“I exploit them, they exploit that poor man.
It’s a chain reaction that can’t be stopped.”
(ฉันเอาเปรียบพวกเขา ส่วนพวกเขาก็เอาเปรียบเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้น
มันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ)
ข้อความข้างต้นเป็นบทพูดจากภาพยนตร์เรื่อง Happy as Lazzaro (2018) ของ อลิซ โรห์วาเคอร์ (Alice Rohrwacher) ผู้กำกับชาวอิตาลี หนังของเธอมีลายเซ็นโดดเด่นที่การถ่ายทอดภาพกลุ่มชนชั้นล่างในระบบทุนนิยม ผสมกับการหยิบยกความเชื่อหรือตำนานปรัมปรามาใช้เป็นสัญญะในการเล่าเรื่อง โดยเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องราวปรัมปราช่วยให้เธอผ่านพ้นความโศกเศร้าในชีวิตมาได้ เธอจึงอยากทำหนังแนว Magical Realism (สัจนิยมมหัศจรรย์) เพื่อส่งเสริมอิสระทางความคิดของผู้คน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถูกสะท้อนออกมาผ่านเรื่องราวเหนือจริงที่ตัวละครมนุษย์ชนชั้นล่างของเธอต้องพบเจอ
การที่ภาพยนตร์อิตาลีบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนธรรมดาสามัญไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์อิตาลีเคยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสะท้อนสังคมมาตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเวลานั้น เกิดขบวนการภาพยนตร์ที่สำคัญขึ้นในอิตาลีคือขบวนการ Italian Neorealism (ภาพยนตร์ตระกูลอิตาลีสัจนิยมใหม่) ขบวนการนี้ไม่ได้มาจากความตั้งใจของคนทำหนังที่อยากสร้างสรรค์สไตล์การทำหนังรูปแบบใหม่ แต่เป็นเพราะอิตาลีเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประเทศเกิดความเสียหายมากมาย เศรษฐกิจตกต่ำ กลุ่มคนทำหนังจึงต้องปรับตัวตามสภาพสังคม โดยหันมาทำหนังทุนต่ำ
ภาพยนตร์ตระกูลอิตาลีสัจนิยมใหม่มักถ่ายทอดเรื่องราวของประชาชนในภาวะหลังสงครามที่ต้องประสบกับความยากจน ปัญหาสังคมตลอดจนปัญหาอาชญากรรมต่างๆ ตัวละครหลักในเรื่องมักเป็นกลุ่มคนที่มาจากชนชั้นแรงงาน อาทิ กรรมกร คนงานในโรงงาน เกษตรกร อันจะเห็นได้จากหนังไตรภาคสงคราม (War Trilogy) ของผู้กำกับ โรแบร์โต รอสเซลลินี (Roberto Rossellini) ที่สำรวจชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อยที่ได้รับผลกระทบจากก่อนและหลังสงคราม โดยขบวนการภาพยนตร์นี้ มีอยู่แค่ในช่วงปี 1944-1952 เพราะหลังจากนั้น เศรษฐกิจของอิตาลีเริ่มฟื้นฟูและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความน่าสนใจคือ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของอิตาลีจะเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในช่วงเวลานั้น พรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี (PCI) ซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก ในปี 1954 มีสมาชิกถึง 2.1 ล้านคน โดยสมาชิกส่วนมากเป็นคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม กรรมกร และพนักงานเงินเดือน
