‘แรร์เอิร์ธเมียนมา’ หมากเกมสงครามกลางเมือง-สงครามการค้าโลก บนทุกข์โศกชาวบ้าน

ตั้งแต่ปลายปี 2567 ชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ต่างสังเกตเห็นสีของแม่น้ำที่กลายเป็นสีขุ่นข้นด้วยดินโคลนจนคล้ายช็อกโกแล็ต จากที่เคยใสสะอาดมาตลอด ก่อนที่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ทางการไทยจึงได้ทำการนำคุณภาพไปตรวจสอบและพบว่าน้ำในแม่น้ำเหล่านี้มีโลหะหนักหลายชนิดเจือปน โดยเฉพาะตะกั่วและสารหนู ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์และระบบนิเวศโดยรอบ

การค้นพบสารพิษในแม่น้ำเหล่านี้เองได้กลายเป็นข่าวใหญ่ ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดผวาไม่กล้านำตัวสัมผัสน้ำ หรือนำน้ำมาใช้อุปโภคบริโภค และประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหมือนเคย ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้าเดินทางไปเยือน จนส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวบ้านริมน้ำอย่างมหาศาล

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้จึงนับว่าน่าสลดหดหู่ และซ้ำร้ายกว่านั้นคือยังดูเหมือนว่าเราอาจไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะต้นเหตุของสารพิษในแม่น้ำเหล่านี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทย หากแต่ไหลข้ามพรมแดนมาจากต้นน้ำที่อยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา และสารพิษที่ว่านั้นก็มาจากกิจการเหมืองแร่ต่างๆ ใกล้แหล่งน้ำที่ขยายตัวอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มแร่ชนิดหนึ่งที่พบว่ากำลังมีกันขุดกันมากนั้นก็คือแร่หายากหรือ ‘แรร์เอิร์ธ’ (rare earth)

ภาพ 1: แม่น้ำกก ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีสีขุ่นข้นและค้นพบว่ามีสารพิษ
ภาพโดย ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ / The101.world

แรร์เอิร์ธคือกลุ่มแร่ที่กำลังเป็นที่ต้องการยิ่งของตลาดโลก เพราะถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของนวัตกรรมมากมาย ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ ขีปนาวุธ ยานอวกาศ ฯลฯ ทำให้แรร์เอิร์ธถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทองคำสีดำแห่งศตวรรษที่ 21’ และในห้วงเวลานี้ที่โลกเข้าสู่สงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แรร์เอิร์ธจึงกลายเป็นของล้ำค่าที่เป็นที่หมายปองของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจต่างๆ

แน่นอนว่าประเทศไหนที่ถูกพบว่ามีแรร์เอิร์ธอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นั่นก็ย่อมเนื้อหอมขึ้นมาทันที และหนึ่งในนั้นก็หนีไม่พ้นเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของประเทศ แรร์เอิร์ธที่นี่จึงถูกจับต้องอย่างตาเป็นมันในหมู่ประเทศยักษ์ใหญ่ และชาติแรกที่หมายปองแรร์เอิร์ธจากเมียนมาก็หนีไม่พ้นจีน ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน

ที่จริงแล้ว จีนเองก็มีแรร์เอิร์ธในประเทศตัวเองอยู่มาก และเคยมีการทำเหมืองขุดกันอย่างแพร่หลาย และขณะเดียวกันก็ยังมีภูมิปัญญาและเทคโนโลยีในการแปรรูปแรร์เอิร์ธอย่างที่ไม่มีชาติไหนทัดเทียม จนทำให้จีนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผูกขาดตลาดแรร์เอิร์ธโลก ด้วยสัดส่วนการผลิตและแปรรูปที่คิดเป็นถึงราว 85-90% มาต่อเนื่องหลายปี ซึ่งนี่ก็ส่งผลให้จีนสามารถใช้แรร์เอิร์ธขึ้นมาเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจต่อรองบนสนามเศรษฐกิจการเมืองโลกอยู่หลายครั้ง เช่นล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ที่จีนเพิ่งประกาศจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธ เพื่อตอบโต้การประกาศนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ดี การทำเหมืองแรร์เอิร์ธก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างความเดือดร้อนต่อชาวบ้านในหลายพื้นที่ของประเทศจีน ทำให้ในช่วงปี 2016 ทางการจีนต้องเข้ามาจัดระเบียบอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธอย่างจริงจัง จนส่งผลให้เหมืองแรร์เอิร์ธต้องปิดตัวลงไปมาก แต่ในเมื่อตลาดโลกยังคงต้องการแรร์เอิร์ธ และจีนเองก็ยังจำเป็นต้องใช้แรร์เอิร์ธเป็นอาวุธต่อรองบนเวทีโลก จีนจึงต้องมองหาแหล่งแรร์เอิร์ธใหม่ในต่างประเทศเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศที่หายไป แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจึงเป็นเมียนมาที่มีกลุ่มแร่นี้จำนวนมาก และด้วยความที่เมียนมามีพรมแดนแนบชิดกับจีน ทำให้การขนส่งแรร์เอิร์ธที่ขุดจากเมียนมาเพื่อกลับไปแปรรูปในประเทศจีนนั้นย่อมสะดวกกว่าประเทศอื่นๆ  

จุดศูนย์กลางใหญ่แห่งหนึ่งที่จีนเข้ามาลงทุนทำเหมืองขุดแรร์เอิร์ธคือเมืองชีปเว (Chipwe) และเมืองปังวา (Pangwa) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งอยู่ติดกับจีนทั้งสองเมือง แม้ด้านหนึ่งการเข้ามาลงทุนของจีนในเรื่องนี้ก็อาจเป็นโอกาสเศรษฐกิจของพื้นที่ แต่อีกด้าน สิ่งที่ถูกนำเข้ามาด้วยก็คือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านอย่างรุนแรงคล้ายที่เกิดในจีน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดินโคลนถล่ม มลพิษที่ปนเปื้อนแหล่งน้ำและพืชผลการเกษตร ไปจนถึงสรรพสัตว์ที่ล้มตาย และสุขภาพมนุษย์ที่ย่ำแย่ลง

ภาพ 2: ที่ตั้งเหมืองแรร์เอิร์ธ (จุดสีเหลือง) ในเมืองชีปเว (Chipwe) และปังวา (Pangwa) ของรัฐคะฉิ่น (ข้อมูลอัปเดตวันที่ 28 พฤษภาคม 2025)
ภาพโดย ISP Myanmar

ในปี 2018 รัฐบาลพลเรือนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่นำโดยออง ซาน ซูจี จึงพยายามควบคุมจัดระเบียบการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ โดยมีการออกคำสั่งให้บริษัทจีนยุติการทำเหมืองในประเทศ และห้ามการส่งออกแรร์เอิร์ธไปยังจีน และขณะเดียวกันก็ยังส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่มีการทำเหมือง

แต่เพียงไม่กี่ปีต่อมา จุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาล NLD ในปี 2021 และนั่นก็เป็นจุดหักเหที่ทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมาขยายตัวขึ้นจนถึงขีดสุด ด้วยเหตุผลสำคัญหนึ่งคือการที่รัฐบาลคณะรัฐประหารของเมียนมาต้องเสียการควบคุมอำนาจในหลายพื้นที่จากการต่อต้านอย่างแข็งขันของกองกำลังประชาชนและกองกำลังชาติพันธุ์ กลายเป็นสุญญากาศทางอำนาจที่ทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะไร้ขื่อแป จึงเปิดทางให้กองกำลังต่างๆ สามารถดำเนินกิจการเหมืองแรร์เอิร์ธได้อย่างสะดวก โดยไม่มีการควบคุมตรวจสอบเหมืองอย่างในสมัยที่รัฐบาลพลเรือนยังมีอำนาจเข้มแข็ง

