‘บาดเจ็บทางการศึกษา อากาศเป็นพิษทุกลมหายใจ’ มรสุมใต้ฝุ่นที่เด็กเล็กต้องเผชิญ

มันยังไม่จากเราไปไหน

ภายหลังกรุงเทพมหานครประกาศขอความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนให้ใช้มาตรการ Work from Home (WFH) ในช่วงวันที่ 20-21 มกราคม 2568 เนื่องจากคาดการณ์กันว่าพื้นที่กว่า 35 เขตในกรุงเทพฯ มีค่าฝุ่นทะลุระดับสีส้ม แล้วสำทับซ้ำด้วยการประกาศปิดสถานศึกษาในสัปดาห์เดียวกัน เมื่อพบว่าค่าฝุ่นเพิ่มขึ้นถึงขั้นสีแดงและสีม่วงในหลายพื้นที่ ดูเหมือนสถานการณ์เหล่านี้ก็ยังยากจะหาทางคลี่คลายลงโดยง่าย

แม้ฝุ่น PM2.5 จะไม่ใช่ปัญหาใหม่ – หลายคนพอคาดเดาได้ว่ามันจะมาพร้อมลมหนาวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นเดือนมกราคม – แต่คล้ายกับว่าปีนี้ฤดูกาลฝุ่นของคนกรุงเทพฯ จะยาวนานเกินความคาดหมาย ทั้งยังรุนแรง ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนอุณหภูมิของอากาศตลอดเดือนที่ผ่านมา ทำให้นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็น กทม. ประกาศให้ ‘หยุดงาน’ ‘หยุดเรียน’ เพราะความผันผวนของฝุ่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในเวลาต่อมา คนเมืองก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากกลับไปใช้ชีวิตปกติ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ทุกการหายใจส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่ต่างจากเดิม

หนึ่งสัปดาห์ให้หลังการประกาศของ กทม. สีส้มยังกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และในวันที่เราเดินทางไปพบผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวดอนเมือง ฝุ่นในย่านนั้นหนาแน่นทะลุขั้นสีแดงตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่

ทว่าเด็กๆ ทั้งระดับอนุบาล ตลอดจนประถมศึกษา กลับไม่สามารถหยุดเรียนได้อีกแล้ว

การสอบทั้ง NT และ O-NET กำลังใกล้เข้ามา[1] ผอ.โรงเรียนว่า – เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ กำหนดการสำหรับเด็กประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ประจำปีนี้จัดขึ้นเร็วกว่าปกติ ครูจึงสอนเนื้อหากันแทบไม่ทันเป็นทุนเดิม ยิ่งถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาฝุ่นและการสั่งปิดโรงเรียน ทำให้ต้องเร่งอัดความรู้ให้เด็กมากที่สุดก่อนเข้าสู่สนามสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“ส่วนมากปัญหาฝุ่นมักจะหมดไปก่อนจะถึงช่วงสอบ มันจะหนักแค่ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกลางธันวาที่มีขึ้นแจ้งเตือนว่าสีแดงหรือสีส้มบ้าง มันไม่เคยลากยาวขนาดนี้

“ตอนนี้เลยต้องกระหน่ำสอนทั้ง ป.3 ป.6 เพื่อสอนให้ทัน เพราะเขาบังคับมาว่าต้องบันทึกคะแนนสอบลงในสมุดพก มันจะติดตัวเขาไปตลอด เราก็อยากให้เขาได้คะแนนดี เพราะมันคืออนาคตของเขา”



1.


สิบโมงเช้า แดดจ้าทอดยาวทั้งสนามกลางแจ้งจนพื้นปูนกลายเป็นสีน้ำตาลทอง ปราศจากวี่แววของเด็กๆ วิ่งเล่นหรือการจัดกิจกรรมด้านนอก ซึ่งอาจเป็นเพราะกำลังตั้งอกตั้งใจเรียนคาบที่สองของวัน และอากาศภายนอกนั้นไม่ปลอดภัยมากพอที่ครูจะปล่อยนักเรียนออกนอกห้องปิดติดแอร์

จึงมีเพียงเสาธงชาติสูงใหญ่ตั้งตระหง่านและเสาประดับธงสีแดงต้นเล็กเท่านั้น ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนสนามอันเงียบเหงา

“เราเริ่มดูแลเรื่องฝุ่นมาก่อนที่จะมีปัญหาตอนนี้ เพราะเดิมมีเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนก็ตั้งอยู่ในทางลมและติดทางด่วนที่มีฝุ่นจากรถยนต์ลงมาเยอะ ก็อาศัยว่าให้งดใช้พื้นที่หน้าโรงเรียนบ้าง” แต่ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ฝุ่น PM 2.5 เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น กว้างขวาง และบ่อยครั้งขึ้น จนกล่าวได้ว่ากลายเป็นปัญหาประจำฤดูกาล ทำให้โรงเรียนต้องปรับตัวขนานใหญ่ โดยลงทุนซื้อเครื่องวัดฝุ่นจากต่างประเทศมาติดตั้ง เพื่อตรวจดูสถานการณ์รายวันหรือรายชั่วโมง ให้คุณครูทุกคนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันวัดค่าฝุ่นติดไว้ในมือถือ และประกาศตามสื่อของโรงเรียนเพื่อแจ้งให้ผู้ปกครองคอยดูแลเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยมาเรียน

“เราจะมีครูที่คอยทำหน้าที่จดบันทึกสถิติฝุ่นในแต่ละวัน และแจ้งข่าวโดยใช้ธงแต่ละสีที่อยู่บริเวณเสาธงชาติ ซึ่งเราจะมีการอบรมเด็กเรื่องดูสีธงด้วยว่าหมายถึงอะไร”

แต่เด็กส่วนมากจะสนใจแค่สีที่ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกนอกห้องเรียนเท่านั้น ตัวอย่างเช่นธงสีแดงในวันนี้ ผอ.หญิงวัยกลางคนเล่าพร้อมยิ้มอ่อนใจ บ่งบอกว่าการดูแลและ ‘ดีล’ กับเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ในเรื่องปัญหาฝุ่นนั้นยากขนาดไหน



“ถ้าเป็นเด็กที่โตหน่อย เขาจะเริ่มชอบเล่นมือถือ เราก็ให้อยู่ในห้องได้ แต่สำหรับเด็กเล็ก เขายังอยากวิ่งไล่จับ อยากเล่นเตะบอลอยู่ เราก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ” บางคนก็สวมหน้ากากไว้ใต้จมูกบ้าง ถอดทิ้งไว้แล้วแอบไปวิ่งเล่นกันในมุมลับตาครูบ้าง หรือถึงขนาดมาโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้ได้มีเวลาเล่นกันก่อนเข้าเรียนหรือคุณครูมาเห็นก็มี

จะว่าเป็นเด็กจึงห่วงเล่นมากกว่าอะไรก็ใช่ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ฝุ่นก็เป็นปัญหาที่ยากจะทำความเข้าใจ เพราะเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า “เพราะมันมองไม่เห็น เขาเลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร สำหรับบางคนที่ไม่ได้รับผลกระทบในทันทีที่เจอฝุ่น เขาก็จะไม่รู้”

ขณะเดียวกัน เด็กที่แพ้ฝุ่นอย่างหนักจนออกอาการทางร่างกายชัดเจนนั้นก็มีอยู่ ตั้งแต่ผื่นคันตามเนื้อตัว ตาแดง ไปจนถึงกำเดาไหลแบบมีลิ่มเลือดเจือปน ซึ่งมีงานศึกษาทางการแพทย์มากมายล้วนยืนยันว่าฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กเล็ก ทั้งแบบเฉียบพลัน คือเด็กอาจเกิดการระคายเคืองผิวหนัง แสบตา แสบจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจไม่สะดวก และอาจถึงขั้นแน่นหน้าอก หอบหืดกำเริบในกรณีที่เด็กเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด

ทั้งในระยะยาว คือการสะสมของฝุ่นในร่างกายเด็กอาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและระบบหลอดเลือด อย่างปอดอักเสบ มะเร็งปอดหรือระบบทางเดินหายใจ หลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น คือมันสามารถทำลายหรือสร้างความผิดปกติต่อเซลล์สมอง ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น ระดับสติปัญญา (IQ) ลดลง พัฒนาการด้านการรู้คิด ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้และเคลื่อนไหวร่างกาย (cognitive and psychomotor development) ช้าลง ตลอดจนเสี่ยงต่อปัญหาด้านการได้ยินและการพูดอีกด้วย

ทั้งหมดทั้งมวล คือเหตุผลทางด้านสุขภาพที่คุณครูต้องยอมแลกกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง –โอกาสเสริมสร้างพัฒนาการและความแข็งแรงทางร่างกายแก่เด็ก – แลกกับการกินข้าวร่วมกันในโรงอาหารเนื่องจากเป็นสถานที่เปิด –โอกาสพัฒนาวินัยและทักษะทางสังคมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น – ตลอดจนต้องยอมให้เด็กเล็กนั่งอยู่กับหน้าจอ หากนั่นหมายความว่าจะทำให้บุตรหลานปลอดภัยจากฝุ่นเพิ่มขึ้นสักนิด

