“คิดดีแล้วหรือ?” คำถามสั้นๆ เมื่อรัฐบาลอันวาร์เผยไต๋คุมโซเชียลมีเดีย

ฉั่ว ชี เสียน (Chuah Chee Xian) เป็นคนตลก เขาเป็นยูทูบเบอร์วัย 30 ปีเจ้าของรายการ ‘Between Two Laksa’ ที่กำลังมาแรงในหมู่คนหนุ่มสาวในมาเลเซียขณะนี้ เมื่อปีที่แล้วเขาเชิญ ลิม กวน อิง (Lim Guan Eng) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาออกรายการ และเขาได้ยิงคำถามเด็ดต่อหน้ากล้องสู่สายตาคนดูหลักแสนว่า “การติดคุกถือเป็นคุณสมบัติจำเป็นของรัฐมนตรีคลังหรือเปล่า?”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เขาหมายถึงคือนักการเมืองใหญ่สามรายที่ล้วนผ่านคุกผ่านตารางมาทั้งสิ้น นั่นคือนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ที่ติดคุกข้อหามีพฤติกรรมทางเพศผิดธรรมชาติ, อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก (Najib Razak) ที่ย้ายไปอยู่หลังลูกกรงจากคดีทุจริตกองทุน 1MDB มูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และท้ายสุดคือ ลิม กวน อิง เองที่ติดคุกถึงสองปีด้วยคดีการเมืองสมัยเป็นฝ่ายค้าน และต้องกลับเข้าไปอีกหากเขาแพ้คดีทุจริตโครงการพัฒนารัฐในปีนังที่ยังขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่

“คดีของท่านนี่..  เป็นไปได้ไหมที่นาจิบจะออกจากคุกก่อน  แล้วท่านก็กลับเข้าไปใหม่” เขาโพล่งถามคำถามถัดมา นักการเมืองรุ่นพ่อนิ่งเงียบ..  การสัมภาษณ์จบลงด้วยดีด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และจบลงด้วยความบันเทิงของผู้ชมทางบ้าน 

ฉั่ว ชี เสียน ไม่ใช่ยูทูบเบอร์การเมือง เขาเป็นคนหนุ่มที่ชอบทำรายการสนุกๆ สารพัดเรื่องที่ใช้ความทะลึ่งตึงตังทำเรื่องจริงจังให้เป็นเรื่องตลก ส่งให้ ‘Between Two Laksa’ เป็นที่ถูกใจคนรุ่นเดียวกัน เขาไม่ใช่ยูทูบเบอร์คนเดียวที่ทำการเมืองให้เป็นเรื่องบันเทิง และยังมีรายการ BBK Network ของกลุ่มเยาวชนมาเลเซียวัย 20 ปลายๆ ที่มีแนวทางคล้ายกันและดึงดูดคนดูได้ไม่แพ้กัน

เหตุใดนักการเมืองรุ่นใหญ่ระดับมุขมนตรีของรัฐจากตระกูลอันทรงอิทธิพลเช่น ลิม กวน อิง จึงยอมให้ยูทูบเบอร์รุ่นลูกไล่ต้อนในรายการชวนหัวเช่นนี้ 

ลิมและนักการเมืองหลายรายเป็นกลุ่มคนที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจมองว่านี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีและทัศนะเรื่องสังคมและการเมืองแตกต่างกับคนรุ่นพ่ออย่างสิ้นเชิง

ลิม กวน อิง อาจจะคิดถูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองทั้งหมดจะคิดเหมือนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่กำลังทำในสิ่งตรงข้าม นั่นคือการหันเข้าหาการควบคุมการแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดีย 

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียประกาศฟ้าผ่าให้แพลตฟอร์มโซเชียมีเดียมีผู้ลงทะเบียนใช้งานในประเทศไม่ต่ำกว่าแปดล้านคนต้องจดทะเบียนขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย หรือ MCMC (Malaysian Communication and Multimedia Commission) โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ว่านี้หมายถึงกลุ่มยักษ์ใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Facebook, Instagram, TikTok รวมทั้งแอปพลิเคชันสำหรับส่งข้อความสื่อสารเช่น Telegram, WhatsApp และอื่นๆ