แม้จะรู้ดีว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธสร้างปัญหาทางสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับกลุ่มกองกำลังต่างๆ พวกเขาก็มองไม่เห็นทางเลือกอื่นมากนัก ในภาวะที่จำเป็นต้องหาเงินทุนหล่อเลี้ยงในการทำสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเพื่อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เลี้ยงดูกำลังพล หรือดูแลชาวบ้านในพื้นที่ที่ตนครอบครอง ความจำเป็นในการอยู่รอดทางเศรษฐกิจกลางภาวะสงครามนี้เองที่ทำให้อุตสาหกรรมสีดำเทาต่างๆ ซึ่งสร้างปัญหาสังคมข้ามพรมแดน เฟื่องฟูขึ้นมาในหลายพื้นที่ของเมียนมาช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสแกมเซนเตอร์ การค้ายาเสพติด และแน่นอนว่ารวมถึงการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ

แต่ก็ไม่ได้มีแค่กองกำลังชาติพันธุ์เท่านั้นที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากแรร์เอิร์ธ เพราะความจริงก็มีการวิเคราะห์ว่าฝั่งรัฐบาลทหารเมียนมาเองก็อาจรู้เห็นเป็นใจกับกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ควบคุมกิจการแรร์เอิร์ธอย่างลับๆ เพราะในบางพื้นที่นั้น กองกำลังชาติพันธุ์ที่ครอบครองพื้นที่เหมืองแรร์เอิร์ธก็คือฝั่งที่สวามิภักดิ์ต่อกองทัพพม่า (ตัดมาดอว์) เช่นในพื้นที่เมืองชีปเวและปังวาของรัฐคะฉิ่นเอง ที่เดิมทีนั้นอยู่ในการควบคุมของกองกำลังคะฉิ่นประชาธิปไตยใหม่ (NDA-K) ซึ่งผันตัวมาเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ขึ้นตรงต่อตัดมาดอว์ จึงเชื่อว่ารัฐบาลทหารและตัดมาดอว์ต้องย่อมได้ประโยชน์จากเหมืองแรร์เอิร์ธในพื้นที่นี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเมืองในประเทศคือปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของเมียนมาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และขณะเดียวกันปัจจัยภายนอกอย่างความต้องการของตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น บวกกับชาติมหาอำนาจอย่างจีนเองที่ก็กำลังต้องการอาวุธต่อรองในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังเข้ามาเป็นตัวเสริมแรง โดยสถาบันเพื่อยุทธศาสตร์และนโยบาย-เมียนมา (ISP Myanmar) พบว่า นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2021 ยอดการส่งออกแรร์เอิร์ธจากเมียนมาไปยังจีนพุ่งสูงขึ้นถึงประมาณ 5 เท่าตัว และเมียนมาเองก็กลายเป็นแหล่งแรร์เอิร์ธที่จีนนำเข้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ถ้าเจาะไปเฉพาะรัฐคะฉิ่นที่เป็นดาวเด่นของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธในเมียนมานั้น ISP Myanmar ชี้ว่าจำนวนเหมืองที่นี่ได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าตัวนับตั้งแต่รัฐประหาร 2021 และที่สุดแล้วรัฐคะฉิ่นที่มีแร่ทรงพลังอย่างแรร์เอิร์ธในครอบครองเป็นจำนวนมหาศาลนี้ ก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดร้อนของการขับเคี่ยวทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก

หลังจากที่ NDA-K ที่สวามิภักดิ์ต่อตัดมาดอว์ครอบครองและฉวยประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นอยู่นั้น จุดเปลี่ยนก็มาถึงในเดือนตุลาคม 2024 เมื่อกองกำลังคะฉิ่นอิสระ (KIA) ภายใต้องค์กรอิสรภาพคะฉิ่น (KIO) ซึ่งอยู่ฝั่งต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ได้รุกคืบยึดครองพื้นที่ของ NDA-K รวมถึงแหล่งแรร์เอิร์ธอย่างเมืองชีปเวและปังวา