“ตอนนี้ไม่รู้จะหลอกล่อให้เด็กๆ อยู่แต่ในห้องยังไง เราก็ต้องใช้วิธีพาไปนั่งดูการ์ตูนความรู้ แทนการวิ่งเล่น พาเข้าห้องสมุดก็ไม่มีใครยอมอ่านหนังสือ ก็ต้องหากล่องเกมไปวางไว้ ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ได้ ไปนั่งเล่นเกมก็ยังดี”

โชคเข้าข้างที่เที่ยงวันนั้นฝุ่นเบาบางลง เมื่อครูเวรเดินมาสลับสีธงจากแดงเป็นเหลืองตรงสนาม เด็กๆ ก็เข้าแถวเดินลงจากอาคารมาโรงอาหารด้วยท่าทางเริงร่า

หลายคนคงนัดแนะกับเพื่อนๆ ว่าหลังกินข้าวเสร็จ จะวิ่งเล่นกันให้หนำใจ



2.


“การเรียนที่บ้านจะเป็นทางเลือกสุดท้าย”

เสียงหัวเราะคละเคล้ากับคำตอบของผู้อำนวยการโรงเรียน ครั้นเราถามว่าจะรับมือกับสถานการณ์ไม่แน่นอนของฝุ่นอย่างไรต่อไป – เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้มาจากความขบขัน แต่ดูเป็นความขำขื่นจากการย้อนนึกถึงภาพการเรียนออนไลน์ที่เคยเกิดขึ้นช่วงโควิดระบาดเมื่อไม่กี่ปีก่อน

เพราะโรคร้ายไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพเท่านั้น มันยังฝากรอยแผลแก่การศึกษาและพัฒนาการของเด็กเล็กหลายเรื่อง ที่คนใกล้ชิดอย่างครูสังเกตและสัมผัสได้

แรกสุด คือผลพิสูจน์ว่าการเรียนออนไลน์ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่มีผู้ปกครองว่างดูแลอย่างใกล้ชิดขณะเรียน (ช่วงที่ผ่านมา ผอ.โรงเรียนเล่าเสริมว่าไม่มีผู้ปกครองท่านใดขอให้ลูกหยุดอยู่บ้านเพื่อหลบฝุ่นเลย “เพราะอาจจะเต็มตื้นกับการดูแลเด็กในช่วงโควิดตลอดสองปี และไม่สะดวกกับการให้เด็กอยู่บ้านแล้วด้วย”)

การปล่อยให้เด็กอยู่หน้าจอเพียงลำพัง ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเด็กจะเข้าใจเนื้อหาการเรียน จะตั้งสมาธิจดจ่อกับครูได้นานแค่ไหน อีกทั้งยังไม่เข้ากับธรรมชาติของวัย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อำนวยการยังกล่าวอีกว่าสาเหตุใหญ่ที่ทำให้การเรียนออนไลน์ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร คือ “เด็กไทยไม่มีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็ง หรือไม่คุ้นชินกับการเรียนผ่านเทคโนโลยี”

ต่างกับตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง ผอ.กล่าวว่าเป็นประเทศที่เด็กมีวัฒนธรรมการอ่านแข็งแรง และคุ้นเคยกับการเรียนผ่านคอมพิวเตอร์มานาน จะเห็นได้จากโรงเรียนใหญ่ๆ หลายแห่งใช้วิธีลดจำนวนครูให้เหลือเท่าที่จำเป็น และนักเรียนได้เรียนผ่านคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนเสร็จก็กลับไปอ่านหนังสือเพิ่มเติมนอกเวลา  

อาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมสำคัญที่จะทำให้การเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพ คือผู้เรียนต้องกระตือรือร้นในการค้นคว้าหาความรู้และสามารถจดจ่อกับสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง



“ดังนั้นไม่ใช่ว่าพอจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ (การเรียนออนไลน์) ก็ปล่อยให้เด็กไปจัดการตัวเองให้ได้ เราต้องช่วยเสริมพื้นฐานการอ่าน ตอนนี้ทางโรงเรียนก็มีวิชาการอ่าน เพราะต่อไปเรารู้แล้วว่าอาจจะมีการหยุดเรียนเกิดขึ้น จากโรค จากสภาพอากาศมากขึ้น”  