MCMC วางกำหนดเริ่มต้นกระบวนการจดทะเบียนขอใบอนุญาต โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และหากบริษัทโซเชียลมีเดียใดละเมิดกฎ อาจถูกลงโทษปรับไม่เกิน 500,000 ริงกิตมาเลเซีย (กว่า 3.8 ล้านบาท) หรือจำคุกไม่เกินห้าปี และในกรณีที่มีความผิดร้ายแรง MCMC ก็มีอำนาจในการบล็อกแพลตฟอร์มนั้นๆ รวมทั้งการระงับใบอนุญาต และดำเนินคดีในศาล

รัฐบาลยืนยันว่ากฎใหม่นี้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนจากอาญากรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวง รวมทั้งการหลอกลวงทางเพศ โดยเฉพาะต่อเด็กและการคุกคามทุกรูปแบบ นายกฯ อันวาร์ผู้ที่ดูจะทุ่มเทจริงจังกับเรื่องการคุกคามทางอินเทอร์เน็ตเป็นพิเศษ ประกาศว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายจัดการกับปัญหาการคุกคามทางไซเบอร์ (cyberbullying) อย่างเข้มข้น และพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้กับประเด็นเสรีภาพ โดยบอกว่าการมีเสรีภาพไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรังแกหรือดูถูกสร้างความอับอายให้คนอื่นได้ และบอกด้วยว่าในขณะที่มาเลเซียพูดถึงเรื่องเสรีภาพ ก็ไม่ควรให้อภัยต่อการกดขี่ การดูหมิ่น และการละเมิดใดๆ 

ถ้าหากฟังนายกฯ อันวาร์แล้วงง ให้ลองฟังข้าราชการประจำดูแล้วอาจเข้าใจง่ายกว่า ซุลคาร์นัน โมฮัมหมัด ยาซิน (Zulkarnan Mohd Yasin) รองผู้อำนวยการบริหาร MCMC ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องระเบียบการขอใบอนุญาตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วยคำพูดที่อาจฟังคุ้นๆ สำหรับบ้านเราว่า ระเบียบนี้เป็นมาตรการทางกฎหมายที่สำคัญเพื่อรักษา ‘ระเบียบของสังคม’ และ ‘ความสามัคคีในชาติ’

ทันทีที่รัฐบาลประกาศกฎเรื่องใบอนุญาต เสียงวิจารณ์ก็กระหึ่มทั้งในและนอกประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสื่อเช่น Malaysia’s Centre for Independent Journalism (ICJ) และ Article บอกว่ากฎใบอนุญาตโซเชียลมีเดียผิดหลักการประชาธิปไตยและขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญที่ให้หลักประกันสิทธิการแสดงออกของพลเมืองอย่างร้ายแรง ขณะที่องค์กรพัฒนาเอกชน เอ็นจีโอด้านสื่อและประชาธิปไตย Bersih, the Centre for Independent Journalism, Amnesty International Malaysia ร่วมกับพรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (Parti Sosialis Malaysia) และพรรคมูดา (MUDA หรือ Malaysian United Democratic Alliance) ลงนามในจดหมายประท้วง ซึ่งตอนหนึ่งระบุว่า  “แทนที่จะปฏิบัติตามวาระปฏิรูป  ฝ่ายบริหารชุดปัจจุบันได้ขยายการเซ็นเซอร์ และลดการวิพากษ์วิจารณ์และวาทกรรมที่เป็นประโยชน์โดยอาศัยการให้คำจำกัดความ ‘เนื้อหาที่ละเอียดอ่อน’ โดยพลการ”

จดหมายฉบับนี้ตำหนิรัฐบาลอย่างไม่ออมมือ ชี้ว่าเวลานี้รัฐบาลพยายามขยายอำนาจ ไม่ว่าจะด้วยพระราชบัญญัติสื่อสารและมัลติมีเดียที่มีอำนาจครอบคลุมกว้างขวางอยู่แล้ว, ความพยายามเสนอกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ที่ให้อำนาจรัฐบาลในการปราบปรามเนื้อหาออนไลน์, ข้อเสนอในการขยายกฎหมายใบอนุญาตสื่อให้ครอบคลุมถึงสื่อออนไลน์ด้วย และการผลักดันร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ซึ่ง “ขยายอำนาจของรัฐบาลในการควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์”

