สำรวจผลกระทบจากนโยบายภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดูเหมือนว่าผู้แบกรับต้นทุนที่แท้จริงอาจไม่ใช่คู่ค้าต่างชาติ แต่กลับเป็นชาวอเมริกันเอง

‘ภาษีทรัมป์’ เริ่มเห็นผล คนอเมริกันเสียงแตก เมื่อตัวเองคือผู้แบกรับต้นทุนภาษี?

มาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ 7 สิงหาคม 2568 มีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลการค้ากับประเทศต่างๆ และดึงฐานการผลิตกลับสู่ประเทศ โดยก่อนหน้านี้ในที่ประชุมฝ่ายอนุรักษ์นิยม CPAC (Conservative Political Action Conference) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทรัมป์ได้กล่าวย้ำว่านโยบายนี้จะทำให้สหรัฐฯ ร่ำรวยขึ้น

อย่างไรก็ตาม นโยบายของทรัมป์ในเรื่องนี้ก็กำลังส่งผลกระทบที่สวนทางกับความตั้งใจ เพราะในระยะสั้น ผลกระทบกำลังเกิดขึ้นกับผู้บริโภคภายในประเทศ จึงกลายเป็นว่าผู้ที่ต้องแบกรับภาระจากนโยบายนี้อาจเป็นประชาชนและผู้ประกอบการชาวอเมริกันเอง


ใครคือผู้แบกรับต้นทุนภาษี?


นโยบายภาษีของสหรัฐฯ กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมอเมริกัน ทรัมป์อ้างว่าประเทศจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นมหาศาลและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและสถิติชี้ให้เห็นภาพที่ต่างออกไป

จัสติน วูลเฟอร์ส ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ให้ข้อมูลกับ MSNBC ว่า “บริษัทต่างชาติ [ที่นำเข้าสินค้าไปขายในสหรัฐฯ] ไม่ได้ลดราคาสินค้าเพื่อลดผลกระทบของภาษี เมื่อดูจากดัชนีราคาสินค้านำเข้า ก็จะเห็นว่าราคาไม่ลดลงเลย ดังนั้น บริษัทในสหรัฐฯ ต้องรับภาระต้นทุนนี้เอง หรือไม่ก็ส่งต่อไปยังผู้บริโภค”

ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวในรายการ Morning Joe ว่า “ใครจะเป็นผู้จ่ายภาษีศุลกากรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ประกอบการ ซึ่งก็เห็นว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่รับภาระต้นทุนไว้เอง ส่งผลให้กำไรลดลง”

ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Best Buy อาจมีอำนาจต่อรองและสามารถดูดซับต้นทุนภาษีได้ชั่วคราว แต่ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากขาดความสามารถนี้ เมื่อภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยต้องปิดกิจการหรือหยุดนำเข้าสินค้าบางประเภท ส่งผลให้สินค้าบางชนิดขาดตลาดและผู้บริโภคต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้น

วูลเฟอร์สกล่าวว่า “บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งอาจรับภาระต้นทุนได้ แต่ธุรกิจขนาดเล็กไม่มีทางเลือกมากนัก สุดท้ายแล้วผู้บริโภคและเจ้าของธุรกิจในสหรัฐฯ ต้องรับภาระต้นทุนเหล่านี้”


คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้น


ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นผลกระทบระลอกแรกจากนโยบายนี้ ชาวอเมริกันต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับเป้าหมายของทรัมป์ที่ต้องการให้คู่ค้าต่างชาติเป็นคนแบกรับ

สถาบันวิจัย Yale Budget Lab เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งประเมินว่า มาตรการนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2,400 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้

นอกจากนี้ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ยืนยันภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% นักวิเคราะห์ชี้ว่าตัวเลขนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ผู้ประกอบการได้ผลักภาระทางภาษีมาถึงผู้บริโภคแล้ว