อย่างไรก็ตาม ผลจากการหยุดยาวจากช่วงโควิดที่ผ่านมาไม่ได้มีเพียงแค่ความล้มเหลวในการเรียนออนไลน์ของเด็กส่วนใหญ่ แต่ยังทำให้นิสัยการเรียนของเด็กเปลี่ยนแปลงไป จากที่ผอ.โรงเรียนยอมรับว่าช่วงนั้นจำเป็นต้องลดเวลาเรียนลง จาก สามชั่วโมงติดกัน เป็นสองชั่วโมงแล้วหยุดพัก เพราะเด็กนั่งอยู่หน้าจอนานๆ ไม่ได้ ทำให้เมื่อกลับมาสู่การเรียนในโรงเรียนเต็มรูปแบบ เด็กกลับไม่มีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาตรงหน้าได้นานเท่าเดิม

แล้วยังมีการทำโครงงานร่วมกับเพื่อนๆ การบ้านงานประดิษฐ์ที่เด็กห่างหายไปนานจนหลายคนไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง รวมถึงพัฒนาการทางร่างกายที่ลดน้อยถอยลง เช่น กล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง

โควิดได้ทิ้งร่องรอยไว้ในตัวเด็กมากมาย – มากเสียจนผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวว่าผลกระทบของฝุ่นอาจดูเล็กน้อยลงไปในสายตาใครหลายคน

ทั้งที่จริงๆ แล้ว หากอากาศย่ำแย่จนถึงขีดสุด ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต เด็กๆ อาจต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน และลงเอยด้วยบาดแผลทางการเรียนรู้ไม่ต่างจากช่วงเกิดโรคระบาดก็เป็นได้

“เด็กสมัยนี้เป็นภูมิแพ้กันมากขึ้น จากสุขภาพการกินที่แย่ลง การเล่นกีฬาที่น้อยลง จากสภาพการใช้ชีวิตต่างๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ใช่ว่าแก้ได้ด้วยการใส่หน้ากากแล้วทุกอย่างจะจบ”

แม้ว่าโรงเรียนเอกชนแห่งนี้จะมีทุนทรัพย์มากพอจะจัดหาเครื่องวัดฝุ่น เครื่องปรับอากาศและเครื่องกรองอากาศมาติดไว้ในห้องเรียน แต่ผู้อำนวยการก็ยอมรับว่าสิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และไม่รู้ว่าจะหาเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นจากแหล่งไหน ในเมื่อทางโรงเรียนไม่สามารถขึ้นค่าเทอมได้ เกิดคำถามต่อว่าแล้วอีกหลายโรงเรียนที่ไม่มีทุนมากพอจะจัดหาเครื่องมือเหล่านี้ล่ะ จะเป็นอย่างไร?



ลำพังโครงการสร้างห้องเรียนปลอดฝุ่น ที่ กทม. ดำเนินการสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ แก่โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร ก็อาจช่วยบรรเทาความรุนแรงเฉพาะหน้าได้ส่วนหนึ่ง แต่ในระยะยาว ผอ.โรงเรียนท่านนี้ก็ชวนขบคิดถึงนโยบายปรับเปลี่ยนการศึกษาให้ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ปัญหา เหมาะสมกับบริบททางพื้นที่ และรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

“เราเคยเสนอหลายครั้งแล้วว่าอยากเปลี่ยนวันปิดเทอมให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของประเทศไทย ตัวอย่างเช่น โรงเรียนในอีสาน ช่วงหน้าแล้ง ไม่มีน้ำเพียงพอ ต้องใช้รถขนน้ำไปตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ ทำไมเราไม่สามารถหยุดให้ตรงกับช่วงที่ภูมิภาคนั้นมีปัญหา ต่างประเทศยังมีการหยุดช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) หรือคริสต์มาส เพราะเป็นช่วงหิมะตกหนัก ไปโรงเรียนแล้วมีอันตรายกับเด็ก ทำไมเราไม่ทำบ้าง”

อันที่จริง ข้อเสนอเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจให้โรงเรียนหรือหน่วยงานท้องถิ่นสามารถออกแบบแนวทางการศึกษาที่เหมาะสมกับเด็กในพื้นที่ของตนเอง ทบทวนกฎเกณฑ์ เนื้อหารายวิชา และนโยบายการวัดผลที่ล้าสมัย เพื่อปรับเปลี่ยนให้ทันยุค ตลอดจนร่วมกันปลูกฝังวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ดีแก่เด็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ไปกว่าปัญหาฝุ่น

แต่เพราะหลายอย่างยังคงเดิม – เช่นเดียวกับฝุ่น – เราจึงได้ยินคนหยิบยกขึ้นมาพูดซ้ำๆ ทุกครั้ง เมื่อเด็กในระบบการศึกษาไทยต้องเผชิญกับเรื่องไม่คาดฝัน



3.