เวลานี้บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ยังรักษาท่าทีประนีประนอมในประเด็นให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการจัดการปัญหาการคุกคามและอาชญากรรมออนไลน์ แต่เมื่อมาถึงเรื่องกฎใบอนุญาต ดูเหมือนว่าท่าทีประนีประนอมจะหายไป เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา องค์กร Asia Internet Coalition (AIC) ที่ประกอบด้วยบริษัท Google, Amazon, Apple, Grab และ Booking.com  รวมทั้งบริษัทโซเชียลมีเดียอย่าง Meta, X และ LinkedIn ออกจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลมาเลเซีย ด้วยสารที่ชัดเจนว่ากฎใหม่นี้ขาดการปรึกษาหารือ และขาดความชัดเจนเรื่องขอบเขตและภาระผูกพันที่แพลตฟอร์มต่างๆ ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นจึง “ไม่สามารถคาดหวังให้แพลตฟอร์มไหนจดทะเบียน (ขอใบอนุญาต) ได้” 

จดหมายเปิดผนึกจาก AIC ไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่ยังเตือนรัฐบาลมาเลเซียอย่างตรงไปตรงมาว่า โปรดอย่าลืมว่าเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) คิดเป็นร้อยละ 23.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของมาเลเซีย และสร้างงานให้ประเทศถึงราว 500,000 ตำแหน่ง เพราะฉะนั้น “ระเบียบที่เสนอมาอาจขัดขวางกระแสนี้ด้วยการสร้างความไม่แน่นอนและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน”

เสียงประท้วงรอบด้านทั้งจากในและนอกประเทศน่าจะทำให้รัฐบาลอันวาร์หยุดคิดสักเล็กน้อย แต่ MCMC ยังยืนยันเส้นตายวันที่ 1 มกราคมปีหน้าอยู่

น่าแปลกที่รัฐบาลอันวาร์ที่ใครต่อใครเชื่อว่าเป็นรัฐบาลข้างประชาธิปไตยกลับสะดุ้งสะเทือนกับต่อเนื้อหาในโซเชียลมีเดียมากกว่ารัฐบาลอนุรักษนิยมที่ผ่านๆ มา รายงานความโปร่งใสรายครึ่งปีของ TikTok ระบุว่าใน พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นปีแรกของรัฐบาลอันวาร์ ทางบริษัทถูกรัฐบาลมาเลเซียยื่นขอให้ลบเนื้อหาของโพสต์ทั้งหมด 2,202 ครั้ง คิดเป็น 30 เท่าของปีที่ผ่านมาซึ่งยังอยู่ภายใต้รัฐบาลอนุรักษนิยมนำโดยนายกรัฐมนตรีมูห์ยีดดีน ยาสซีน (Muhyiddin Yassin) และจำนวนคำขอภายใต้รัฐบาลอันวาร์นี้ยังถือเป็นจำนวนคำขอจากรัฐบาลที่สูงที่สุดในโลก

กระแสโซเชียลมีเดียในมาเลเซียหรือที่ไหนๆ เป็นกระแสที่ยากจะต้าน ยกเว้นมาเลเซียจะกลายร่างเป็นประเทศอย่างจีน รัสเซีย หรือเกาหลีเหนือ การสำรวจเมื่อต้นปี 2567 พบว่าอัตราการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในมาเลเซียมีสูงถึงร้อยละ 83.1 หรือคิดเป็นประชากร 28.68 ล้านคนจากประชากรทั้งหมดราว 34.1 ล้านคน ชาวมาเลเซียใช้เวลารับรู้ข่าวสารจากโซเชียลมีเดียเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 48 นาทีในแต่ละวัน และคนแทบทุกรุ่นใช้โซเชียลมีเดียอย่างคึกคักพอๆ กัน รวมทั้งใช้มันในการแสดงออกทางการเมืองด้วย

