ยกเครื่องเซียงกง ปลุก ‘ทักษิณนิยม’ ชน ‘อนุรักษนิยม-เสรีนิยม’

มีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ก่อนพรรคเพื่อไทยจะยกเครื่องตัวเองตามแคมเปญที่เป็นมูฟใหญ่ทางการเมืองล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยควรถอดบทเรียนให้ตกผลึกว่าที่ผิดพลาดจนพา ‘แพทองธาร’ หัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี ‘ตายทางการเมือง’, ทักษิณ ผู้เป็นพ่อต้องกลับไปรับโทษในเรือนจำ และพรรคกำลังอยู่ในสถานการณ์คนในไหลออกไปสังกัดพรรคอื่นเป็นเพราะใครและเพราะอะไร

หากถอดบทเรียนไม่ถูก การยกเครื่องพรรคก็อาจผิดทิศทางจนเครื่องยนต์สะดุดอีกครั้ง

ในความเห็นผม หากจะหาผู้รับผิดชอบในแง่บุคคล ‘ทักษิณ’ ในฐานะผู้นำจิตวิญญาณและเป็นคนสำคัญสุดในการกำหนดยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนพรรค คือเบอร์หนึ่ง

ส่วน ‘แพทองธาร’ ที่เปรียบเสมือนกัปตันทีมคนปัจจุบัน เพราะเป็นทั้งหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี (ด้วยคุณสมบัติเพียงข้อเดียวคือเป็นลูกทักษิณ) คือเบอร์สอง

ความผิดพลาดหรือบันไดสู่ความล้มเหลวทางการเมืองของทักษิณและแพทองธารอยู่ในคำจำกัดความเดียวกัน ก่อนหน้านี้ผมเคยสรุปว่ามีสามขั้น แต่ในบทวิพากษ์ชิ้นนี้ขอสรุปใหม่เพิ่มอีกหนึ่งขั้น รวมเป็นสี่ขั้น ดังนี้

1. ตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว นี่คือจุดเริ่มต้นการสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองที่ทำให้ ‘ต้นทุนการทำงานในฐานะรัฐบาล’ สูงลิ่วจนยากจะทำให้คุ้มทุน เรื่องกำไรจึงแทบเป็นไปไม่ได้

เสมือนซื้อที่ดินขนาดใหญ่กลางทองหล่อ แล้วหวังจะปลูกผักอินทรีย์ขาย  

2. เหาะเกินลงกา ปฏิบัติการกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ คือคำขยายความที่ชัดเจนจนทำให้ทักษิณกลายเป็นระเบิดเวลา เช่นเดียวกับการตัดสินใจดันแพทองธารที่ดีกรีแค่นักฟุตบอลฝึกหัดในอคาเดมีขึ้นเป็นกัปตันทีมชั้นนำในระดับพรีเมียร์ลีก (นายกรัฐมนตรี) พาสชั้นเกินความสามารถหลายร้อยขั้น ยิ่งลงสนามนานเท่าไหร่ยิ่งทำลายศักยภาพทีม สุดท้ายเธอเลยกลายเป็นขีปนาวุธทำลายองคาพยพทั้งหมดจากกรณีคลิปเสียงฮุนเซน

3. ยโสโอหัง บันไดขั้นที่หนึ่งและสองผิดพลาดแล้วยังมองไม่เห็น ไม่ยอมรับ กลับก้าวต่ออีกขั้นด้วยท่าทียโสโอหัง เยาะเย้ย, เสียดสี, สบประมาท, ด้อยค่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ติติง ตั้งแต่หัวขบวนในพรรค (ทักษิณและแพทองธาร) ยันกองเชียร์  

โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘นางแบก’ ซึ่งหลายครั้งแสดงพฤติกรรมคล้ายคลึงกับ ‘ฮูลีแกน’ (อันธพาล)ในโลกฟุตบอล ต่างกันตรง ‘นางแบก’ ยังไม่ถึงขั้นใช้ความรุนแรงทางกายภาพ  แต่ใช้ความหยาบคายด้วยวาจาและพฤติกรรมกับฝ่ายที่เห็นต่างจากตัวเอง

4. ผิดหวังผลงาน สะสมความไม่พอใจจากประชาชนจนล้นเกินมาสามขั้น ถึงขั้นที่สี่เมื่อไม่มีผลงานระดับโบแดง แถมยังพ่วงด้วยโบดำจากกรณีคลิปเสียงฮุนเซน ทุกอย่างจึงผุพังอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สองปี ดับความมั่นฝันใหญ่ ‘8 ปีนิด – 8 ปีอิ๊งค์’ โดยสิ้นเชิง