แม้ว่าทางออกของคนกรุงเทพฯ ในห้วงเวลานี้ จะลงเอยด้วยการยอมอดทนให้ผ่านพ้นช่วงต้นปี แต่สำหรับพื้นที่อีกหลายจังหวัดอาจไม่ง่ายดายเช่นนั้น เพราะนอกเหนือไปจากฤดูฝุ่นในแต่ละแห่งจะยาวนานไม่เท่ากัน การสิ้นสุดของเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ อาจหมายถึงจุดเริ่มต้นของฤดูกาลมลพิษทางอากาศอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา

ตัวอย่างเช่น ช่วงหน้าร้อนและแล้งที่เป็นฤดูกาลไฟป่า มักตามมาด้วยปัญหาฝุ่นและควันไฟ ทำให้หลายโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียง – ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้าเพียงพอที่จะทำห้องเรียนติดแอร์ หรือเครื่องกรองอากาศ – ต้องงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตลอดจนหยุดการเรียนการสอน เพื่อปกป้องสุขภาพของนักเรียน

หรือกระทั่งในอีกหลายโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือก็ต้องเปิดเรียนตามปกติทั้งที่จมอยู่กับฝุ่นพิษแทบตลอดทั้งปี และไม่ได้รับความสนใจมากเท่าสถานการณ์ปัญหาในเมืองหลวง – อ้างอิงจากรายงานของ 101 Public Policy Think Tank (101 PUB) เมื่อปี 2023 ว่าถ้าวัดด้วยเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศจากข้อเสนอของกรีนพีซ ประเทศไทย จะพบว่า 5 จังหวัดใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และสระบุรี มีสัดส่วนวันอากาศดีตลอด 1 ปี ไม่ถึง 100 วัน

ยิ่งไปกว่านั้น คือเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศกว่า 138 เครื่องทั่วไทย มีมากกว่า 50 เครื่องติดตั้งในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งนั่นหมายความว่าคนกรุงเทพฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศได้มากกว่าคนต่างจังหวัด มิหนำซ้ำ การเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศในบางจังหวัด เช่น เชียงราย อุดรธานี ยังมีการตกหล่นไปกว่า 240 วัน จาก 365 วัน

ขณะที่รายงานอีกฉบับจาก 101 PUB ในปีเดียวกัน ระบุว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาที่อยู่คู่คนไทยตลอดปี โดยเมื่อคำนวณปริมาณฝุ่นเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ในปี 2020-2022 ของประเทศไทย จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าหลังฤดูกาลฝุ่นทุเลาลง (หรือห่างหายไปจากหน้าสื่อ) ปริมาณฝุ่นก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก หรือเกิน 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพ  

ดังนั้น ถึงที่สุดแล้ว นอกเหนือจากโจทย์เรื่องการศึกษายืดหยุ่นที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้โรงเรียนสามารถรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า การตระหนักถึงความร้ายแรงของมลพิษทางอากาศทั่วประเทศ และนโยบายการจัดการแหล่งต้นตอที่ต่อเนื่อง รวมถึงมีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นสิ่งที่รัฐจะละเลยและรีรอไม่ได้เช่นกัน

น่าเศร้าว่าที่ผ่านมา แม้ภาครัฐจะมีความพยายามดำเนินนโยบายลดการเผาทั้งในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน กระทั่งในพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 แต่จากการรวบรวมข้อมูลโดย Rocket Media Lab กลับเผยว่ามาตรการต่างๆ ยังไม่อาจลดฝุ่นได้สำเร็จตามเป้าหมาย

มันจึงพร้อมจะกลับมาใหม่ ในวันต่อไป ฤดูต่อไป ปีต่อๆ ไป

เรื่องของฝุ่นยังไม่เคยจากเราไปไหน




ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

References
1 สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568

MOST READ

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Education

25 Mar 2024

101 Academy เปิดแล้ว! สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

101 Academy หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101 เปิดรับสมัครรุ่นแรกแล้ว ลดสูงสุด 30%

กองบรรณาธิการ

25 Mar 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save