เวลาหนึ่งปีนั้นแสนสั้นสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง หนึ่งปีสำหรับนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ที่นำมาเลเซียรับตำแหน่งประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (Association of South East Asian Nations: ASEAN) ก็ช่างน้อยนิดสำหรับการนำประชาคมของ 11 ประเทศฝ่าฟันความท้าทายนานาชนิดที่โหมกระหน่ำอยู่ในภูมิภาค ท่ามกลางบริบทของ ‘ความป่วน’ ของระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองในบ้านตัวเอง
นโยบายต่างประเทศของมาเลเซียเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่อันวาร์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนพฤศจิกายน 2565 แม้ว่าการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศยังแกว่งไกว แต่อันวาร์ก็ยังกระตือรือร้นที่จะนำพามาเลเซียให้เปล่งประกายในเวทีโลก เขาเดินทางไปเยือนผู้นำประเทศต่างๆ อย่างแข็งขันและไม่เคยลืมที่จะประชาสัมพันธ์ด้วยภาพและข้อความให้ประชาชนมาเลเซียได้รับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบปะกับผู้นำประเทศใหญ่น้อย ทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย หรือรัสเซีย มีบ่อยครั้งที่เขาเรียกประเทศหรือผู้นำของบางประเทศว่ามหามิตร (great friend) เพื่อนแท้ (true friend) และเพื่อนรัก (dear friend) ของมาเลเซีย
มาเลเซียภายใต้การนำของอันวาร์มีท่าทีห่างเหินจากสหรัฐอเมริกาพันธมิตรเก่า แล้วหันเข้าพัฒนาความสัมพันธ์กับจีนอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด อันวาร์สรรเสริญประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ต่อสาธารณะหลายครั้ง โดยเรียกประธานาธิบดีสี ว่าเป็น “ผู้นำที่โดดเด่น” ยกย่องประเทศจีนว่าเป็นพันธมิตรสำคัญทางยุทธศาสตร์ของมาเลเซีย ที่มากไปกว่านั้นคือออกหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่าจีนเป็นประเทศที่คุกคามสันติภาพและความมั่นคงในอาเซียน
ท่าทีต่อสหรัฐฯ ของอันวาร์ได้เปลี่ยนไปหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันวาร์ผู้ซึ่งเป็นขวัญใจของวอชิงตันมายาวนานแทบตลอดระยะเวลาของชีวิตการเมืองนับตั้งแต่ยุครุ่งโรจน์ช่วงกลางทศวรรษ 1980 ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลมหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) แห่งพรรคอัมโน (United Malays National Organization: UMNO) ไปจนถึงช่วงถูกจับกุมคุมขังและเป็นผู้นำขบวนการปฏิรูปการเมือง (Reformasi) ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 จนได้รับการปล่อยตัวใน พ.ศ. 2561 หันกลับมาวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ อย่างรุนแรงในกรณีฉนวนกาซา
เขากล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีส่วนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ และท้าทายรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยการพบปะผู้นำฮามาสอย่างเปิดเผย เขาสนับสนุนการเดินขบวนสนับสนุนปาเลสไตน์ในประเทศ และไม่ขัดขบวนการการต่อต้านสินค้าและธุรกิจอเมริกันในมาเลเซีย เมื่อปีที่แล้วเขายังนำมาเลเซียเข้าร่วมกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ซึ่งนำมาเลเซียใกล้ชิดทางเศรษฐกิจมากขึ้นกับจีน รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ และถอยห่างออกจากอิทธิพลของสหรัฐฯ มากขึ้น เป็นที่เข้าใจว่าการเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเกิดจากความจำเป็นในการอยู่รอดของมาเลเซียที่มีจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับหนึ่ง ที่ความมั่งคั่งของประเทศต้องพึ่งพิงความสัมพันธ์นี้