ยกเครื่องเพื่อไทย = ยกเครื่องเซียงกง

ผมไม่แน่ใจว่าถึงที่สุดแล้วในพรรคเพื่อไทยถอดบทเรียนกันอย่างไร แต่ประเมินจากมูฟแคมเปญ ‘ยกเครื่องเพื่อไทย’ ผ่านการเปิดตัวขุนพลคนสำคัญของพรรค ตั้งแต่แม่ทัพ (แพทองธาร) ที่เพิ่งตายทางการเมือง ขุนพลแวดล้อมที่อยู่แถวหน้าล้วนเป็นคนเก่าและแก่ ลูกน้องพ่อหน้าเดิมๆ ที่พากันล้มเหลวจากสงครามครั้งล่าสุด (เช่น ภูมิธรรม, สุริยะ, พงษ์ศักดิ์, พงศ์เทพ ฯลฯ)

รวมทั้งในแง่ ‘สาร’ ซึ่งถ่ายทอดสู่สาธารณะยังคงหมกมุ่นแอบอิงกินบุญเก่าจากความสำเร็จในยุครัฐบาลไทยรักไทย ภายใต้การนำของอดีตนายกฯ ทักษิณ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว

ไม่มีความสำเร็จใดๆ ในปัจจุบันที่ประกาศอย่างภาคภูมิใจ ทั้งไม่สร้างความหวังใหม่ใดๆ ในอนาคตข้างหน้า นอกจากท่องคาถาจะทำให้ประชาชน ‘ปากท้องดี’  โดยไม่มีมิสชันที่ชัดเจน เป็นเพียง buzzword ติดปากจากแพทองธาร

กล่าวโดยสรุป การยกเครื่องเพื่อไทยครั้งนี้จึงไม่ใช่การยกเครื่องใหม่ 100% จากโรงงาน เป็นเพียง ‘การยกเครื่องเซียงกง’ เพื่อหวังผลเฉพาะหน้า ประคองอาการรถโดยสารเพื่อไทยให้พอใช้งานได้อีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็อีกหนึ่งรอบของรัฐบาลหน้าหลังการเลือกตั้งปี 2569

ปลุก ‘ทักษิณนิยม’ ชน ‘อนุรักษ์ฯ-เสรีฯ’

การยกเครื่องเซียงกงผ่านการชูแพทองธารเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปทั้งๆ ที่เธอตายทางการเมืองไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเชื่อในบารมีและฝีมือว่าเธอจะนำทัพได้ประสบผลสำเร็จหรือสร้างความยำเกรงแก่ฝ่ายตรงข้าม

กลยุทธ์อุ้มศพแพทองธาร เอาไม้มัดหลังให้ตั้งตรง แล้วนั่งเป็นอัศวินบนหลังม้า เป้าหมายใหญ่ไม่ใช่เพื่อข่มขวัญข้าศึก แต่เพื่อปลุกปลอบใจขุนศึกและไพร่ราบทหารเลวในกองทัพตัวเองให้เลิกห่อเหี่ยว กลับมาฮึกเหิมว่าทักษิณและครอบครัวชินวัตร จะยังไม่ยอมจำนนวางมือทางการเมือง พร้อมเปิดท่อน้ำเลี้ยงต่อลมหายใจพรรคเพื่อไทยต่อไป

ชื่อของอัศวินผู้พ่อ (ทักษิณ) แม้วันนี้ความน่ายำเกรงจะลดลง แต่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากหลายศึกระหว่างปี 2544-48 ยังมีมนต์ขลังมากพอ หล่อเลี้ยงความภักดีผู้ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้จำนวนมาก (อย่างน้อยก็มากกว่าทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาชน: อัศวินสีส้ม)

หากประเมินจากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เลือกตั้งปี 2566 ที่เพื่อไทยเคยได้ 10.9 ล้านเสียง หรือประมาณเกือบ 25% จากผู้มาใช้สิทธิ ขณะที่คะแนนนิด้าโพลล่าสุด เพื่อไทยได้ 13% อนุมานได้ว่า เพื่อไทยจะเหลือคะแนนเสียงราวครึ่งหนึ่งจากปี 2566

เทียบบัญญัติไตรยางค์หยาบๆ ปี 2566 เพื่อไทยได้ สส. รวม 141 คน เลือกตั้ง 2569 ถ้าตัวเลขโพลคงเดิม (แต่ยังมีปัจจัยสวิงได้อีกจนกว่าจะเลือกตั้งจริง) เพื่อไทยจะได้ สส. ราว 70 คน