แม้ราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตกลุ่ม ‘อาหารที่ซื้อกลับไปทำที่บ้าน’ (Food at home) จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.1% เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่สมาคมอุตสาหกรรมอาหารของสหรัฐฯ หรือ FMI เปิดเผยผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2568 ว่า ผู้ซื้อสินค้าจำนวน 55% กังวลว่านโยบายภาษีจะมีผลต่อราคาในอนาคต ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายนี้

นอกจากการตั้งกำแพงภาษี ทรัมป์ยังยกเลิกข้อยกเว้นภาษี ‘de minimis’ ซึ่งอนุญาตให้สินค้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษี โดยจะมีผลในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ทรัมป์ให้เหตุผลว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจ และปิดช่องโหว่ของแอปฯ จีนที่เน้นขายสินค้าราคาโรงงาน แต่ผู้บริโภคและผู้ค้ารายย่อยที่ยังต้องพึ่งพาสินค้าราคาถูก กลายเป็นคนที่ต้องรับภาระในส่วนนี้แทน


บริษัทใหญ่พร้อมใจขึ้นราคา


บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ต่างพร้อมใจกันปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อส่งต่อภาระภาษีไปยังผู้บริโภคโดยตรง แทนที่จะย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้

ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย เช่น อาดิดาส (Adidas) ประกาศเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ว่าอาจต้องขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาษีที่คาดว่าจะมีมูลค่าราว 233 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่คู่แข่งอย่าง ไนกี้ (Nike) ประกาศว่าจะขึ้นราคาเพื่อชดเชยผลกระทบที่อาจสูงถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทางด้านสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (Procter & Gamble หรือ P&G) ยืนยันว่าจะขึ้นราคาสินค้าในอัตราเฉลี่ย 4-6% และแม้แต่แบรนด์หรูอย่าง แอร์เมส (Hermès) ก็ประกาศขึ้นราคาในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป

ขณะที่กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน ฟูจิฟิล์ม (Fujifilm) ได้ปรับขึ้นราคากล้องและเลนส์ตั้งแต่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ราคากล้องรุ่นยอดนิยมอย่าง เอ็กซ์ทีไฟว์ (X-T5) เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ นินเท็นโด (Nintendo) ประกาศขึ้นราคาเครื่องเล่นเกม นินเท็นโด สวิตช์ (Nintendo Switch) เครื่องละ 40 ดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม ส่วน ซูบารุ ออฟ อเมริกา (Subaru of America) ประกาศขึ้นราคารถยนต์หลายรุ่นตั้งแต่ 750-2,055 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ผลกระทบยังกระจายไปยังตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยสำนักข่าว Reuters รายงานผลวิเคราะห์ของสถาบัน DataWeave ซึ่งพบว่าราคาสินค้าจากจีนบนเว็บไซต์แอมะซอน (Amazon.com) ปรับตัวสูงขึ้น 2.6% เช่นเดียวกับที่บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง วอลมาร์ต (Walmart) ได้แจ้งต่อลูกค้าเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าบริษัทจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

เว็บไซต์ Axios ระบุว่าเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียเพียงรัฐเดียว ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากกำแพงภาษีสูงถึง 11.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568


นโยบายภาษีที่ไม่เท่าเทียม


นโยบายภาษีที่เอื้อประโยชน์ให้กับบางบริษัท ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่ออุตสาหกรรมในประเทศ

นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กมองว่า รัฐบาลประกาศปรับอัตราภาษีนำเข้าจาก 2–3% เป็น 15% แต่ในทางปฏิบัติกลับยกเว้นภาษีให้สินค้านำเข้าบางประเภท รวมมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

บริษัทเทคโนโลยีซึ่งพึ่งพาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยรัฐบาลกำหนดอัตราภาษี ‘ชิปและเซมิคอนดักเตอร์’ สูงถึง 100% แต่ยกเว้นภาษีให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล (Apple) โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า “จะไม่เรียกเก็บภาษี หากบริษัทมีฐานผลิตในสหรัฐอเมริกา”