เหตุการณ์เป็นเสมือนตัวเปลี่ยนเกมดุลอำนาจครั้งใหญ่ โดยทันทีที่ KIA เข้ายึดครองแหล่งแรร์เอิร์ธสำเร็จ การส่งออกแรร์เอิร์ธไปยังจีนจึงชะงักไประยะหนึ่ง ก่อนที่ KIA จะเริ่มกำหนดมาตรการภาษีและราคาแรร์เอิร์ธขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับจีน และบีบให้จีนต้องยอมมาเจรจากับ KIA ในประเด็นต่างๆ ในที่สุด

แต่ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่ยอมให้ KIA ใช้แรร์เอิร์ธเป็นไพ่ต่อรองอยู่ฝ่ายเดียว เพราะจีนรู้ดีว่าอย่างไรเสีย ถ้าจีนไม่สังฆกรรมกับ KIA เพื่อนำเข้าแรร์เอิร์ธจากรัฐคะฉิ่นต่อ กิจการเหมืองแรร์เอิร์ธก็จะไร้ค่าทันที และ KIA ก็จะไม่ได้อะไร โดยรายงานพิเศษของสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ระบุว่า ครั้งหนึ่งจีนเคยขู่ KIA ว่าจะหยุดซื้อแร่ หาก KIA ไม่หยุดปฏิบัติการรุกคืบยึดเมืองพะโม เมืองยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐคะฉิ่นที่กำลังอยู่ในการครอบครองของฝ่ายตัดมาดอว์ เพราะในตอนนั้นจีนก็ต้องการให้สถานการณ์ในพื้นที่สงบเพื่อจะทำการค้าต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันฝั่ง KIA นั้นก็รู้ว่าถึงอย่างไร จีนก็อาจตัดขาดแรร์เอิร์ธในพื้นที่ตรงนี้ได้ ทำให้เกมการต่อรองระหว่าง KIA และจีน เป็นไปอย่างเข้มข้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ขณะที่จีนต้องมาปวดหัวในการดีลกับ KIA นั้น จีนจึงเริ่มต้องหันไปพึ่งแหล่งแรร์เอิร์ธใหม่ๆ และนั่นก็ไม่ใช่พื้นที่อื่นไกล แต่เป็นรัฐฉานที่อยู่ติดกับรัฐคะฉิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) และพื้นที่ของกองกำลังอื่นที่แนบแน่นอยู่กับว้า

พื้นที่ของว้านั้นฉีกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คล้ายเป็นเมืองอกแตก โดยส่วนแรกอยู่ทางตอนเหนือติดกับประเทศจีน และอีกส่วนอยู่ทางตอนใต้ติดชายแดนไทย โดยทั้งสองส่วนนี้ได้เห็นการขยายตัวของการทำกิจการเหมืองแรร์เอิร์ธอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา (ดูภาพ 3) และในส่วนตอนใต้นั้นเองที่เป็นต้นเหตุของสารพิษในแม่น้ำต่างๆ ที่ไหลมาสู่ประเทศไทย

ภาพ 3: ที่ตั้งของเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน (จุดสีแดง) ในพื้นที่ใต้การควบคุมของกองกำลังว้า (UWSA) และพันธมิตรอย่างกองทัพเมืองลา (NDAA) (ข้อมูลอัปเดตวันที่ 25 สิงหาคม 2025)
ภาพโดย: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่