ในมาเลเซีย โซเชียลมีเดียไม่ใช่เรื่องของกลุ่ม Millennial หรือ Generation Z เพียงกลุ่มเดียว ตรงข้ามมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้ทางการเมืองของคนพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นขบวนการปฏิรูปการเมือง (Reformasi Movement) ใน พ.ศ. 2541 ต่อเนื่องไปถึงการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมของกลุ่มเบอร์สิห์ (Bersih) ที่ระดมประชาชนจำนวนมากออกสู่ท้องถนนอย่างต่อเนื่องในช่วง พ.ศ. 2550-2559

นักการเมืองมาเลเซียยอมรับอิทธิพลของโซเชียลมีเดียมาแต่ไหนแต่ไร เช่น อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ที่กำลังจะนำทัพรัฐบาลลงสนามเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2556 ถึงกับเรียกการเลือกตั้งครั้งนั้นว่าเป็น ‘Malaysia’s First Social Media Election’  หรือ ‘การเลีอกตั้ง (โดย) โซเชียลมีเดียครั้งแรกของมาเลเซีย’ นาจิบไม่ใช่นักการเมืองรายเดียวที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างแข็งขัน แต่นักการเมืองใหญ่น้อยรวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad), นายกฯ อันวาร์ รวมทั้งสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ปัจจุบันและสุลต่านอีกหลายรัฐ ก็ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารถึงประชาชนมากพอกัน

การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2561 เป็นชัยชนะขั้นเด็ดขาดของขบวนการปฏิรูปการเมืองที่สามารถโค่นล้มการผู้ขาดอำนาจของพรรคอัมโน (UMNO: United Malays Nasional Organisation) และแนวร่วมพรรคการเมือง บารีซาน เนชันแนล (Barisan Nasional หรือ BN) ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ระหว่างการรณรงค์เลือกตั้ง นักการเมืองฝ่ายค้านและประชาชนระดมใช้ Facebook, Twitter และ Instagram แพร่แฮชแท็ก #TangkapAzamBaki เรียกร้องให้จับกุมนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ผู้ถูกกล่าวหาพัวพันกรณีทุจริต 1MDB ความคับข้องใจของประชาชนที่ส่งต่อถึงกันโซเชียลมีเดีย เป็นผลให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งไปลงคะแนนถึงร้อยละ 82.32 หรือเกือบ 15 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของมาเลเซียจนถึงปัจจุบัน

หลายคนเห็นเป็นเรื่องตลกเมื่ออันวาร์และ MCMC ยืนยันว่ากฎหมายและระเบียบควบคุมโซเชียลมีเดียมีเป้าหมายประการเดียวคือคุ้มครองประชาชน กลุ่มและองค์กรที่ลุกขึ้นมาคัดค้านเชื่อตรงกันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลอันวาร์คือการปิดประตูกั้นช่องทางการสื่อสารของนักการเมืองฝั่งตรงข้ามและใครก็ตามที่โจมตีเขา อย่างที่เกิดขึ้นการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2565 เมื่อแนวร่วมพรรคการเมืองสายอนุรักษนิยม เปริกาตัน เนชันแนล (Perikatan Nasional หรือ PN) ซึ่งประกอบด้วยพรรคอิสลาม Malaysian Islamic Party (PAS) และพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu หรือ Malaysian United Indigenous Party) ระดมทัพในโซเชียลมีเดียโจมตีแนวร่วมพรรคการเมือง ปากาตัน ฮาราปัน (PKR: Pakatan Harapan) นำโดยอันวาร์ โดยใช้วาทกรรมแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนาอย่างรุนแรง 

แม้ว่าอันวาร์จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จอย่างระหกระเหิน แต่สิ่งที่ตามหลอกหลอนรัฐบาลอยู่ถึงทุกวันนี้คือผลการเลือกตั้งที่พบว่าร้อยละ 89 ของคะแนน popular vote จากกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูผู้ไปลงคะแนนเลือกตั้ง เทไปที่แนวร่วมพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อประชากรเชื้อสายมลายูเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดถึงร้อยละ 58.1 ของประเทศ ความล้มเหลวในการระดมคะแนนจากชาวมลายูจึงเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอันวาร์ไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ในอีกสองปีข้างหน้า