ปัจจุบัน อิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 3 ของยุโรป รายได้หลักมาจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม โดยในปี 2023 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในขณะเดียวกัน อิตาลีก็ประสบกับภาวะเงินเฟ้อ ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น ประชาชนจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ประหยัดมากขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้สัมพันธ์กับเศรษฐกิจหน่วยครัวเรือน
ผ่านมาหลายทศวรรษ ภาพยนตร์อิตาลียังคงเป็นเครื่องมือถ่ายทอดชีวิตชนชั้นล่างภายใต้ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ บทความนี้ขอยกภาพยนตร์ขนาดยาวสองเรื่องล่าสุดของโรห์วาเคอร์ ที่ตัวละครเอกล้วนเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยม มาพินิจถึงมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจ แม้ฉากหลังในภาพยนตร์เหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในทศวรรษปัจจุบัน ก็ยังคงมีนัยบางอย่างที่ทำให้คนทำหนังเลือกเล่าเรื่องราวทั้งสอง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
La Chimera (2023) โจรปล้นสุสานผู้จุนเจือความลำบากด้วยเศษซากความเจริญ

ภาพยนตร์ลำดับล่าสุดของโรห์วาเคอร์ ออกฉายเมื่อปลายปี 2023 บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ อาร์ตูร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ผู้ผันตัวมาทำอาชีพโจรปล้นสุสานอยู่ในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี โดยฉากหลังของเรื่องเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80
กลิ่นอายสัจนิยมมหัศจรรย์ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการที่อาร์ตูร์มี ‘ญาณ’ บางอย่างที่สามารถเชื่อมต่อกับสุสานคนตายได้ เมื่อเขาพบจุดที่มีวัตถุโบราณฝังอยู่ เขาจะค่อยๆ หมดสติ ราวกับถูกดึงไปอยู่ในโลกของคนตาย เหตุการณ์เช่นนี้สัมพันธ์กับการที่อาร์ตูร์ยังคงหมกมุ่นกับเบเนียมินา คนรักที่ตายไปแล้ว นอกจากการปล้นสุสาน การถวิลหาเบเนียมินาจึงเป็นอีกทางที่อาร์ตูร์เชื่อมโยงกับคนตาย ซึ่งตัวละครอาร์ตูร์ถูกอิงมาจาก ออร์เฟียส (Orpheus) เทพปกรณัมกรีกที่สูญเสียภรรยาให้กับความตาย เขาจึงเดินทางไปยมโลกเพื่อหวังช่วยชีวิตเธอกลับมา
อาร์ตูร์และกลุ่มโจรปล้นสุสาน หรือ ‘ทอมบาโรลี’ (Tombaroli) ใช้อุปกรณ์ขุดสุสานกันแบบบ้านๆ คือใช้เพียงแท่งเหล็กเจาะชั้นดิน จอบ เสียม และใช้ไฟฉายกับจุดเทียนเพื่อให้ความสว่างใต้หลุมที่ขุดลงไป อย่างไรก็ดี ทอมบาโรลีไม่ถือว่าเป็นชนชั้นกรรมาชีพเสียทีเดียวเพราะเป็นอาชีพผิดกฎหมาย โดยในหลายฉากมีคำพูดที่สื่อให้เห็นว่า พวกเขามองว่าอาชีพกรรมกรเป็นงานที่ลำบาก จึงเลือกที่จะปล้นสุสานเพื่อจุนเจือชีวิต ซึ่งพวกเขานำวัตถุที่ขุดมาได้ไปขายให้กับ สปาร์ตาโค ลูกค้าเงินหนาที่พวกเขาไม่เคยพบหน้าตัวเป็นๆ ได้แต่เพียงแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณกับเงินกันผ่านลิฟต์ขนของเท่านั้น
แม้เบเนียมินาจะตายไปแล้ว แต่อาร์ตูร์ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับคุณนายฟลอรา แม่ของเบเนียมินา และยังคงไปหาคุณนายฟลอราที่บ้านของเธอบ่อยๆ ทำให้เขาได้พบกับ อิตาเลีย นักเรียนร้องเพลงของคุณนายฟลอรา—หรือจริงๆ อาจเรียกได้ว่าเป็นสาวใช้ที่คุณนายฟลอราสอนร้องเพลงให้แทนการจ่ายค่าจ้างเสียมากกว่า ในฉากหนึ่งที่อาร์ตูร์ อิตาเลีย และคุณนายฟลอราไปเดินเล่นกันแถวสถานีรถไฟร้าง สายที่เชื่อมระหว่างเมืองกับชนบท ฉายให้ผู้ชมเห็นถึงบริบทด้านการพัฒนาพื้นที่ว่า ในขณะที่พื้นที่เมืองพัฒนาไปข้างหน้า ชนบทยังย่ำอยู่กับที่ ราวกับว่าเมืองและชนบทเป็นสองโลกที่ต่อกันไม่ติด เป็นโลกใบใหม่กับโลกใบเก่าที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งแม้แต่รถไฟยังไม่วิ่งผ่านอีกต่อไป

อีกหนึ่งองค์ประกอบอันน่าสนใจที่ถูกใส่มาในภาพยนตร์คือ ‘โรงไฟฟ้า’ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของชนชั้นนายทุน ภาพยนตร์พาผู้ชมติดตามเหล่าทอมบาโรลีไปงานรื่นเริงที่จัดโดยบริษัทโรงไฟฟ้า ภายในงาน ผู้คนร้องเพลงและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน นักร้องบนเวทีกล่าวขอบคุณโรงไฟฟ้าที่จัดงานนี้ขึ้นมา นอกจากนี้ ยังมีบางฉากที่อาร์ตูร์ใส่เสื้อยืดสกรีนโลโก้โรงไฟฟ้า ยิ่งตอกย้ำความเป็นกลุ่มทุนใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ซึ่งมีอิทธิพลเหนือประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ไม่ว่าการจัดงานรื่นเริงให้คนมาสังสรรค์กัน หรือการแจกเสื้อยืด ก็ล้วนแต่เป็นแคมเปญประชาสัมพันธ์ของนายทุน ในขณะเดียวกัน ภาพที่ดูเหมือนเป็นการตั้งใจเสียดสีความใหญ่โตของโรงไฟฟ้าคือ อาร์ตูร์ยังคงจุดเตาแก๊สขนาดพกพาเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นยามค่ำคืน ในบ้านเพิงไม้-สังกะสีเล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นเอง ฉากเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจน และอีกนัยหนึ่งก็เป็นภาพที่เย้ยหยันความศิวิไลซ์อันเป็นผลผลิตของระบบทุนนิยมได้ดีทีเดียว
คืนเดียวกันกับที่เหล่าทอมบาโรลีไปงานเลี้ยงของโรงไฟฟ้า พวกเขาพบสุสานใต้ชายหาดที่ภายในนั้นมีรูปปั้นเทพี ซึ่งดูมีมูลค่ามากกว่าวัตถุโบราณทุกชิ้นที่พวกเขาเคยขุดได้ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพลาดท่าให้กับกลอุบายของฝั่งสปาร์ตาโคที่สวมรอยเป็นตำรวจเพื่อที่จะมาขุดสุสานนี้ต่อเอง เหล่าทอมบาโรลีพากันวิ่งหนีและขนมาได้เพียงส่วนหัวของรูปปั้นเท่านั้น ด้านสปาร์ตาโคได้รูปปั้นเทพีไร้ศีรษะไปครอง ไม่กี่วันหลังจากนั้น กลุ่มทอมบาโรลีจึงตามไปเสนอขายส่วนหัวให้กับสปาร์ตาโคที่งานประมูลลับกลางทะเล ซึ่งมีบรรดาชนชั้นสูงจำนวนมากจากต่างประเทศเข้าร่วม เป็นครั้งแรกที่อาร์ตูร์และพวกพ้องได้พบหน้ากับสปาร์ตาโค สปาร์ตาโคบอกให้พวกทอมบาโรลีส่งรูปปั้นส่วนหัวให้ ด้านทอมบาโรลีไม่ยอมส่ง และเรียกร้องให้สปาร์ตาโคเสนอราคามาก่อน ในฉากนี้ ภาพยนตร์ใช้วิธีเล่าเรื่องด้วยการแสดงแบบเหนือจริง คือสปาร์ตาโคกับเหล่าทอมบาโรลีต่างแยกเขี้ยวและส่งเสียงคำรามขู่กัน เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าความโลภทำให้มนุษย์ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ผู้หิวโหยที่ต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งอาหาร
ในฉากเดียวกันนั้น สปาร์ตาโคพูดเปรียบเปรยว่าพวกทอมบาโรลีเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ทำงานตามคำสั่งที่ถูกป้อน โรห์วาเคอร์ใช้เทคนิคการตัดต่อแบบคัตอะเวย์ (Cutaway) ด้วยการแทรกฟุตเทจฟันเฟืองของเครื่องจักรที่กำลังหมุนไปเรื่อยๆ โดยเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า “โจรปล้นสุสานเป็นเหมือนฟันเฟืองของเครื่องจักรที่มีชื่อว่าทุนนิยม ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสินค้าเพื่อตอบรับอุปสงค์ของผู้ซื้อ” ในแง่นี้ ทุกอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการก็ล้วนเป็นฟันเฟืองให้กับทุนนิยมเช่นกัน

ช่วงท้ายของเรื่อง อิตาเลียกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง พร้อมด้วยลูกเล็กของพวกเธออีกหลายคน อาศัยอยู่ร่วมกันที่สถานีรถไฟร้าง ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องหลายครั้งว่า ‘เป็นของทุกคน หรือไม่ใช่ของใครเลย’ ซึ่งแนวคิดที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็มีสิทธิ์ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนั้นๆ อย่างเท่าเทียมกัน เป็นแนวคิดที่สะท้อนถึงสำนึกของคอมมิวนิสต์ได้เป็นอย่างดี
อิตาเลียและพวกของเธอช่วยกันบูรณะสถานีรถไฟร้างให้กลายเป็นบ้าน และใช้ชีวิตแบบพึ่งพากันดั่งครอบครัว แม้จะเป็นภาพที่ดูอบอุ่น แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนของกลุ่มคนระดับล่างในสังคม ที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้เข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของชีวิต
ขณะที่การพัฒนาเคลื่อนไปข้างหน้า อิตาเลียและผู้หญิงเหล่านี้ยังคงสรรหาประโยชน์สูงสุดจากเศษซากของความเจริญ เช่นเดียวกับอาร์ตูร์และเหล่าทอมบาโรลี ที่หาเลี้ยงชีพด้วยทรัพย์สมบัติของคนรวยในอดีต
Happy as Lazzaro (2018) คนดีในโลกทุนนิยมนั้นอยู่ยาก

Happy as Lazzaro ถ่ายทอดชีวิตของ ‘Sharecropper’ หรือเกษตรกรผู้เช่าพื้นที่ทางการเกษตรและจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของที่ดินด้วยผลผลิตราว 50 คน ที่อยู่อาศัยและทำงานร่วมกันที่ไร่ยาสูบ พร้อมด้วยเด็กๆ อีกหลายคน เกษตรกรกลุ่มนี้ทำงานอยู่ภายใต้อำนาจของ อัลฟอนซินา เด ลูนา เจ้าของไร่ยาสูบ โดยพวกเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งผลผลิตแม้แต่น้อยเนื่องจากติดหนี้อัลฟอนซินาอยู่ และดูเหมือนว่าจำนวนหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งที่ลูกน้องของอัลฟอนซินาแวะมาคำนวณราคาผลผลิต เหล่าเกษตรกรต้องทำงานต่อไปเรื่อยๆ เพื่อใช้หนี้ที่ไม่มีวันหมด จึงไม่มีอิสระที่จะออกจากพื้นที่ตรงนี้ไปได้
ในชีวิตจริง ช่วงทศวรรษที่ 50 เกษตรกรผู้เช่าที่ดินกว่าสองแสนคนเป็นสมาชิกของพรรค PCI เกษตรกรกลุ่มนี้กับพรรค PCI ร่วมกันปฏิวัติระบบเกษตรกรรมนี้ ทำให้เกษตรกรรมแบบการแบ่งผลผลิตระหว่างเจ้าของที่ดินและเกษตรกรค่อยๆ ลดน้อยลง อย่างไรก็ดี ระบบเกษตรกรรมนี้ยังคงมีอยู่ในประเทศอิตาลีจนถึงปี 1982 ซึ่งไม่ได้ผ่านมานานอย่างที่เราคิด
โดยทั่วไปแล้ว ในระบบเกษตรกรรมนี้ เจ้าของที่ดินมักอาศัยอยู่ที่อื่น และจะมาดูงานที่ไร่ของเขาในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเท่านั้น เช่นเดียวกับเรื่องราวที่ปรากฏในหนัง อัลฟอนซินาและลูกชายของเธอมาเยือนไร่ยาสูบพอดีกับช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต สองแม่ลูกยืนมองเหล่าเกษตรกรที่กำลังทำงานกันอยู่ จากริมหน้าต่างชั้นบนของบ้านพัก ลูกชายถามอัลฟอนซินาว่าแม่ไม่กลัวเหรอว่าพวกเขาจะรู้ความจริง ซึ่งเป็นเหมือนคำใบ้ที่ทำให้คนดูรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ด้านอัลฟอนซินาชี้ไปที่ ลาซซาโร—คนงานหนุ่มที่กำลังตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน และตอบลูกชายกลับไปว่า แม่เอาเปรียบพวกเขา ส่วนพวกเขาก็เอาเปรียบเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้น เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แม้คำพูดของอัลฟอนซินาจะดูเป็นความจริงของโลกทุนนิยมที่ทุกคนต่างก็เอาเปรียบคนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องคือ ลาซซาโรไม่เคยเอาเปรียบใครและยินดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงช่วงกลางเรื่อง ลาซซาโรพลัดตกจากเนินผาสูง เขาสลบไปราว 30 ปี และฟื้นขึ้นมา -หรือเกิดใหม่- ด้วยสภาพที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ในฉากนี้ ภาพยนตร์ใช้เรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิลเป็นสัญญะในการเล่าเรื่องเพื่อเปรียบเปรยว่าลาซซาโรเป็นดั่งนักบุญผู้บริสุทธิ์ แม้จะสลบอยู่กลางหุบเขาก็ไม่โดนหมาป่ากินเพราะหมาป่าได้กลิ่น ‘คนดี’ ออกมาจากตัวเขา ซึ่งการที่ลาซซาโรสลบไปราว 30 ปีมีนัยสื่อความหมายว่า เขาเป็นคนดีเกินกว่าที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกทุนนิยมที่มีแต่การเอาเปรียบกันเช่นนี้ จึงให้เขาได้หยุดพักและค่อยกลับมาใช้ชีวิตต่อในอีก 30 ปีข้างหน้า ยามที่สภาพสังคมดีขึ้นกว่าเดิม (จริงหรือ)
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ลาซซาโรเพิ่งสลบไป เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบไร่ยาสูบของอัลฟอนซินา พวกตำรวจตกตะลึงกับสภาพชีวิตและการทำงานของเกษตรกรที่นี่ โดยตำรวจได้บอกเหล่าเกษตรกรว่าระบบการเกษตรแบบแบ่งผลผลิตเช่นนี้ผิดกฎหมายไปหลายปีแล้ว จึงทำให้เราพอคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ในเรื่องดำเนินอยู่ช่วงทศวรรษที่ 90 เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงต่อว่าในปัจจุบัน แรงงานต้องได้รับค่าจ้าง ส่วนเด็กๆ ก็ต้องได้ไปโรงเรียนกันทุกคน ไม่ว่าครอบครัวจะรวยหรือจน เหล่าเกษตรกรมีท่าทีสับสนและไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เจ้าหน้าที่จึงเข้าช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 50 ชีวิต และพาพวกเขากลับเข้าไปในเมือง
แม้ว่าตอนที่ตำรวจเข้าช่วยเหลือเหล่าเกษตรกรจะทำให้เรารู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างว่าพวกเขารอดพ้นจากการโดนเอาเปรียบแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 30 ปี ลาซซาโรได้กลับมาเจอแรงงานกลุ่มหนึ่งที่เคยทำงานด้วยกันในไร่ยาสูบอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏคือนอกเหนือจากการมีอิสระแล้ว พวกเขาเหล่านี้กลับไม่ได้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย พวกเขาอาศัยอยู่ในไซโล หรือถังขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งถูกทิ้งร้างอยู่ข้างทางรถไฟ และดำเนินชีวิตโดยการขโมยของมากิน มาใช้ รวมถึงเอาไปหลอกขายต่อ จะเห็นได้ว่าสภาพที่ว่านี้แทบไม่ต่างอะไรจากชีวิตของเหล่าตัวละครใน La Chimera และแม้แต่ตัวละครเด็กเล็กเมื่อ 30 ปีที่แล้วก็โตมาเป็นขโมย ไม่มีงานทำ จึงทำให้ผู้ชมคาดเดาได้ว่าเด็กน้อยในวันนั้นอาจไม่ได้เข้ารับการศึกษา คำพูดที่นายตำรวจเคยบอกไว้ว่าทุกคนต้องได้ไปโรงเรียนจึงดูเป็นเพียงแค่หลักการในอุดมคติเสียมากกว่า ชวนให้เราขบคิดตามว่า ที่สภาพชีวิตของตัวละครเหล่านี้เป็นเช่นนี้ เพราะภาครัฐไม่ได้ใส่ใจที่จะเยียวยาพวกเขาจริงๆ หรือเพราะระบบทุนนิยมที่เป็นสาเหตุให้ทุกชนชั้นไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน คนกลุ่มล่างในสังคมจึงไม่มีทางที่จะลืมตาอ้าปากได้

แน่นอนว่าชีวิตของเกษตรกลุ่มนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอัลฟอนซินาอีกต่อไป จากที่เคยโดนหลอกให้ทำงานโดยไม่ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ ใช้ชีวิตอยู่แค่ในไร่ยาสูบ พบเจอแต่คนเดิมๆ และไม่มีอิสระได้ออกไปไหน สู่การได้ออกมาพบเจอโลกภายนอกที่กว้างใหญ่และทันสมัยขึ้นตามกาลเวลา แต่ลักษณะความสัมพันธ์ของพวกเขากับโลกรอบตัวยังคงเหมือนเดิม พวกเขายังคงเป็นเหมือนเกษตรกรผู้เช่า ที่โดนระบบทุนนิยมเอาเปรียบ
“อันที่จริง Lazzaro ก็พูดถึงคนที่เป็นเหยื่อในประวัติศาสตร์ มันว่าด้วยกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองสูญเสียอะไรไปบ้างเพราะพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีอะไร โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นใน Lazzaro เป็นเรื่องของคนที่เพ้อฝันเห็นตัวเองต่อสู้ยิบตาเพื่อคนจน แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาต่อสู้เพื่อให้คนรวยมีอภิสิทธิ์มากขึ้นต่างหาก” โรห์วาเคอร์ว่า
โรห์วาเคอร์ผสานความเป็นสัจนิยมมหัศจรรย์และสัจนิยมใหม่ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยเรื่องราวชีวิตของชนชั้นล่างที่ประสบเหตุการณ์เหนือจริงในสภาพสังคมที่สุดแสนจะสมจริง ทั้งลาซซาโรที่สลบไปกว่า 30 ปี และอาร์ตูร์ที่มีญาณเชื่อมต่อกับความตาย โดยตัวละครทั้งสองต่างล้วนต้องเผชิญกับความยากลำบากของชีวิต
ทุนนิยมนอกอุดมคติ
เมื่อเหล่าเกษตรกรผู้เช่าซึ่งเคยตั้งใจทำงานหนักมาทั้งชีวิตได้รู้ความจริงว่าที่ผ่านมาพวกเขาโดนเอาเปรียบ ยามที่พวกเขามีอิสระจึงเลือกทำสิ่งที่ต่างกันสุดขั้ว พวกเขาไม่ทนอยู่กับชีวิตที่ต้องเป็นแรงงานอีกต่อไป และกลายมาเป็นมิจฉาชีพเอง ซึ่งจากอดีตที่พวกเขาเคยได้พบเจอมา คงทำให้พวกเขารู้แล้วว่าการเป็นแรงงานที่สุจริตในสภาพสังคมแบบนี้มันทำร้ายชีวิตพวกเขาได้มากเพียงใด
เช่นเดียวกับพวกทอมบาโรลีที่ไม่อยากเป็นกรรมกร เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ชีวิตชนชั้นล่างอย่างพวกเขามีแค่สองทางเลือก คือทำงานสุจริตอย่างยากลำบากให้ระบบทุนนิยมกดทับ และทำงานผิดกฎหมายเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้นมานิดหนึ่ง ส่วนทางเลือกที่ทำงานสุจริตแล้วจะอยู่สุขสบายคงไม่มีจริง
เรื่องราวในหนังทั้งสองเรื่องสะท้อนสภาพจริงของโลกทุนนิยมได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ในประเทศอิตาลีแต่ยังรวมถึงไทยเอง ที่ชนชั้นต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรและคุณภาพชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา และดูเหมือนว่าภาพปัญหานี้จะไม่เลือนหายไปง่ายๆ หากระบบทุนนิยมยังคงทิ้งชนชั้นล่างไว้ข้างหลัง