ดูเหมือนว่าอันวาร์ผู้ที่ไม่เคยลืมที่จะย้ำถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้นำประเทศต่างๆ ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส จะเชื่อมั่นในแนวทางการทูตแบบเงียบๆ (quiet diplomacy) ที่เน้นการใช้ความสัมพันธ์อันดีหาทางออกให้ปัญหาละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบเงียบๆ มากกว่าการทูตแบบสาธารณะ (public diplomacy) ที่ติดกรอบของความเป็นทางการและบางครั้งอาจจะโฉ่งฉ่างเกินไป อาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นนี้เอง เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ของประเทศไทย ผู้ที่เขาเรียกว่า ‘good friend’ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ด้วยเหตุผลว่าทักษิณมีทั้งความเชี่ยวชาญและเครือข่ายความสัมพันธ์อันกว้างขวางในภูมิภาคที่จะช่วยให้มาเลเซียและอาเซียนเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าการแต่งตั้งทักษิณเป็นก้าวแรกของการทำงานในฐานะประธานอาเซียน ก็นับว่าอันวาร์ก้าวพลาดอย่างจัง เพราะเสียงวิจารณ์คัดค้านที่ดังเซ็งแซ่ในมาเลเซียและแว่วมาจากบางประเทศแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ทำให้เขาเสียคะแนนนิยมไปไม่น้อย ที่ร้ายกว่านั้นคือเขายังถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในฐานะผู้นำอาเซียนอีกด้วย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดมาจากมาเลเซียเองที่ชาวโซเชียลมีเดียทั้งล้อเลียนและแสดงความรู้สึกตกใจต่อเรื่องอื้อฉาวในอดีตโดยเฉพาะกรณีตากใบ
นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์แสดงความสงสัยว่าเหตุใดอันวาร์จึงเลือกทักษิณผู้มีปัญหาทางกฎหมายติดตัว แทนที่จะเลือกตัวเลือกอื่นๆ ขณะที่นักการทูตมาเลเซียผู้ไม่ประสงค์จะออกนามตั้งคำถามผ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ Free Malaysia Today ว่าการเชื้อเชิญชาวต่างชาติ (ทักษิณ) นั้นหมายความว่าอันวาร์ไม่มีความสามารถเพียงพอในการนำอาเซียนเช่นนั้นหรือ และกระทรวงต่างประเทศกับแวดวงการทูตมาเลเซียขาดความสามารถหรือเปล่า อีกทั้งยังมีซามีรุล โอธมาน (Samirul Othman) นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวมาเลเซียที่ชี้ว่า การแต่งตั้งทักษิณแสดงถึงความไม่มั่นใจ (ของอันวาร์) ในการแสดงบทบาทนำในอาเซียน เป็นการส่งสารที่แสดงความถดถอย และทำให้มาเลเซียถอยห่างจากความเป็นผู้นำในเวทีระหว่างประเทศ
อันวาร์เดินสะดุดตั้งแต่ก้าวแรกในฐานะประธานอาเซียน และกำลังถูกจับตามองว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใดในฐานะผู้นำอาเซียน
อาเซียนใน พ.ศ. 2568 เผชิญกับปัญหาสงครามและความขัดแย้งภายในของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมียนมาที่สงครามภายในระหว่างกองทัพและกองกำลังชนกลุ่มน้อยยืดเยื้อมานานถึงสี่ปีจนสร้างความสูญเสียใหญ่หลวง ในขณะที่รัฐบาลทหารพม่ายังไม่มีท่าทีเต็มใจในการหาทางออกโดยสันติ แม้ว่ามาเลเซียจะมีแนวทางที่ชัดเจนในการกดดันเมียนมาให้ยอมรับแนวทางสันติภาพมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน แต่ก็ยังมีคำถามว่าอันวาร์ในฐานะประธานอาเซียนจะมีแนวทางนี้เช่นกันหรือไม่ หรือจะเดินตามแนวทาง ‘ไม่แทรกแซงกิจการภายใน’ แบบเดิมๆ ที่อาเซียนถนัด
เมื่อเร็วๆ นี้หนังสือพิมพ์ South China Morning Post รายงานอ้างการให้สัมภาษณ์ ซาไล หลิง (Salai Ling) นักสิทธิมนุษยชน รองผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชน Chin Human Rights Organization ในเมียนมา ที่แสดงความไม่มั่นใจต่ออาเซียนในการแก้ปัญหาเมียนมาในอนาคต และกล่าวว่าเนื่องจากความใกล้ชิดระหว่างทักษิณกับผู้นำกองทัพเมียนมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังดำรงตำแหน่ง ทำให้การตัดสินใจของอันวาร์ในการเลือกทักษิณเป็นที่ปรึกษา สร้างความหนักใจให้ชาวเมียนมาที่ตั้งความหวังไว้ว่าอาเซียนภายใต้การนำของมาเลเซียจะมีจุดยืนที่เข้มแข็งเรื่องความขัดแย้งของเมียนมา
