ถ้านับว่าวันที่ 28 พฤษภาคมที่เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี คือความขัดแย้งปัญหาชายแดนรอบใหม่ระหว่างสองประเทศ จนถึงวันที่ผมเขียนบทความนี้ (15 มิ.ย.) ระยะเวลาเพียงไม่ถึงสามอาทิตย์ สถานการณ์บานปลายไปเร็วมาก
ล่าสุดกัมพูชาถือฤกษ์การชนะคดีปราสาทพระวิหารครบรอบ 63 ปี ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อยุติข้อพิพาทพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต-ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย
สถานการณ์ความขัดแย้งเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการปะทะทางทหารที่ช่องบกในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมาเท่านั้น แต่เป็นการวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์ กำหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจน และเดินเกมอย่างมีขั้นตอนของฝ่ายกัมพูชา
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองในกัมพูชาสรุปตรงกันว่า นี่เป็นหมากเดิมๆ ของผู้นำกัมพูชาที่จะปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างคะแนนบวกให้กับตัวเองในจังหวะที่ประชาชนในประเทศเริ่มเสื่อมศรัทธา
คำถามคือแล้วรัฐบาลไทยมีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือกับความขัดแย้งรอบใหม่นี้ นอกจากการยืนยันว่าเราไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและยืนยันใช้กลไกทวิภาคีเพื่อหาข้อยุติอย่างสันติวิธี
คำตอบดูได้จากความล่าช้าในการเทกแอ็กชันตั้งแต่หลังเหตุการณ์วันที่ 28 พฤษภาคม และยังล่าช้ากว่ากัมพูชาแทบทุกการเคลื่อนไหวต่อเนื่องจนถึงวันนี้
ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างทักษิณ-ฮุน เซน สองผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลตัวเอง นอกจากไม่ช่วยคลี่คลายปมความขัดแย้ง ยิ่งกลับกลายเป็นจุดอ่อนให้คนทั้งสองประเทศคลางแคลงใจในตัวผู้นำของพวกเขา
ในส่วนประเทศไทย ผลสำรวจความเห็นของนิด้าโพลคือข้อสรุปที่ชัดเจนมากว่า รัฐบาลชุดนี้สอบตกในการสร้างความเชื่อมั่นต่อกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะคะแนนไว้วางใจมาก ต่ำเตี้ยแค่ 11.99% และค่อนข้างไว้วางใจ 18.85% ขณะที่กองทัพได้รับความไว้วางใจมาก สูงถึง 62.52% และค่อนข้างไว้วางใจ 23.74%
นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีมากๆ ต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะโดยหลักการแล้วกองทัพคือหน่วยงานราชการภาคปฏิบัติ อยู่ภาตใต้การบริหารและกำกับดูแลของรัฐบาล
สิ่งที่กองทัพทำ ไม่ว่าจะตอบโต้ด้วยอาวุธ หรือตอบโต้ผ่านมาตราการต่างๆ กระทั่งการให้สัมภาษณ์สื่อ แสดงความเห็นในเวทีต่างๆ ล้วนต้องสอดคล้องกับกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนดทิศทาง หาใช่การทำงานแบบแยกส่วนโดยอิสระ
โพลที่สะท้อนออกมาจึงยิ่งไปสอดรับกับปฏิบัติการไอโอ นักวิชาการบางคน และสื่อบางค่ายที่ปั่นกระแสโจมตีรัฐบาล นักการเมือง พรรคการเมือง และการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยต่อเนื่องจากหลายกรณีก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างภาพให้คนรู้สึกว่าความวุ่นวายและสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกำลังพาการเมืองและประเทศไปสู่ทางตัน
เสียงเรียกร้องให้กองทัพรับบท ‘ฮีโร่’ กระเส็นกระสายมาเป็นระลอกและมาเริ่มหนาหูจากการปลุกกระแสชาตินิยม กรณีวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุดนี่เอง
