เป็นเวลาสี่เดือนแล้ว นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกในวัน ‘Liberation Day’ เมื่อ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของระเบียบการค้าโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง และเมื่อถึง ‘ดีเดย์’ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำเนียบขาวก็ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าชุดใหม่เกือบทุกประเทศทั่วโลก (ยกเว้นจีน) อย่างเป็นทางการ
ภาษีนำเข้าของไทยในอัตราใหม่นี้ถูกกำหนดไว้ที่ 19% ลดลงจากเดิมที่เคยตั้งไว้ 36% แม้อัตราภาษีดังกล่าวจะลดลงแต่ก็ยังสูงกว่าอัตราเดิมที่เป็นมาหลายปีอยู่มาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือโครงสร้างการค้าโลกกำลังเปลี่ยนหน้าไปโดยสิ้นเชิง และไทยจำเป็นต้องเร่งอ่านเกมใหม่ให้ทัน
โครงสร้างและระเบียบการค้าใหม่ของโลกมีหน้าตาแบบไหน ไทยควรอ่านเกมอย่างไร วางยุทธศาสตร์แบบไหน ภายใต้ข้อจำกัดและวิกฤตเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศ
วันโอวันชวน ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ วิเคราะห์ดีลภาษีไทย-สหรัฐฯ และอ่านภาพใหญ่ของโครงสร้างการค้าโลกชุดใหม่เพื่อมองหา ‘ทางรอด’ ของไทยท่ามกลางสมรภูมิภาษีครั้งนี้
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากรายการ 101 One-on-One EP.377: ดีลทรัมป์ – ดีลไทย กับ ศุภวุฒิ สายเชื้อ เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ดำเนินรายการโดย อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล
อัตราภาษี 19% ของไทย พอรับได้หรือเปล่า?
ศุภวุฒิแสดงความเห็นต่ออัตราภาษีนำเข้า 19% ที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บจากสินค้าไทยว่า ‘ค่อนข้างน่าพอใจ’ เนื่องจากประเทศอื่นๆ ก็ได้รับอัตราภาษีใกล้เคียงกัน แต่หากย้อนมองช่วงก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากสินค้าไทยเฉลี่ยเพียงราว 2% เท่านั้น เท่ากับว่าการปรับขึ้นครั้งนี้สูงขึ้นเกือบ 10 เท่า ซึ่งสะท้อนชัดว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการส่งเสริมการค้าเสรีในรูปแบบเดิมอีกต่อไป และเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ต้องการความได้เปรียบในการค้า เพราะมองว่าที่ผ่านมาตัวเองเสียเปรียบในระบบเดิม
นอกจากเรื่องอัตราภาษีที่แม้จะลดลงจาก 36% แต่ก็สูงขึ้นมากจากที่เคยมีมา ไทยยังต้องเปิดตลาดในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมให้สหรัฐฯ ตามเงื่อนไขที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงต้องติดตามกันต่อ
เมื่อถามว่าควรจับตามองผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในภาคส่วนไหนเป็นพิเศษ ศุภวุฒิชวนมองว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญปัญหาการระบายสินค้าเกษตรภายในประเทศ และมองว่าหลายประเทศ รวมถึงไทย ยังคงมีมาตรการปกป้องสินค้าเกษตรค่อนข้างสูง ทั้งในรูปแบบภาษีศุลกากรและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งสหรัฐฯ เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงตลาด ดังนั้น เงื่อนไขในข้อตกลงใหม่นี้จึงอาจเปิดช่องให้สินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เข้ามาแข่งขันในตลาดไทยมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรไทย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็น่าจะยื่นเงื่อนไขให้เปิดตลาดในภาคอื่นๆ ด้วย
อีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ คือเงื่อนไข ‘แหล่งกำเนิดสินค้า’ (rules of origin) ซึ่งเกี่ยวพันกับปัญหาการสวมสิทธิในกระบวนการผลิต โดยสหรัฐฯ มีมาตรฐานว่าห้ามใช้วัตถุดิบจากประเทศที่ไม่พึงประสงค์เกินกว่ากำหนดในสัดส่วนหนึ่ง