นอกจากนี้ การยกเว้นภาษีให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่ารัฐบาลเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดและเป็นคนเลือกผู้ชนะเอง ซึ่งขัดแย้งกับหลักการค้าเสรีที่สหรัฐฯ เคยยึดถือมาตลอด

นโยบายภาษีที่ควรจะช่วยผู้ผลิตในประเทศ ยังสร้างภาระทางภาษีซ้ำซ้อน เช่นกรณีของบริษัท Nature Sweet ผู้ผลิตมะเขือเทศรายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งภาษีนำเข้าผลผลิตจากเม็กซิโกและวัตถุดิบที่ต้องนำเข้ามาจากชิลี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายของนโยบายอย่างสิ้นเชิง


การค้าโลกปั่นป่วน


สถานการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2568 แม้สหรัฐฯ และจีนจะตกลงขยายเวลาเจรจาการค้าออกไป แต่ทรัมป์ยังคงขึ้นภาษีตอบโต้กับคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรปและอินเดีย ซึ่งเป็นตัวเร่งให้กลุ่มประเทศ BRICS หันมาจับมือกันแน่นแฟ้นกว่าเดิม เพื่อหาทางลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์

ส่วนการที่ทรัมป์โน้มน้าวให้แอปเปิลเพิ่มการลงทุนในประเทศหนึ่งแสนล้านดอลลาร์ภายในสี่ปี ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศที่เป็นฐานการผลิตอย่างอินเดีย

เดิมทีอินเดียทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เพื่อดึงดูดให้แอปเปิลย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่เมื่อสหรัฐฯ พร้อมจะยกเว้นภาษีเพื่อแลกกับการลงทุนในประเทศ เป็นเหตุให้อินเดียสูญเสียผลประโยชน์ ซึ่งอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกันได้

นโยบายภาษีตอบโต้ทั่วโลกยังสะเทือนถึงผลประกอบการในภาคธุรกิจยานยนต์ของสหรัฐฯ เช่น เจเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors:GM) รายงานผลกระทบจากนโยบายนี้ในไตรมาสเดียวสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ S&P Global ได้ปรับลดจำนวนคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ทั่วโลก เหลือเพียง 2.5 ล้านคันในปี 2569


ค่าครองชีพมีผลกับคะแนนนิยม


ทรัมป์ยอมรับว่าชาวอเมริกันอาจต้อง “เจ็บปวดอยู่บ้าง” จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจากนโยบายภาษี แต่ยืนยันว่า “จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง และคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย”

ในขณะที่นโยบายนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายคะแนนนิยมของทรัมป์เอง ราคาสินค้าที่สูงขึ้นกลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งสะท้อนว่าประเด็นเศรษฐกิจปากท้องกำลังลุกลามเป็นปัญหาทางการเมือง 

สถาบัน Pew Research Center เผยแพร่ผลสำรวจเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ระบุว่าชาวอเมริกันถึง 61% ไม่เห็นด้วยกับนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ สอดคล้องกับผลสำรวจของ CNBC ที่พบว่า 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่านโยบายภาษีทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และมีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 53% ซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมด้านการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ยังคง ‘ติดลบ’

นักเศรษฐศาสตร์ เดวิด แม็ควิลเลียมส์ แสดงความคิดเห็นไว้อย่างดุเดือดว่า สหรัฐฯ ที่เคยเป็นคนวางระเบียบการค้าเสรีของโลก ตอนนี้หันมาใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อทำลายกติกาที่ตัวเองตั้งขึ้น นโยบายที่ทรัมป์ประกาศว่าจะทำให้ประเทศชาติร่ำรวยมั่งคั่ง คงเป็นแค่วิธีโยกย้ายเงินในกระเป๋าของประชาชนไปยังคลังของรัฐบาลในท้ายที่สุด


ข้อมูลอ้างอิง

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save