอรินไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยตัวของเธอเองให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ
แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็กๆ ใน Bamboo School มักยิ้มร่าเริงอยู่เสมอ พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่แห่งนี้
“เมืองไทยเป็นเหมือนบ้านเพราะหนูเกิดและโตที่นี่ แต่ก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่มีบัตรประชาชน ทั้งที่หนูกับเพื่อนคนอื่นเกิดที่เดียวกัน แต่เพื่อนมีนามสกุล หนูไม่มี”
โมซากล่าวกับเราหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมทุกอย่างในช่วงหัวค่ำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้านอนเด็กแต่ละคนจะสวมกอดกัน ในขณะที่แคทเธอรินกับวรรณได้รับแจ้งเหตุอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกัน ทั้งสองจึงรีบสตาร์ตรถฉุกเฉินเพื่อไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
“เราผูกพันกับประเทศไทย เรียนที่นี่ โตที่นี่ ก็อยากทำงานที่นี่” วรรณเคยบอกกับเราเช่นนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน
แคทเธอรินย้ำอยู่เสมอว่าทุกคนที่ Bamboo School ต้องทำงาน เด็กทุกคนที่นี่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีนัก หลายคนสูญเสียครอบครัวทั้งจากภัยสงคราม เศรษฐกิจ และโรคระบาด ประเทศไทยคือบ้านหลังสุดท้ายและพวกเขารู้ดีว่า การจะสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นั้น พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองผ่านระบบการศึกษาและศักยภาพที่ดีเพียงพอเพื่อแลกกับการที่จะได้รับนามสกุล
ผลงานชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนโดย IOM ผ่านโครงการทุนเพื่อการรายงานข่าวเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐาน