ปรากฏการณ์ทางการเมืองในอเมริกาขณะนี้กำลังเบี่ยงเบนไปจากพล็อตเรื่องของประวัติศาสตร์อเมริกาที่เรารู้จักและเรียนมาโดยสิ้นเชิง นั่นคือหลักการและหนทางที่สรุปในวลีว่า ‘ขัดแย้งและร่วมกัน’ (conflict and consensus) หมายความว่าที่ผ่านมาระบบการเมืองอเมริกันดำเนินไปท่ามกลางความขัดแย้งนานัปการ แต่ก็มักยุติลงด้วยการประนีประนอมที่นำไปสู่สมานฉันท์ระหว่างพรรคและกลุ่มการเมืองต่างๆ ให้เข้ามาอยู่ภายใต้กรอบโครงของความเป็นอเมริกันที่แม้จะขัดกันแต่ก็ร่วมกันเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่มีการหยุดชะงักหรือไปแบบ ‘ก้าวหนึ่งก้าว แต่ถอยหลังสองก้าว’ แบบไทยโมเดล
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจ้องมองการเมืองอเมริกันด้วยสายตาที่ฉงนสนเท่ห์ กึ่งงุนงงและประหลาดใจ บ้างคิดว่ามันคงเป็นอุบัติเหตุ เดี๋ยวสถานการณ์ที่เพี้ยนก็คงกลับหายมาเหมือนเดิม เพราะคนทั้งโลกมีภาพจำต่อภาพลักษณ์ความเป็นอเมริกันมากกว่าประเทศอื่นใด ทั้งนี้ด้วยมูลเหตุใหญ่คือการที่สหรัฐฯ เปิดรับคนนอกให้เข้ามาทำอะไรที่ต้องการได้อย่างกว้างและเสรีกว่าประเทศใดๆ ในโลก ประกอบกับระบบทุนนิยมอเมริกาที่พัฒนาเติบใหญ่จนรองรับคนมาทำงานได้อย่างไม่อั้น
ที่ผ่านมาอเมริกาเป็นเสมือนแดนเนรมิตของคนที่ต้องการความหวังและอนาคตที่ใหม่กว่า
ทว่าบัดนี้ภาวะลมหวนกำลังก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างที่คิดไม่ถึง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ามาเบรกแล้วหันหัวระบบการเมืองอเมริกันแบบคลาสสิกให้ไปสู่ทิศทางใหม่ แต่สำหรับหลายประเทศในโลกนั่นคือทิศทางเก่า โดยเฉพาะในประเทศที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง นั่นคือระบบอำนาจนิยม
ทรัมป์คือนายทุนอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ ผู้กำลังสร้างประวัติศาสตร์อเมริกาใหม่ แต่จะเดินไปในครรลองเก่า เป็นความย้อนแย้งที่ท้าทายต่อระบบและระบอบอเมริกันอย่างรุนแรงและหนักหน่วงกว่าครั้งใดๆ
ผมเฝ้ามองและติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยความตื่นเต้นและผูกพันกับความเป็นอเมริกันที่เคยร่ำเรียนและรู้จักมาว่า ในที่สุดพายุแห่งวิกฤตการณ์นี้จะคลี่คลายและยุติลงในรูปแบบอะไร ผมรวบรวมเหตุการณ์และการกระทำของทรัมป์ให้เป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์และมองเห็นพัฒนาการของความขัดแย้ง หัวข้อที่สนใจคือว่าด้วยการเมืองของระบบประชาธิปไตย ได้แก่ วิธีการและความคิดของทรัมป์และคณะว่ามีอะไรและทำอย่างไรเพื่อผลอะไร ในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามและประชาชนมีปฏิกิริยาอย่างไรและทำอย่างไรในการรักษาระบบประชาธิปไตยที่พวกเขาเคยใช้มา
นับแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง โดนัลด์ ทรัมป์ดำเนินนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างมีเป้าหมายและรู้ว่ามันจะสร้างผลลัพธ์อะไรให้แก่เขา ไม่ว่าการระดมออกคำสั่งประธานาธิบดีอันเป็นอภิสิทธิ์ของฝ่ายบริหารในการจัดการและเปลี่ยนแปลงระบบรัฐการและการจัดตั้งองค์กรปฏิบัติงานต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขาสั่งให้ยุบเลิกหรือยุติการทำงานของสำนักงานที่เขาอ้างว่าไม่ทำตามนโยบายและอุดมการณ์ของรัฐบาลเขา นั่นคือสิ่งที่ปรากฏออกมาในคำย่อว่า DEI=Diversity Equity Inclusive แปลว่านโยบายและการปฏิบัติที่ทำไปตามแบบความคิดเดิมนั้นคือแบบเสรีนิยม เคารพความหลากหลายแตกต่างและความเท่าเทียม ทั้งหมดนี้ทำให้อเมริกาอ่อนแอ ไม่เป็นชายเต็มตัว หน่วยงานสำคัญเช่น USAID รวมถึงมหาวิทยาลัยดังที่ใช้นโยบายเสรีนิยมถูกตัดงบประมาณและปิดโครงการหรือหลักสูตร เจ้าหน้าที่นับพันถูกให้ออกหรือพักงานไม่มีกำหนด ทั้งหมดกระทำไปโดยไม่มีการสอบสวนหรือแจ้งให้ทราบก่อน เป็นการโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัว เพื่อทำให้การโค่นล้มระบบรัฐการเก่ารวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เขาให้อีลอน มัสก์และทีมจากบริษัทที่เชี่ยวชาญการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามารื้อระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานทั้งหลาย เพื่อลดจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เหลือเท่าที่จำเป็น ทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในอาทิตย์เดียว
ทั้งหมดนี้คือวิธีการที่ฝ่ายปฏิวัติก่อนนี้เคยใช้เหมือนกันคือ หลังจากยึดอำนาจรัฐได้แล้วสิ่งแรกที่ทำคือการรื้อฟื้นและสร้างระบบการทำงานรัฐการใหม่ตามอุดมการณ์ใหม่ของฝ่ายชนะ
ยุทธศาสตร์ต่อมาซึ่งจะมีความสำคัญต่อการผลักดันนโยบายและปฏิบัติการของทรัมป์ในอีกหลายเรื่องหลายปริมณฑล คือการใช้ระบบกฎหมายและศาลมาเป็นเครื่องมือรองรับการปฏิบัติของรัฐบาลทรัมป์ ดังเป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าทรัมป์ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดอันเป็นองค์กรตุลาการสูงสุดของประเทศถึงสามคน ทำให้เสียงข้างมากของศาลสูงสุดกลายเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม (6 ต่อ 3)
พัฒนาการของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ก็น่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาแม้มีความต่างกันในอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยมกับอนุรักษนิยม แต่ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ก็ยังทำการพิจารณาตัดสินคดีบนฐานของระบบและจารีตกฎหมาย ไม่ได้เอาตามความเชื่อและอุดมการณ์ของตนเองเป็นหลัก ผู้พิพากษายังตระหนักถึงศักดิ์ศรีและความเที่ยงธรรมของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีใครกล้าละเมิดได้ง่ายๆ แต่มาถึงสมัยรัฐบาลทรัมป์แรก ศาลสูงสุดแสดงตนว่าถือหางและตัดสินอย่างไม่เกรงใจใครเลย รวมถึงการรับสินบนและอามิสสินจ้างในรูปของทรัพย์สิน บ้าน และค่าเดินทางไปพักผ่าน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากรัฐสภาลงมติเสียงข้างมากถึงจะดำเนินคดีกับผู้พิพากษาศาลสูงได้ ซึ่งในสภาพปัจจุบันไม่มีทางที่สภาคองเกรสภายใต้พรรครีพับลิกันจะเล่นงาน เพราะทั้งหมดเป็นพวกเดียวกันหมดแล้ว ผลประโยชน์ก็ร่วมกันรักษา ดังนั้นฐานะของสถาบันตุลาการอเมริกันที่เคยเชื่อว่าสูงส่งบริสุทธิ์ยุติธรรมนั้นก็เลือนหายไปจากความเชื่อของคนทั้งโลกไปแล้ว บัดนี้สถาบันยุติธรรมอเมริกาก็ไม่ต่างไปจากของไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และในลาตินอเมริกา เป็นอาทิ
ผมจำได้ว่าเมื่อเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกายุคปฏิวัติและสร้างมหาชนรัฐ บทบาทของสถาบันตุลาการที่คนคิดว่าไม่มีอำนาจและบทบาทอะไรมากนักในระบบการเมืองประชาธิปไตย พวกเราแปลกใจเมื่อพบว่าศาลสูงสุดภายใต้นายจอห์น มาร์แชลสามารถเข้ามาตัดสินข้อพิพาทระหว่างฝ่ายบริหารกับสภาคองเกรส และนำไปสู่การสถาปนาฐานะของตุลาการที่มีศักดิ์ทัดเทียมกับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอย่างแท้จริง ที่เรียกต่อมาว่า ‘judicial review’ ซึ่งไทยเราแปลอย่างผิดความหมายว่าคือ ‘ตุลาการภิวัตน์’ เพราะข้อสำคัญการใช้อำนาจตุลาการนี้ไม่ใช่เป็นอำนาจเหนืออีกสองเสา หากจริงๆ แล้วการใช้อำนาจตุลาการนี้เป็นไปเพื่อให้ความชอบธรรมแก่อำนาจบริหารในการปฏิบัตินโยบายได้อย่างเต็มที่ บทบาทต่อมาของศาลสูงสุดจึงแสดงออกในการคุ้มครองและให้ความชอบธรรมแก่บรรษัทเอกชนในการดำเนินระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งเป็นจุดหมายของรัฐบาลนับแต่แรกด้วยเช่นกัน
เมื่อมาพิจารณาในกรณีการฟ้องร้องต่อศาลสูงสุดเมื่อการออกคำสั่งของทรัมป์ถูกนำไปฟ้องร้องยังศาลชั้นต้น ซึ่งมีแนวโน้มจะตัดสินเอียงข้างประชาชน โดยให้ระงับการปฏิบัติการของทรัมป์ก่อนจนกว่าจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในทางกฎหมายเสียก่อน หลายเรื่องก็ระงับไป หลายเรื่องก็อุทธรณ์ขึ้นไปยังศาลสหพันธ์ ซึ่งมีแนวโน้มไปทางให้ความเห็นชอบแก่รัฐบาล แต่อีกหลายเรื่องก็ไม่ได้ ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงศาลสูงสุด ที่ผ่านมาศาลสูงสุดให้ความเห็นชอบแก่รัฐบาลหลายเรื่อง ด้วยการตัดสินอย่างรวดเร็ว และไม่มีความเห็นของผู้พิพากษาแต่ละคนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากเป็นมติแบบรวมๆ ว่าศาลเห็นด้วยเท่านั้น ซึ่งน่าแปลกใจเพราะมันมาเหมือนกับการปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญไทย ที่นักกฎหมายส่ายหัวว่านี่ไม่ใช่จารีตของผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งต้องทำคำวินิจฉัยของแต่ละท่านออกมาเองเลย ไม่ใช่ให้ผู้ช่วยหรือเสมียนเขียนคำวินิจฉัยรวมๆ ให้
วิฤตการเมืองอเมริกันภายใต้ระบอบทรัมป์จึงแสดงออกในวิกฤตระบบศาลยุติธรรมด้วยเช่นกัน
เราจะพักการโจมตีของทรัมป์ต่อระบบการเมืองไว้เท่านี้ก่อน อันดับต่อไปที่ผมต้องการค้นหาและศึกษาวิธีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของฝ่ายประชาสังคมหรือการเมืองภาคประชาสังคม ว่าพวกเขาจะต่อสู้และคัดค้านการใช้อำนาจของทรัมป์อย่างไร เพราะฉากนี้คือเวทีการต่อสู้เพื่อสร้างและรักษาประชาธิปไตยของผู้คนในโลกที่สามที่อำนาจรัฐเป็นของฝ่ายขวาและอนุรักษนิยมตลอดมา จารีตทางการเมืองที่เป็นของประชาชนจึงไม่มีน้ำหนักและความหมาย ไม่ว่าทางกฎหมายซึ่งรองรับตามธรรมเนียม แต่ไม่ยืนยันในทางปฏิบัติ ทำให้ภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ประสบอุปสรรคและล้มเหลวในการค้ำจุนรักษาและสร้างประชาธิปไตยได้ คราวนี้เรามีอีกตัวอย่างจากอเมริกา ซึ่งกำลังจะแปรธาตุเปลี่ยนสีและอุดมการณ์จากเสรีนิยมมาเป็นอำนาจนิยมและฟาสซิสต์ทีละน้อย
ในอดีตการต่อต้านและคัดค้านนโยบายรัฐบาลที่ใหญ่โตและทรงพลัง กระทั่งบีบคั้นให้รัฐบาลจำต้องยุติสงครามที่ไม่เป็นธรรมได้ในที่สุดคือการประท้วงที่นำโดยขบวนการนักศึกษาและประชาชนที่ตื่นตัวจำนวนมาก อีกประสบการณ์คือการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองที่นำโดยขบวนการคนผิวดำและมีปัญญาชนนักคิดนักเขียนอาจารย์มีชื่อเข้าร่วมด้วย ในสองขบวนการต่อสู้คัดค้านใหญ่นั้นมีสตรีทุกสีผิวเข้าร่วมด้วย จนช่วยสร้างขบวนการสตรีนิยมและการต่อสู้เพื่อเพศสภาพปรากฏเป็นจริงในที่สุด
ถามว่าแล้วพรรคการเมืองที่อยู่ในรัฐสภาหรือในรัฐบาลทำอะไรบ้างไหม พรรคการเมืองที่ตอบรับกระแสการต่อต้านและคัดค้านของมวลชนคือพรรคเดโมแครต ในขณะที่พรรครีพับลิกันไม่มีปฏิกิริยามากนัก ทำให้จุดยืนของพรรคเดโมแครตเอียงไปทางซ้ายและเปิดรับแนวคิดก้าวหน้ามากกว่ารีพับลิกัน ทำให้ฐานเสียงของเดโมแครตเป็นชนชั้นกรรมกรและคนชั้นกลางระดับล่าง รวมถึงอเมริกันที่มีการศึกษา ที่สำคัญคือคนผิวดำที่มีการศึกษาก็หันเข้าหาพรรคเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกัน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีสงครามนอกประเทศที่อเมริกาเข้าร่วมเหมือนในสงครามเวียดนามหรืออัฟกานิสถานทำให้การประท้วงจากขบวนการนักศึกษาและประชาชนไม่มีน้ำหนักเหมือนในอดีต ส่วนการเล่นงานหน่วยงานและองค์กรนานาชาติที่เป็นของรัฐ คนเดือดร้อนคือเจ้าหน้าที่ซึ่งประชาชนทั่วไปไม่มีความรู้สึกร่วมว่าต้องเห็นใจแต่ประการใด การจัดตั้งขบวนการประท้วงแบบก่อนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
สภาพการณ์ขณะนี้จึงเห็นการประท้วงและต่อต้านการใช้อำนาจของทรัมป์ปะทุและเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ ไปในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ก็ประท้วงวันเดียวแล้วก็เลิก จึงไม่เห็นกระแสการประท้วงที่แพร่หลายส่งพลังไปยังกลุ่มมวลชนอื่นทั้งประเทศ การประท้วงที่คนออกมาทั้งประเทศนับแสนคือวันที่ 19 เมษายน อันเป็นวันเสียงปืนแตกในบอสตันของชาวบ้านอเมริกัน อันนำไปสู่การปะทะกับกองทหารเสื้อแดงของอังกฤษในสงครามปฏิวัติเพื่อเอกราช ยิ่งกว่านั้นหลังจากการตายของชาร์ลี เคิร์กผู้นำกลุ่ม Turning Point ที่ยังหนุ่มแน่นที่จัดตั้งกลุ่มมาหลายปีแล้วเพื่อปลุกระดมนักศึกษาในวิทยาลัยให้มาร่วมงานกับกลุ่ม MAGA ของทรัมป์ กลายเป็นพลังเงียบที่เติบใหญ่ยิ่งกว่าพลังฝ่ายก้าวหน้าหลายเท่า