ศุภวุฒิเปิดเผยว่า ในคณะทำงานมีการพูดคุยกันแล้วว่า ไทยต้องเจรจาเพื่อกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบให้ชัดเจนเป็นเปอร์เซ็นต์ เพราะประเด็นนี้จะส่งผลต่อความสามารถในการผลิตและส่งออกของไทย หากสหรัฐฯ กำหนดให้มูลค่าการผลิตภายในประเทศหรือในภูมิภาค (regional value content: RVC) สูงเกินไป ก็จะลดความยืดหยุ่นในการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ปกติผู้ประกอบการไทยใช้ชิ้นส่วนจากประเทศจีน ซึ่งจริงๆ แต่ละประเทศก็ใช้ชิ้นส่วนจากจีนกันเยอะมาก เพราะว่าจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งหรืออันดับสองของแทบทุกประเทศในโลก การนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีนนี่แหละที่สหรัฐฯ อยากให้ใช้ให้น้อยที่สุด สมมติว่าเขาอยากให้มีสัดส่วนแค่ 10% ซึ่งในความเป็นจริงทำไม่ได้หรอก เพราะเราอาจต้องใช้ชิ้นส่วนจากจีนถึง 30% แบบนี้ก็ต้องมาเจรจากันว่า จะเอาตัวเลขไหนเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้
ถ้าตัวเลขที่สหรัฐฯ ต้องการต่ำเกินไป สินค้าหลายอย่างที่เราส่งไปอเมริกาอาจจะถูกตีว่าไม่ใช่สินค้าที่มาจากประเทศไทย แล้วก็จะโดนภาษี 40% แทนที่จะได้สิทธิ์ภาษี 19%”
ศุภวุฒิประเมินว่า หากกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากประเทศที่ไม่พึงประสงค์ไว้ที่ประมาณ 30% ก็น่าจะอยู่ในระดับที่พอรับได้ แต่หากสหรัฐฯ ยืนยันตัวเลขที่ต่ำกว่านั้นก็จะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะปฏิบัติตาม
เมื่อถามถึงเสียงสะท้อนจากประชาชนบางส่วนที่รู้สึกว่าไม่เห็นความคืบหน้าของการเจรจากับสหรัฐฯ ศุภวุฒิในฐานะหนึ่งในทีมทำงานชี้ว่า การเจรจากับสหรัฐฯ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน มีรายละเอียดทางเทคนิคมากมายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ดังนั้น แม้จะสามารถเจรจาให้อัตราภาษีอยู่ที่ 19% ได้ในเบื้องต้น แต่ก็ยังต้องมี ‘การบ้าน’ อีกมากที่ไทยต้องทำต่อในเชิงรายละเอียด
เมื่อการค้าไม่อาจแยกขาดจากภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะมีความท้าทายทั้งจากเงื่อนไขและกรอบเวลาที่ต้องหาทางเจรจาให้ทันก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม การเจรจายังดำเนินไปท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่เหตุปะทะรุนแรง ทำให้มีทหารและพลเรือนเสียชีวิต ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และเศรษฐกิจชายแดนต้องหยุดชะงัก
ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งปะทุขึ้นและบานปลายสู่การสู้รบ เราได้เห็นประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงบทบาท โดยประกาศว่า สหรัฐฯ จะไม่เดินหน้าเจรจาภาษีหากยังไม่มีการหยุดยิงเกิดขึ้น ศุภวุฒิมองว่า ท่าทีของทรัมป์สะท้อนชัดว่าสหรัฐฯ มองการเจรจาภาษีไม่ใช่เพียงประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
“การที่ทรัมป์มาบอกว่าถ้าไม่หยุดยิงก็จะไม่เจรจา อันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจากการทำการบ้านมา ถ้าเป็นเรื่องการค้าก็ว่ากันด้วยเรื่องการค้า ถ้าเป็นเรื่องความมั่นคงก็แยกกันว่าไป แต่ครั้งนี้มันสะท้อนถึงแนวคิดใหม่ของอเมริกาที่เอาทุกอย่างมาผสมผสานกันหมด ทำให้เรายิ่งต้องระมัดระวังว่า ไม่ว่าจะมีข้อตกลงกับอเมริกาหรือยังไม่มีก็ตาม มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ”
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ใช้การเจรจาภาษีเป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณหรือแสดงท่าทีต่อประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากการค้าโดยตรง เพราะก่อนหน้านี้ที่ พอล แชมเบอร์ นักวิชาการชาวอเมริกันในไทยถูกออกหมายจับในคดี ม.112 สหรัฐฯ ก็แสดงท่าทีว่าจะไม่เร่งเปิดการเจรจาภาษีกับไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์มองประเด็นเหล่านี้ปนกัน
ศุภวุฒิยังชี้ว่าทรัมป์เปลี่ยนกลับไปกลับมาได้เสมอ ไม่ใช่แค่กรณีของไทย-กัมพูชา แต่ประเทศอื่นด้วย เช่น ญี่ปุ่น ที่ในสมัยแรกของทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเบื้องต้นระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น ร่วมกับชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น แต่ก็ฉีกข้อตกลงเดิมและให้เจรจาใหม่ เกาหลีใต้ ที่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2012 ก็ต้องเจรจาใหม่ หรือแคนาดากับเม็กซิโก ที่มีข้อตกลง USMCA ร่วมกับสหรัฐฯ (ทำในสมัยแรกของทรัมป์) ก็ต้องเจรจาใหม่เช่นกัน
“ข้อสรุปของผมคือ เขา (ทรัมป์) อาจมีเงื่อนไขใหม่ๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้เจรจา หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการเจรจา ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า วันดีคืนดี เขาอาจไม่พอใจประเทศไทยบางเรื่อง แล้วบอกว่า 19% ไม่ได้แล้ว แบบนั้นก็เป็นไปได้”
ในอีกมุมหนึ่ง การที่สหรัฐฯ ใช้การเจรจาการค้าหรือภาษีมาเป็นเงื่อนไขกดดันให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง อาจถูกมองผ่านแว่นของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้เช่นกัน ศุภวุฒิกล่าวว่า ในแต่ละวัน หน่วยงานข่าวกรองและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ มีหน้าที่รายงานสถานการณ์ทั่วโลก พร้อมประเมินผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติให้ประธานาธิบดีโดยตรง ซึ่งเขาประเมินว่าทรัมป์น่าจะได้รับรายงานว่าหากปล่อยให้การปะทะของไทยและกัมพูชาดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในเงื่อนไขที่ไทยมีขีดความสามารถทางทหารเหนือกว่า อาจผลักให้กัมพูชาหันไปพึ่งพาจีนมากยิ่งขึ้น เปิดพื้นที่ให้จีนเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคมากขึ้น และอาจทำให้สหรัฐฯ เสียดุลอำนาจ ทรัมป์จึงต้องผลักดันให้ทั้งสองประเทศหยุดสู้รบ
แม้ว่ารัฐบาลทรัมป์จะแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีนและพยายามสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของปักกิ่งอย่างชัดเจน แต่จีนเองก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่เสียเปรียบเสียทีเดียว ตรงกันข้าม จีนถือไพ่สำคัญในด้านทรัพยากรยุทธศาสตร์อย่างแร่หายาก (rare earth) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรถยนต์
ศุภวุฒิชี้ให้เห็นว่า หลังจากจีนตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายากนั้น สหรัฐฯ ก็รีบส่งทีมไปพูดคุยกับจีน และสุดท้ายก็นำไปสู่ข้อตกลงที่จีนจะออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากชั่วคราวหกเดือนให้กับซัพพลายเออร์ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ
“ตอนนี้ใบอนุญาตส่งออกแรร์เอิร์ธหกเดือนกำลังจะหมดอายุ ทรัมป์ก็คงอยากพูดคุยกับสี จิ้นผิง เพื่อหาทางลงในเรื่องนี้ เราเลยเห็นความพยายามของทรัมป์ที่จะเอาใจจีน เช่น กรณีที่ไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีไต้หวันแวะที่นิวยอร์ก ท่าทีแบบนี้อาจสะท้อนว่าทรัมป์หวังจะปลดล็อกดีลแรร์เอิร์ธกับจีน ส่วนข้อตกลงในภาพใหญ่ผมยังไม่เห็น ถ้าเขาคุยสำเร็จในเรื่องแรร์เอิร์ธแล้วมีบิ๊กดีลตามมาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“ตอนนี้จีนเขาไม่สนใจเรื่องภาษี คุณจะเก็บภาษี 140 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นไร ตอนหลังเหลือ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ว่ากัน เพราะขายไม่ได้อยู่ดี ถ้าคุณจะไม่อยากจะให้จีนขายของ จีนก็จะไม่สนใจที่จะขายของ จะสังเกตได้ว่าจีนเลยทําเหมือนไม่รู้ไม่ชี้”
การปรับตัวเพื่ออยู่รอดในสมรภูมิการค้า
หนึ่งในปัญหาที่จะเกิดตามมาจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่สูงมาก คือการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ซึ่งศุภวุฒิกล่าวว่าไม่ใช่แค่ไทยที่ได้รับผลกระทบ แต่เป็นทุกประเทศทั้งโลก เมื่อสินค้าจีนมาชนกับเงื่อนไขแหล่งกำเนิดสินค้าของสหรัฐฯ ก็ทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนแนวคิด
“ก่อนหน้านี้สัก 3-4 ปี หลายคนเคยดีใจว่าเดี๋ยวจีนก็จะย้ายฐานการผลิตมาลงทุนที่ประเทศไทยเยอะขึ้น โดยไม่ต้องสนใจว่ามีชิ้นส่วนของนําเข้าจากจีนเท่าไหร่ที่นำมาใช้ในฐานการผลิตไทยแล้วส่งไปที่อเมริกา แต่ภาพนั้นไม่ใช่แล้ว ฉะนั้นนโยบายตรงนี้ต้องเปลี่ยนไปแล้ว”
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องสัดส่วนวัตถุดิบ หนึ่งในเงื่อนไขที่ถูกพูดถึงกันมากในการเจรจาที่ผ่านมา คือไทยจะนำเข้าวัตถุดิบด้านเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยใช้ในการแปรรูป โดยวัตถุดิบเหล่านี้มักถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเลี้ยงและจำหน่ายสัตว์ต่อไป