ในขณะที่ความขัดแย้งในเมียนมาไม่มีท่าทีว่าจะมีทางออกในเร็ววัน โจทย์ใหญ่ถัดมาสำหรับอันวาร์คือข้อพิพาทเรื่องสิทธิเหนือน่านน้ำในทะเลจีนใต้ ระหว่างจีน เวียดนาม บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียเอง ที่แบ่งแยกประเทศอาเซียนแบ่งแยกออกเป็นหลายฝ่ายบนความเห็นที่ขัดแย้งกัน มีทั้งฝ่ายที่ไม่มีส่วนได้สวนเสียและไม่ปรารถนาจะมีปัญหากับจีน และฝ่ายที่มีข้อพิพาทและต้องการตอบโต้ เช่น เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่มีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา ขณะที่มาเลเซียทีต้องการใช้วิถีการทูตแบบวิธีบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นในการแก้ปัญหา
ช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้มีความสำคัญสำหรับจีนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นเส้นทางเดินเรือสินค้าและนำเข้าน้ำมันสายหลักหลักที่ป้อนน้ำมันสู่จีนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของการนำเข้าทั้งหมดของประเทศ เป็นจุดอ่อนที่ทำให้จีนหวาดหวั่นต่อการโจมตีและการแทรกแซงของสหรัฐฯ มาแต่ไหนแต่ไร รัฐบาลจีนอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้โดยอ้างอิงแผนที่แสดงอาณาเขตของจีนยุคโบราณเป็นหลัก และได้ทำแผนที่ที่แสดง ‘เส้นประเก้าเส้น’ (nine-dash-line) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในทะเลจีนใต้แทบทั้งหมด ทับซ้อนกับเขตน่านน้ำของเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ทั้งยังไม่สนใจคำตัดสินใน พ.ศ. 2559 ของศาลอนุญาโตตุลาการ (The Premanent Court of Arbitration) ที่ว่าเส้นประเก้าเส้นไม่ถือเป็นตัวกำหนดพื้นที่ทางทะเลเพราะไม่มีหลักฐานทางกฎหมายสนับสนุน และยังคงเดินหน้าใช้กองเรือของตนเข้าอ้างสิทธิในพื้นที่ต่างๆ มาถึงปัจจุบัน
โจทย์ใหญ่สำหรับอันวาร์ในฐานะประธานอาเซียนคือการโน้มน้าวให้จีนตกลงลงนามในหลักปฏิบัติ (Code of Conduct – CoC) ในทะเลจีนใต้ ที่อาเซียนหวังว่าจะเป็นหลักที่ป้องกันความขัดแย้งรุนแรงที่อาจนำไปสู่การปะทะของทั้งสองฝ่าย การเจรจาเรื่องหลักปฏิบัติที่ว่ายืดเยื้อมานานกว่าสองทศวรรษแต่ไม่มีความคืบหน้าสำคัญใดๆ ในเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจีนจะร่วมเจรจาต่อรองกับอาเซียน แต่ก็ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เสริมกำลังทหารตามหมู่เกาะและสันดอนต่างๆ ในทะเลจีนใต้ไปพร้อมๆ กัน จีนสร้างหน่วยยามชายฝั่งที่แข็งแกร่งและติดอาวุธให้แก่เรือประมงของตน ปัจจุบันหน่วยยามชายฝั่งของจีนซึ่งเทียบเท่ากับกองทัพเรือเป็นหน่วยยามชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และใหญ่กว่ากองทัพเรือส่วนใหญ่ในอาเซียน มีเพียงกองทัพเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ เท่านั้นที่จะต่อกรได้
อันวาร์ยืนยันว่าอาเซียนจะต้องให้เวลาในการเจรจากับจีนโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ซึ่งเขาหมายถึงสหรัฐอเมริกา และยังวิจารณ์ฟิลิปปินส์อย่างเปิดเผยด้วยว่านโยบายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการเผชิญหน้ากับจีนในกรณีพิพาทชิงพื้นที่ในน่านน้ำเป็นนโยบายที่ไม่ยั่งยืนและไม่ทำให้เกิดผลที่ดีใดๆ
แต่เขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือ เพราะในเวลาสองปีภายใต้รัฐบาลของเขาเอง มาเลเซียเองต้องเผชิญหน้ากับความก้าวร้าวของจีนหลายครั้ง เริ่มจากเมื่ออันวาร์เข้าพบประธานาธิบดีสีที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสีได้ยกประเด็นสิทธิของจีนเหนือเขตน่านน้ำในทะเลจีนใต้ใกล้ชายฝั่งซาราวักของมาเลเซียขึ้นมากล่าว และแสดงความไม่สบายใจที่บริษัทเปโตรนาสของรัฐบาลมาเลเซียยังปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ กลายเป็นข่าวฮือฮาที่สร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวมาเลเซียที่เห็นว่าจีนกล่าวอ้างสิทธิเหนืออำนาจอธิปไตยในน่านน้ำมาเลเซียอย่างไม่เกรงใจ