UWSA นั้นมีความแนบชิดกับจีนอยู่เป็นทุนเดิม จนมักถูกเรียกว่าเป็นเสมือนตัวแทนของจีนในเมียนมา ขณะเดียวกันพื้นที่ของว้าก็เป็นเขตปกครองตนเองที่ปกติแล้วรัฐบาลกลางและตัดมาดอว์ไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามได้มากนัก การดีลกับ UWSA ในเรื่องแรร์เอิร์ธจึงอาจไม่ยากสำหรับจีนเมื่อเทียบกับ KIA โดยในกรณีของรัฐว้านั้น UWSA มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองการทำเหมืองในพื้นที่ ด้วยการส่งกำลังพลลาดตระเวนดูแลความปลอดภัย เพื่อแลกผลประโยชน์ที่จะได้จากจีน ขณะที่ทางฝั่งตอนใต้ที่ติดกับชายแดนไทยนั้น มีความแตกต่างจากตอนเหนือเล็กน้อยตรงที่ตัดมาดอว์ยังคงมีบทบาทอยู่ ทำให้การขนส่งแร่ในพื้นที่ต้องผ่านด่านตรวจต่างๆ ของกองทัพพม่า และยังเชื่อว่ารัฐบาลทหารเมียนมาเองก็อนุญาตและมีส่วนร่วมในการทำกิจการเหมืองในพื้นที่ส่วนนี้ด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวละครที่เข้าไปพัวพันในแหล่งแรร์เอิร์ธของรัฐว้าโดยรวมก็ไม่ได้ซับซ้อนเมื่อเทียบกับในรัฐคะฉิ่น ที่มีทั้งกองกำลังชาติพันธุ์ต่างขั้วกัน ตัดมาดอว์ และตัวละครภายนอกอย่างจีน และเมื่อเวลาล่วงผ่านมาเรื่อยๆ สมรภูมิแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นก็กำลังพัลวันยิ่งขึ้นไปอีก เมื่ออยู่ๆ ก็มีตัวละครใหม่ต่างชาติรายใหม่จ้องจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งแรร์เอิร์ธ ซึ่งก็คงเดาได้ไม่ยากว่าก็คือคู่ปรับของจีน อย่างสหรัฐอเมริกา ที่กำลังพยายามอย่างหนักในการลดการพึ่งพาแรร์เอิร์ธจากจีน และมองหาแหล่งแรร์เอิร์ธในประเทศอื่น เช่น เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลยูเครนเพื่อให้สหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งแรร์เอิร์ธ แลกกับการให้ความสนับสนุนภายใต้สงครามต่อรัสเซีย และดูเหมือนว่าตอนนี้สหรัฐฯ ก็กำลังสนใจทำดีลกับเมียนมาเพื่อจะเข้าถึงแรร์เอิร์ธเหมือนกัน

ภาพ 4: ภาพถ่ายดาวเทียมของเหมืองแรร์เอิร์ธแห่งหนึ่งในเมืองยอน ใต้การควบคุมของ UWSA ในรัฐฉาน ซึ่งมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ตั้งข้อสังเกตจากลักษณะของเหมือง ว่าอาจใช้กระบวนการคล้ายเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น ซึ่งส่งผลทำลายสิ่งแวดล้อม
ภาพโดย: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่

29 กรกฎาคมที่ผ่านมา รอยเตอร์สได้เผยแพร่รายงานพิเศษระบุว่า รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังรับฟังข้อเสนอหลายๆ แนวทางเพื่อที่จะเข้าถึงแรร์เอิร์ธในเมียนมา โดยข้อเสนอนั้นมีอยู่สองแนวทางหลักๆ

แนวทางแรกคือรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้าไปเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อให้รัฐบาลทหารยอมเจรจาสันติภาพกับ KIA เพื่อที่ว่าเมื่อสงครามสงบ สหรัฐฯ จะได้มีโอกาสเข้าถึงแรร์เอิร์ธได้มากขึ้น โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจให้แรงจูงใจต่อรัฐบาลทหารด้วยการลดภาษีสินค้านำเข้า หรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลทหาร แต่การใช้แนวทางนี้ก็จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากจะเป็นเสมือนการให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารเมียนมา และยังอาจช่วยสร้างความได้เปรียบให้กองทัพเมียนมาเหนือฝ่ายต่อต้านด้วย

อีกแนวทางหนึ่งคือให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าไปเจรจากับ KIA โดยตรง โดยในรายงานของรอยเตอร์สนั้นได้ระบุว่า KIA ก็กำลังมีความสนใจที่จะดีลกับสหรัฐฯ ในเรื่องแรร์เอิร์ธ เพราะกำลังเหนื่อยหน่ายในการดีลกับจีน และขณะเดียวกันก็มีนักวิเคราะห์ที่สนับสนุนแนวทางนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีแรงจูงใจในการหนุนฝ่ายต่อต้านในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารต่อไป

หากอ้างอิงจากรายงานของรอยเตอร์ส ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจกำลังดำเนินการอยู่ทั้งสองทาง เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ ได้ยกเลิกการคว่ำบาตรบุคคลและบริษัทในเครือข่ายรัฐบาลทหารไปแล้วบางส่วน ซึ่งก็สร้างความกังวลให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารไม่น้อย และยังถูกมองว่านี่อาจเป็นความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะดีลกับรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งน่าจะมีประเด็นแรร์เอิร์ธเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ดี ทางการสหรัฐฯ ได้ออกมาปฏิเสธในภายหลังว่าการถอนการคว่ำบาตรบางส่วนนี้ไม่ได้สะท้อนว่าจะเปลี่ยนท่าทีต่อสถานการณ์ในเมียนมาแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจนถึงเหตุผลในการยกเลิกการคว่ำบาตร และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ข่าวนี้ออกมานั้น รอยเตอร์สก็รายงานว่าทางการสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยกับกลุ่ม KIA มาแล้วหลายครั้งในเรื่องแรร์เอิร์ธ แต่ไม่ได้มีการระบุรายละเอียดว่าพูดคุยกันอย่างไร

นอกจากสหรัฐฯ และจีนแล้ว อินเดียก็เป็นอีกชาติมหาอำนาจที่กำลังสนใจแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น เพื่อจะลดการพึ่งพาแรร์เอิร์ธจากจีน ท่ามกลางสถานการณ์ที่จีนกำลังจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธ โดยรายงานพิเศษของรอยเตอร์สอีกชิ้นหนึ่งระบุว่า ทางการอินเดียได้ติดต่อไปยังกลุ่ม KIA เพื่อเข้าไปสำรวจและเก็บตัวอย่างแร่ และขณะเดียวกัน นายกฯ อินเดีย นเรนทรา โมดี ก็เคยออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองว่าเคยมีการหารือเรื่องแรร์เอิร์ธกับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา มิน อ่องหล่าย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอื่นใดมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามการที่สหรัฐฯ และอินเดีย จะแทรกตัวเข้ามาชิงส่วนแบ่งแรร์เอิร์ธในเมียนมาจากจีนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยปัญหาหลักในเชิงโลจิสติกส์ อย่างในกรณีอินเดียนั้น แม้จะมีอาณาบริเวณติดต่อกับรัฐคะฉิ่น แต่การจะขนส่งแรร์เอิร์ธจากเมืองชีปเวและปังวาไปยังอินเดียก็ต้องผ่านภูมิประเทศที่สลับซับซ้อน ขาดโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่ดีพอ รวมถึงว่าหลายจุดก็ยังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบอยู่ ซึ่งต่างจากกรณีของจีนที่อยู่ประชิดติดเมืองชีปเวและปังวา (ดูภาพ 5) รวมทั้งยังมีถนนที่เชื่อมตรงระหว่างกัน เพราะฉะนั้นในกรณีของสหรัฐฯ ที่อยู่ห่างออกไปถึงอีกซีกโลกหนึ่งจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง หรือต่อให้อินเดียและสหรัฐฯ จะสามารถหาทางออกของปัญหาโลจิสติกส์ได้ แต่ก็ยังต้องเจออุปสรรคเรื่องการนำแรร์เอิร์ธมาแปรรูป ซึ่งจีนก็ยังคงผูกขาดเทคโนโลยีนี้อยู่

ภาพ 5: ที่ตั้งของเมืองชีปเว (Chipwe) และปังวา (Pangwa) ในรัฐคะฉิ่น (สีแดง) ที่มีอาณาบริเวณอยู่ใกล้จีนมากกว่าอินเดีย
ภาพโดย: ISP Myanmar