การควบคุมโซเชียลมีเดียอาจปิดปากพรรคฝ่ายค้านได้ แต่รัฐบาลเสี่ยงต่อการเสียคะแนนนิยมรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอดีตผู้สนับสนุนขบวนการปฏิรูปการเมืองที่คาดหวังให้รัฐบาลทำตามสัญญา และยังมีคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับโซเชียลมีเดียและเคยชินกับเสรีภาพในโลกไซเบอร์

Millennial และ Gen Z ในมาเลเซียไม่มีความทรงจำร่วมทางการเมืองแบบเดียวกับคนรุ่นพ่อแม่ที่ผ่านขบวนการปฏิรูปการเมืองมาด้วยกัน การสำรวจความคิดและการแสดงความเห็นของคนรุ่นนี้ในเวทีสาธารณะแสดงให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ไม่พอใจกับปัญหาการขาดความโปร่งใสของรัฐบาลและให้มีเรียกร้องการตรวจสอบ รวมถึงมีความไม่ไว้วางใจนักการเมืองไม่ว่าจะมาจากขั้วใด และเห็นว่านักการเมืองมักโกหกเพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงสนับสนุน

คนรุ่นใหม่ในมาเลเซียส่งสัญญาณการก่อตัวทางความคิดเพื่อส่วนรวมอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนผ่านการรวมตัวในโซเชียลมีเดียในช่วงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ใน พ.ศ. 2563 โดยในช่วงวิกฤตนั้น ชุมชนคนยากจนหลายแห่งถูกตัดขาดจากแหล่งซื้อขายอาหารและยา เยาวชนกลุ่มหนึ่งเริ่มใช้แฮชแท็ก #BenderaPutih (ธงขาว) และ #KitaJagaKita (พวกเราช่วยเหลือกัน) ในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้เดือดร้อนสามารถส่งข้อความขอความช่วยเหลือ ขณะที่ผู้ที่ต้องการช่วยก็สามารถติดต่อพวกเขาได้โดยตรง การรณรงค์ขยายตัวออกไปในหมู่คนหนุ่มสาวหลากเชื้อชาติจำนวนมาก จึงนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง รวมทั้งยังเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนในตอนนั้น  

รายการ ‘Between Two Laksa’ ของ ฉั่ว ชี เสียน และ รายการ BBK Network ที่เป็นรายการของ Millennial และ Gen Z ขนานแท้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนคนรุ่นใหม่ผ่านอาวุธที่พวกเขาถนัดที่สุด นั่นคือโซเชียลมีเดีย

นำไปสู่คำถามต่อรัฐบาลอันวาร์กับความใฝ่ฝันในการควบคุมโซเชียลมีเดีย.. “คิดดีแล้วหรือ?”


เอกสารประกอบ

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/young-malaysians-are-livening-up-politics-on-youtube

https://datareportal.com/reports/digital-2024-malaysia

https://www.meltwater.com/en/blog/social-media-statistics-malaysia

https://jmiw.uitm.edu.my/images/Journal/Vol14No2/8-An_Overview_on_Social_Media_Impact_Toward_Political_Participation_in_Malaysia.pdf

https://ejournal.ukm.my/ebangi/article/view/76646

https://www.msn.com/en-gb/news/world/meta-says-malaysias-social-media-licencing-plan-lacks-clarity-threatens-innovation/ar-AA1tbtey

https://www.malaysiakini.com/news/716852

https://scholar.google.com/scholar?hl=en&as_sdt=0%2C5&q=unlocking+young+people%27s+engagement+with+online+news%3A+affective+or+cognitive&btnG=

https://gazette.unimas.my/2024/06/08/gen-zs-insights-on-malaysian-politics/

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/malaysia-s-social-media-licensing-plans-raise-abuse-of-power-concerns

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save