ในเดือนกันยายน 2567 หนังสือพิมพ์ The Philippine Daily Inquirer ของฟิลิปปินส์รายงานอ้างถึงหนังสือประท้วงจากรัฐบาลจีนที่ส่งไปยังสถานทูตมาเลเซียประจำกรุงปักกิ่ง กล่าวหาว่ามาเลเซียล่วงล้ำเขตน่านน้ำของจีนบริเวณสันดอนลูโคเนีย (Luconia Shoals) น่านน้ำบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยน้ำมันดิบ ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งซาราวักของมาเลเซีย 100 กิโลเมตร และห่างจากชายฝั่งของจีนกว่า 2,000 กิโลเมตร โดยเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิครอบครอง ความก้าวร้าวของจีนในการอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำในเขตประเทศอาเซียนเห็นได้จากข้อเขียนของ เดนนิส อิกนาเชียส (Dennis Ignatius) อดีตนักการทูตอาวุโสมาเลเซียในเว็บไซต์ www.dennisignatius.com ที่ระบุว่า แม้รัฐบาลมาเลเซียจะไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าจีนมีเรือรบอยู่ในพื้นที่สันดอนลูโคเนียอย่างถาวร และมักจะคุกคามเรือประมงมาเลเซียที่ออกหาปลาในบริเวณดังกล่าว ที่สำคัญเรือยามฝั่งของจีนข่มขู่เรือสำรวจน้ำมันของบริษัทเปโตรนาส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติมาเลเซีย ในขณะเดียวกันจีนยังลงมือสำรวจน้ำมันในพื้นที่แข่งกับเปโตรนาสด้วย
ในความเป็นจริง จีนยังคงเดินหน้ากดดันอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำมาเลเซียอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในน่านน้ำของประเทศอาเซียนคู่พิพาทอื่นๆ
เมื่อปีที่แล้ว คีชอร์ มาบูฮานี (Kishore Mahubani) นักการทูตชื่อดังแห่งสิงคโปร์กล่าวชมการทูตแบบ quiet diplomacy ของมาเลเซียในการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้ว่าเป็นการทูตที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจสอดคล้องกับแนวคิดของอันวาร์ในการจัดการกับปัญหาอาเซียนและมาเลเซีย
แต่ในความเห็นของอิกนาเชียส quiet diplomacy หาได้มีประโยชน์ต่อทั้งมาเลเซียและอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้อย่างไรไม่ เขาชี้ว่าประเด็นสำคัญที่จะชี้ถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของอาเซียนอยู่ที่ความสามารถโน้มน้าวให้จีนบรรลุข้อตกลงและร่วมลงนามในหลักปฏิบัติในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นกฏกติกามารยาทในการใช้น่านน้ำร่วมกันอย่างป้องกันการเกิดข้อพิพาท แต่เวลาผ่านมานับทศวรรษ จีนยังคงขยายกำลังในน่านน้ำและเดินหน้าอ้างสิทธิของตนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังทำทุกวิถีทางในการหลีกเลี่ยงการตกลงในหลักปฏิบัตินี้โดยบางครั้งได้รับการช่วยเหลือจากประเทศอาเซียนที่ใกล้ชิดตน
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่ประเทศอาเซียนยกประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ขึ้นมากล่าว จีนมักตอบอย่างรวดเร็วอยู่เสมอว่า แม้ตนจะมีสิทธิตามที่กล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ปรารถนาจะใช้ความรุนแรงและจะพยายามใช้วิถีการเจรจาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม
ความไร้ทางออกในข้อพิพาททะเลจีนใต้ทำให้นักวิเคราะห์บางรายรวมทั้งอิกนาเชียส เริ่มแนะให้อาเซียนตอบโต้ด้วยการหันเข้าหาสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตร เช่น ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อถ่วงดุลอำนาจจีนในภูมิภาค ซึ่งอิกนาเชียสชี้ว่าแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป แต่ก็อาจเป็นความจำเป็นของอาเซียน
อาเซียนภายใต้การนำของอันวาร์จะเผชิญหน้ากับปัญหาทะเลจีนใต้และโจทย์ใหญ่อื่นๆ อย่างไร อันวาร์จะยังคงยืนยันในวิถีของ quiet diplomacy หรือไม่ การนำของเขาจะส่งผลเป็นชิ้นเป็นอันในการแก้ปัญหาข้อพิพาทเหล่านั้นหรือเปล่า และอาเซียนจะยังเหมือนเดิมหรือไม่เหมือนเดิมภายใต้การนำของเขา
รอเพียงหนึ่งปีก็จะได้เห็นกัน
เอกสารประกอบ
https://www.lowyinstitute.org/the-interpreter/code-conduct-won-t-solve-south-china-sea-crisis