ใกล้เคียงกับทำนายทางการเมืองจากนักวิเคราะห์ นักวิชาการ และผู้สังเกตการณ์หลายๆ คนที่ฟันธงล่วงหน้าแล้วว่า “ไม่สูญพันธุ์ แต่ต่ำร้อย”

ในยามที่โลกการเมืองไทยเข้าสู่สภาวะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ในวังวน ‘ปีกอนุรักษนิยมไม่ไว้ใจ (ข้ามขั้วมาแล้ว แต่ยังถูกเด็ดขั้วจนพ้นอำนาจรัฐ) ปีกประชาธิปไตยไม่เชื่อถือ (โหวตนายกฯ ใหม่ ส้มไม่เปลี่ยนใจโหวตให้)’ เพราะพฤติกรรมเดินสู่บันไดสี่ขั้นแห่งความล้มเหลว ตามที่กล่าวข้างต้น

ทางออกเดิมที่เคยคิดจะเป็น ‘อนุรักษนิยมใหม่’ เฉพาะหน้านี้จึงยังไม่ตอบโจทย์นัก

ทางออกที่เหมาะสมจึงคือ การกำหนดเกมใหม่ตามวิธีคิดของทักษิณที่เคยพูดบ่อยๆ ว่า “ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม”

และเกมใหม่เฉพาะหน้าเพื่อรับมือการเลือกตั้งปี 2569 คือ การสร้างจุดยืนใหม่-ขั้วใหม่ในชื่อ ‘ทักษิณนิยม’ ท้าชนกับทั้งปีกเสรีนิยมที่นำโดยพรรคประชาชน และปีกอนุรักษนิยมที่มีมากมายหลายพรรค แต่หัวขบวน ณ ขณะนี้คือพรรคภูมิใจไทย

แล้วอะไรคือความต่างของ ‘ทักษิณนิยม’ เมื่อเปรียบกับเสรีนิยมและอนุรักษนิยม สำหรับผมความต่างอยู่ที่ ‘ทักษิณนิยม’ มีสภาพไหลลื่นกว่าสองขั้ว เพราะทักษิณนิยมพร้อมเปลี่ยนจุดยืนหรือแปลงนโยบายให้เป็นได้ทั้งเสรีนิยมหรืออนุรักษนิยม ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นๆ เป็นคุณต่อ ‘ทักษิณนิยม’ หรือไม่

การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้อาจดูเหมือนไม่มีหลักการ ไม่เหมือนกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งจะวิจารณ์แบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะ ‘ทักษิณนิยม’ คือลัทธิ ไม่ใช่อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นลัทธิที่สาวกบูชาตัวบุคคลมากกว่าหลักการ คล้ายๆ ลัทธิทั่วไปที่บูชาศาสดาแบบ ‘ศาสดาถูกทุกเรื่อง’

เป้าหมายของ ‘ทักษิณนิยม’ ไม่ได้หวังว่าจะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยต้องไม่หลุดจากพรรคอันดับสาม เพื่อเป้าหมายใหญ่คือได้ร่วมเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะหัวขบวนขั้วไหนชนะที่หนึ่ง

การตั้งเป้าหมายเช่นนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เพราะนอกจากฐานแฟนพันธุ์แท้ ‘ทักษิณนิยม’ จะเหนียวแน่น แบรนด์ลอยัลตี้สูง (อาจไม่ต่างอะไรกับชาวไทยที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รถยนต์โตโยต้า)

ในห้วงก่อนวันเลือกตั้งราวหนึ่งสัปดาห์สุดท้าย ทักษิณอาจจะได้รับการพักโทษ (เงื่อนไขต้องติดคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน) ซึ่งจะเป็นจังหวะไคลแมกซ์ที่ช่วยดึงคะแนนสงสารให้กับเพื่อไทยเพิ่มขึ้น

ส่วนเหตุผลจำเป็นต้องได้ร่วมรัฐบาลก็เพื่อเป้าหมายสุดท้าย การลงจากหลังเสือโดยไม่ถูกเสือกัด (วางมือทางการเมือง) ของทักษิณและครอบครัวชินวัตร

ด้วยวัยที่ใกล้ 80 เข้าไปทุกทีของทักษิณ ผ่านการขึ้นสุดลงสุดในชีวิตการเมืองมาแล้วหลายรอบ คุณูปการที่สร้างไว้ก็มีมากหลายกว่านักการเมืองไทยทั่วๆ ไป และความไร้แพสชันทางการเมืองของทายาท  

หลังเลือกตั้งปี 2569 และได้ร่วมรัฐบาลใหม่จึงสมควรแก่เวลาที่จะปิดฉากเส้นทาง ‘ตาดูดาว เท้าติดดิน’ โดยสมบูรณ์

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save