ที่สุดแล้ว ทรัพยากรแรร์เอิร์ธกำลังทำให้เมียนมาก้าวขึ้นมาเป็นจุดร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ และดึงเอาตัวละครต่างๆ เข้ามาพัวพัน ทั้งตัวละครในประเทศ อย่างกองทัพเมียนมา และกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ต้องการมันเพื่อความอยู่รอดและการสร้างอำนาจต่อรองในช่วงสงครามกลางเมือง ไปจนถึงตัวละครนอกประเทศ ที่ก็พยายามยื้อแย่งมันเพื่ออำนาจในการแข่งขันท่ามกลางสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีโลก ทำให้อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธในเมียนมามีแต่แนวโน้มที่จะขยายตัว

แต่ไม่ว่าตัวละครฝ่ายไหนจะสามารถเอาชนะแย่งชิงผลประโยชน์จากแรร์เอิร์ธไว้ได้ในครอบครองก็แล้วแต่ คนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์แน่ๆ คือชาวบ้านทั้งในเมียนมาและไทย ที่ต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ธ ซึ่งส่งผลกระทบถึงวิถีชีวิตและปากท้องอย่างสาหัส และสำหรับคนไทยนั้น เรื่องนี้คงสะท้อนให้เห็นอย่างลึกซึ้งว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกบ้านเรา ทั้งสงครามกลางเมืองในเพื่อนบ้าน หรือการแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากแต่สามารถส่งผลกระทบถึงชีวิตของคนในบ้านเราได้อย่างถึงรากถึงโคน


ฟังเนื้อหาในรูปแบบรายการพอดคาสต์ที่ ASEAN บ่มีไกด์ EP.46: ศึกชิงแรร์เอิร์ธพม่า ปัญหาที่ลามถึงคนไทย


อ่านเพิ่มเติม

https://www.the101.world/toxic-river-chiangmai-chiangrai/

https://www.the101.world/transition-minerals/

https://www.stimson.org/2025/rare-earths-and-realpolitik-future-of-mediation-myanmar/

https://www.csis.org/analysis/dangerous-allure-myanmars-rare-earths

https://thediplomat.com/2025/05/northern-myanmar-poses-a-challenge-to-chinas-critical-minerals-strategy

https://www.csis.org/analysis/dangerous-allure-myanmars-rare-earths

https://www.irrawaddy.com/opinion/commentary/in-rare-earth-talks-another-troubling-sign-of-a-us-pivot-on-myanmar.html

https://globalwitness.org/en/campaigns/transition-minerals/fuelling-the-future-poisoning-the-present-myanmars-rare-earth-boom

https://ispmyanmar.com/unearthing-the-cost-rare-earth-mining-in-myanmars-war-torn-regions/

https://www.reuters.com/world/china/india-explores-rare-earth-deal-with-myanmar-rebels-after-chinese-curbs-2025-09-10/

https://www.reuters.com/world/china/trump-team-hears-pitches-access-myanmars-rare-earths-2025-07-28

https://www.reuters.com/world/china/china-risks-global-heavy-rare-earth-supply-stop-myanmar-rebel-victory-2025-07-08

https://www.reuters.com/world/china/china-backed-militia-secures-control-new-rare-earth-mines-myanmar-2025-06-12/

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/myanmar-rebels-disrupt-china-rare-earth-trade-sparking-regional-scramble-2025-03-28

https://shanhumanrights.org/wp-content/uploads/2025/08/Mong-La-rare-earth-mining-Thai.pdf

https://shanhumanrights.org/wp-content/uploads/2025/05/Satellite-imagery-indicates-rare-earth-mining-THAI-2.pdf?fbclid=IwY2xjawKb1LVleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFoRjZGc2JGQ3BON1VQcmo0AR4H5-kbodmJ21bjlQj0jYIA3HHjhx_dbHauI68WtLvW2XwtoObNmsjx-it5jA_aem_TJBeBVj-m5j5yiIA3s7J9Q

https://ispmyanmar.com/post-coup-surge-in-myanmars-rare-earth-exports-to-china/

https://ispmyanmar.com/unearthing-the-cost-rare-earth-mining-in-myanmars-war-torn-regions/

https://ispmyanmar.com/post-coup-surge-in-myanmars-rare-earth-exports-to-china/

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save