สภาพจึงกลับทิศทางจากสมัยต่อต้านสงครามเวียดนามที่มีการเกิดกลุ่มเอียงซ้ายและเสรีนิยมกว้างขวางแพร่หลายไปทั่ว ส่วนกลุ่มเอียงขวาแทบไม่มีเกิดเลยในตอนนั้น ดังนั้นเราจึงเห็นภาพการต่อต้านประท้วงทรัมป์อย่างกระจัดกระจาย ไร้พลัง ทั้งจากพรรคเดโมแครตมาถึงแกนนำนักศึกษา ปัญญาชน และสื่อมวลชนใหญ่ จนทำให้หลายคนออกมาถามว่า เราจะปล่อยให้อเมริกากลายเป็นฟาสซิสต์เหมือนที่เคยเกิดในเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์กระนั้นหรือ
โดยส่วนตัวผมยังเชื่อว่าคงไม่ง่ายที่อเมริกาจะถูกทำให้แปรเปลี่ยนเป็นระบอบฟาสซิสต์หรืออำนาจนิยมอย่างจริงจัง เพราะพื้นฐานการสร้างระบบและระบอบประชาธิปไตยที่ดำเนินมากว่าสองศตวรรษอย่างไม่ขาดตอนนั้นน่าจะมีพลังและความเหนียวแน่นของอุดมการณ์ปฏิวัติอเมริกาที่ไม่อาจถูกทำลายได้โดยสิ้นเชิง มันอาจอ่อนแรงหรือถูกดึงให้หลงทิศผิดทางไปในขณะเกิดวิกฤตทางสากลเช่นสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่คนที่มีสำนึกทางการเมืองประชาธิปไตยยืนหยัดต่อสู้และสร้างแนวร่วมอันกว้างใหญ่ขึ้นมาได้ในที่สุด
ขณะนี้ผมเห็นมีสื่อทางเลือกหลายอันเกิดขึ้น บ้างมาจากหนังสือพิมพ์ใหญ่เช่นนิวยอร์กไทมส์ นิวยอร์กเกอร์ ฯลฯ โซเชียลมีเดียใหม่ที่ผมว่ามีคนมีชื่อและฐานะเข้าร่วมมากได้แก่ Substack มีคนร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแทบทุกวันเช่น พอล ครุกแมนที่หยุดเขียนประจำในนิวยอร์กไทมส์แล้วมาเขียนในนี้แทน อีกคนที่เพื่อนอเมริกันบอกให้ตามฟังทุกวันคือศาสตราจารย์ Heather Cox Richardson แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ วิทยาลัยบอสตันซึ่งมีจดหมายข่าว ‘Letters from an American’ ในเฟซบุ๊กของเธอมีผู้ตามมากถึง 1.3 ล้านคน ประเด็นที่เธอพูดและวิจารณ์ประจำคือว่าด้วยคณาธิปไตยที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ วิจารณ์รัฐบาลทรัมป์ประจำทุกวัน อาจเปรียบเธอว่าเป็นเหมือนศาสตราจารย์โนม ชอมสกีที่เป็นดาวรุ่งสมัยต่อต้านสงครามเวียดนาม
ล่าสุดผมเห็นโพสต์จากไมเคิล มัวร์ ผู้สร้างหนังสารคดีการเมืองที่วิจารณ์การเมืองอเมริกันที่ทรงพลังและมีสีสันมากที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา เขาออกมาโพสต์ใน Substack ว่า “What began on an escalator, ends on an escalator” คือ “อะไรเริ่มต้นที่บันไดเลื่อน ก็ยุติลงที่บันไดเลื่อน” ฟังเหมือนเขากำลังเล่าเรื่องหนัง แต่จริงๆ คือเหตุการณ์ในวันแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในห้องทำงานของทรัมป์ทาวเวอร์ของเขา แล้วเดินลงบันไดเลื่อนเพื่อประกาศต่อสื่อมวลชน ฉากนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตทรัมป์และของสหรัฐฯ ด้วย วันนี้ไมเคิล มัวร์นำเอามารำลึกเพื่อนำไปสู่ฉากสุดท้ายที่เขาอยากเห็นในชีวิตการเมืองของทรัมป์
เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ไปกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีขององค์การสหประชาชาติ เมื่อทรัมป์กับภรรยาและคณะผ่านประตูตึกเข้าไป ขณะที่เขาย่างเท้าเหยียบลงไปบนบันไดเลื่อนที่จะนำเขาไปยังห้องประชุมใหญ่ ทันใดนั้นบันไดเลื่อนหยุดกึกโดยไม่คาดฝันและแน่นิ่งอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมลาเนียที่อยู่หลังทรัมป์ก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดที่หยุดนิ่งพร้อมดึงมือสามีให้ตามขึ้นไป ซึ่งทรัมป์ก็เดินตามขึ้นไปอย่างไม่มีอาการขัดขวางหรือไม่พอใจ เป็นภาพที่สื่อทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมากที่ทรัมป์และคณะต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่ชั่วนาตาปีไม่เคยหยุดเลย กระทั่งวันนี้และ ณ เวลานั้นเท่านั้น
ไมเคิล มัวร์เขียนในโพสต์ของเขาตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าอยากเชื่อว่านักประวัติศาสตร์ในอนาคตจะบันทึกว่า วินาทีที่ทรัมป์ย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดเลื่อนวันนั้น จะเป็นช่วงเวลาของเสี้ยววินาทีอันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ ‘ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) ภายใต้การปกครองของทรัมป์’ ว่าความหวาดกลัวนั้นเริ่มต้นและยุติลงบนบันไดเลื่อน
วันที่ 16 มิถุนายน 2015 ณ Trump Tower ถึงวันที่ 23 กันยายน 2025 ณ องค์การสหประชาชาติ
เมื่อบันไดเลื่อนในยูเอ็นหยุดอย่างกะทันหันและไม่คาดฝัน เป็นสัญญะที่พวกเรารอคอยอยู่หรือ? บันไดเลื่อน! เป็นไปได้ไหมว่าการสูญเสียพลังไฟฟ้าโดยสิ้นเชิงของบันไดเลื่อน การเป็นอัมพาตอย่างฉับพลันของมัน การที่มันสูญเสียพลังและพังทลายลงทั้งหมดอย่างทันด่วนหมายความว่าสิ่งนี้เองก็คือ ‘อวสาน’ แห่งยุคของโดนัลด์ เจ.ทรัมป์ด้วย?
รุดหน้าไปกับข้าพเจ้าในหนทางนี้ ข้าพเจ้าต้องการให้พวกเราจินตนาการว่าชีวิตจะมีหน้าตาอย่างไรในยุคหลังบันไดเลื่อน (post-escalator) หลังโลกของทรัมป์ (post-Trump world).
ดังที่กวีเอก ที.เอส. อีเลียต (T. S. Eliot ) เคยเขียนไว้ในบทกวีแห่งยุคสมัย ‘The Hollow Men’:
“This is the way the world ends, นี่คือหนทางที่โลกยุติ
This is the way the world ends, นี่คือหนทางที่โลกยุติ
This is the way the world ends: นี่คือหนทางที่โลกยุติ
Not with a bang ไม่ใช่จบด้วยเสียงปะทุ
but a whimper.” หากแต่เป็นการล่มสลายอย่างเงียบงัน”
นี่เป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ประท้วงและต่อต้านการสร้างระบอบอำนาจนิยมในอเมริกาโดยประชาชนเพื่อประชาชนนั้นไม่อาจทำลายให้ดับสูญไปได้ โชคดีของคนอเมริกันที่บิดาผู้สร้างประเทศแม้ต่างความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองบ้าง แต่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันในการเปิดให้เสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิทธิมนุษยชนอันแรกที่ไม่อาจปิดกั้นหรือบิดเบือนได้ นี่เองที่ทำให้อนาคตของการสร้างระบอบฟาสซิสต์ในอเมริกาจะยากยิ่งกว่าในเยอรมนีหรือญี่ปุ่นและไทย ถึงขั้นว่าอาจทำไม่ได้เลยเพราะดินอเมริกาไม่เหมาะกับการปลูกต้นไม้อำนาจเผด็จการรวมศูนย์ใดๆ ทั้งสิ้น