“เราขายอาหาร เราก็จะซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ด้านเกษตรจากอเมริกามากขึ้น เพื่อที่จะเป็นคนขายอาหารให้กับโลกมากขึ้น ผมคิดว่าแนวทางไปในทางนั้น แล้วเราก็เห็นว่าทุกประเทศในโลก ตลาดอาหารมันขายได้ตลอดเวลา รวมทั้งประเทศจีนด้วย จะสังเกตได้ว่า ประเทศจีนนำเข้าอาหารมากขึ้นทุกปี และขาดดุลด้านอาหารมากขึ้นทุกปีด้วย”
ในกรณีถั่วเหลือง ศุภวุฒิชี้ว่าประเทศอย่างสหรัฐฯ บราซิล และชาติอื่นๆ มีศักยภาพในการผลิตถั่วเหลืองได้ดีกว่า ซึ่งถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ โดยเฉพาะสำหรับการเลี้ยงหมูและไก่ การนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มากขึ้น และการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของไทยขยายตัวได้มากขึ้น ซึ่งมีการประเมินเบื้องต้นว่าอาจขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีก 20-30%
สำหรับข้าวโพด ข้อมูลจากรองนายกรัฐมนตรีระบุว่า ประเทศไทยมีความต้องการใช้ข้าวโพดอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตได้เพียง 4–5 ล้านตัน แม้จะพยายามส่งเสริมการปลูกภายในประเทศมานานกว่าสิบปี ตัวเลขก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ที่ผ่านมา ไทยจึงต้องนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ระบบโควตา ซึ่งข้าวโพดเหล่านั้นมักมาพร้อมกับปัญหาหมอกควันและมลพิษจากการเผา ส่งผลให้ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น แต่หากมีการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ก็อาจช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้บ้าง นำไปสู่ข้อตกลงว่าไทยจะเปิดตลาดให้นำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ มากขึ้น
แม้จะมีเสียงสะท้อนจากภายในประเทศว่าควรใช้ข้าวโพดในไทยก่อน ไม่ควรนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริง ข้าวโพดในไทยมีราคาสูงกว่าข้าวโพดจากสหรัฐฯ อย่างมาก ดังนั้น ข้อตกลงที่เกิดขึ้นคือ ไทยจะใช้ข้าวโพดในประเทศให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม แนวทางนี้จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อข้าวโพดราคาถูกจากอเมริกาถูกนำเข้ามาผสมกับข้าวโพดในประเทศ ราคาต้นทุนก็จะเฉลี่ยออกมากลางๆ ไม่สูงจนเกินไป ส่งผลให้ต้นทุนของภาคการเลี้ยงสัตว์ลดลงตามไปด้วย
สินค้ารายการที่สามที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือหมู แม้ว่าการลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์จะช่วยได้ในบางส่วน แต่ก็ยังไม่มากพอให้หมูไทยสามารถแข่งขันกับหมูจากสหรัฐฯ ได้ เพราะต้นทุนการผลิตของไทยยังคงสูงกว่ามาก
ดังนั้น ไทยจึงต้องยอมเปิดตลาดให้มีการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ บ้าง โดยการนำเข้าอาจเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้ระบบโควตาที่จำกัดปริมาณ ไม่ใช่นำเข้าแบบเสรี เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนระบบภายในของไทยให้สอดคล้องกับข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับสหรัฐฯ ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในภาพรวม ศุภวุฒิประเมินว่านโยบายภาษีของทรัมป์อาจทำให้เศรษฐกิจโลกไม่สดใสนัก พร้อมทิ้งท้ายด้วยการยกคำกล่าวของนายลี เซียนลุง อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ว่าเราจำเป็นต้องเริ่มคิดถึงโลกที่ไม่มีอเมริกา พร้อมชวนคิดว่าหากต้องพัฒนาระบบการค้าเสรีของโลกโดยไม่มีสหรัฐฯ ประเทศต่างๆ จะมีทางเลือกอะไรบ้าง
หนึ่งในทางเลือกสำคัญที่เขามองเห็นคือความตกลงแบบครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ซึ่งเดิมเป็นโครงการริเริ่มโดยสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา แม้ต่อมาสหรัฐฯ จะถอนตัว แต่ความตกลงนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกรอบการค้าที่ทันสมัย ครอบคลุม และลึกซึ้งที่สุดในปัจจุบัน