แม้คนส่วนใหญ่เข้าใจดีว่า ‘รัฐประหาร’ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาหรือวิกฤตใดๆ รังแต่จะขยายปัญหาและวิกฤตให้เรื้อรังรุนแรงขึ้น บทเรียนจากรัฐประหาร 13 ครั้ง ตลอด 93 ปีประชาธิปไตยไทยพิสูจน์ชัดยิ่งกว่าชัดว่า ‘รัฐประหาร’ มีแต่ยิ่งพาประเทศถอยหลัง แต่คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะชนชั้นนำฝ่ายขวาจารีตและบางปีกในกองทัพยังเชื่อสนิทใจว่า ‘รัฐประหาร’ มีข้อดี คือแก้ปัญหาได้ ‘รวดเร็วและครอบคลุม’ (ข้อสรุปของนักวิชาการคนหนึ่งที่อ้างว่ามาจากการสำรวจความเห็นผู้คนบางกลุ่ม) และการรัฐประหารยังจำเป็น เพราะกองทัพจะ ‘รัฐประหารแต่คนชั่ว’ (คำพูดของนายพลกองทัพบกคนหนึ่ง ระหว่างชี้แจงต่อ กมธ.งบประมาณ สภาฯ ช่วง ก.ค. 2567)
ที่สำคัญคนทำรัฐประหารสำเร็จ นอกจากไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายฐานล้มล้างการปกครอง ยังได้ดิบได้ดี มีทั้งอำนาจ เงินตรา ยศฐาบรรดาศักดิ์ (ดูตัวอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ทำรัฐประหาร 2557) กระทั่งถึงวันตายยังมีผู้คนโดยเฉพาะที่เป็นชนชั้นนำด้วยกันไปร่วมแสดงความอาลัย ไม่ใส่ใจเรื่องร้ายๆ ที่เขาเหล่านั้นสร้างบาดแผลทิ้งไว้กับประเทศ (ดูตัวอย่างล่าสุด การเสียชีวิตของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร หนึ่งในผู้ก่อการสำคัญรัฐประหาร 2534)
ส่วนตัวผมเชื่อว่า ความพยายามปลุกผีรัฐประหารรอบใหม่ โดยอาศัยกระแสคลั่งชาตินิยม เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2570 (ถ้ารัฐบาลอยู่จนครบวาระ) ด้วยประเมินแล้วว่าโอกาสที่พรรคส้มจะชนะเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่าเดิมมีสูงมาก ทั้งจากผลงานของพรรคส้มเองที่เรียกคะแนนนิยมได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลงานรัฐบาลชุดนี้มีแต่ย่ำแย่ ไม่สามารถส่งมอบนโยบายหลักๆ ที่เคยหาเสียงไว้ได้สำเร็จ เศรษฐกิจประเทศตกต่ำหนัก จีดีพีรั้งท้ายอาเซียน ดีกว่าเมียนมาชาติเดียว
ในความคิดของคนกลุ่มนี้จึงเชื่อว่า การรัฐประหารคือเครื่องมือที่ ‘รวดเร็วและครอบคลุม’ (กว่านิติสงคราม) ในการจัดระเบียบประเทศใหม่อีกรอบ เพื่อตัดวงจร ‘ภัยคุกคามใหม่’ ในนามพรรคประชาชน
ถามว่า แล้วไม่แคร์ประชาคมโลกหรือ คำตอบคือแคร์ แต่มั่นใจว่ารับมืออยู่ เพราะคนกลุ่มนี้เชื่อว่า ‘ระบอบ’ สำคัญก็จริง แต่ยังน้อยกว่า ‘เสถียรภาพ’
จีนและเวียดนามไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็เจริญเติบโต มีมิตรประเทศคบค้าสมาคม นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปไม่ขาดสาย เพราะมั่นใจใน ‘เสถียรภาพ’ ทางการเมือง นโยบาย และโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นตัวแบบที่คนกลุ่มนี้มองเห็นโดยมองข้ามตัวแบบ เช่น เมียนมา, ลาว ,เกาหลีเหนือ
คนส่วนใหญ่ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยจึงต้องแยกแยะให้ออก การเชิดชูทหารอาชีพที่ทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ ปกป้องอธิปไตย เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่อย่าหลงเพลินข้ามเส้นเรียกร้องให้ทหารการเมืองมาบริหารประเทศด้วยเครื่องมือ ‘รัฐประหาร’
อย่าลืมภาพจำและผลพวงจากรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 ที่ทิ้งพิษสงความเลวร้าย ทั้งทางเศรษฐกิจ บั่นทอนความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตย ทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากมายมหาศาล
มอตโตอันทรงพลัง ‘มีลุง ไม่มีเรา – มีเรา ไม่มีลุง’ เคยดังกึกก้องเมื่อปี 2566 จนพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง เป็นความหวังการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า ผ่านไปเพียงสองปีกว่า อย่าปล่อยให้ประโยค ‘ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด’ ปลุกเร้าเลือดชาตินิยมจนหน้ามืดตามัวตกหลุมพราง เรียกทหารกลับมาสร้างประชาธิปไตยลายพรางอีกรอบเลย