ในโลกแห่งรัฐอธิปไตย ชายแดนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทูต และสันติภาพในระดับนานาชาติ ปัญหาข้อพิพาทพรมแดนเป็นโจทย์ที่ประเทศไทยต้องปะมืออยู่เรื่อยมา จนล่าสุด เหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้จุดประกายไฟความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาอีกครั้งในรอบสิบกว่าปี ทั้งยังทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อท่าทีของรัฐบาลในการตอบสนองต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้น ปัญหาชายแดนที่ไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบันยังหมายรวมถึงภัยคุกคามจากกลุ่มว้าแดงในภาคเหนือ ซึ่งประกอบไปด้วยภัยความมั่นคงทั้งแบบเก่าอย่างการรุกล้ำเขตแดน และภัยความมั่นคงแบบใหม่อย่างปัญหาสิ่งแวดล้อมและการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ที่มีการตรวจพบสารเคมีในแหล่งน้ำทางภาคเหนือ อันสันนิษฐานว่ามีที่มาจากการทำเหมืองในพื้นที่ครอบครองของกลุ่มว้าแดงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
ท่ามกลางความท้าทายจากบ้านใกล้เรือนเคียง รัฐบาลไทยอาจต้องตั้งหลักทบทวนกลยุทธ์กันใหม่ในเรื่องของชายแดน วันโอวัน ชวน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาพูดคุยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของข้อพิพาทพรมแดนทั้งสองกรณี พร้อมประเมินท่าทีของรัฐบาลไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One EP.370: ปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กลไกทวิภาคียังมี ไม่ต้องรีบไปศาลโลก เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568
ข้อเท็จจริงและเป้าหมาย: เกิดอะไรขึ้นที่ช่องบก กัมพูชาต้องการอะไร?
เบื้องต้นแถลงการณ์ของฝั่งไทยกับกัมพูชายังไม่สอดคลอดกัน แม้ว่าจะได้พูดคุยกันแล้ว โดยฝั่งไทยชี้แจงว่าทางกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ทหารไทยจึงยิงตอบโต้จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ส่วนทางกัมพูชากล่าวว่าเป็นไทยต่างหากที่เริ่มก่อน อย่างไรก็ดี ดุลยภาคเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดเราสามารถสรุปได้แล้วว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง MOU43 ซึ่งใจความส่วนหนึ่งกำหนดบริเวณที่แต่ละฝ่ายไม่สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ อันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวอาณาเขต เนื่องจากกัมพูชาได้ทำการขุดคูเลตหรือคูติดต่อในดินแดนไร้ผู้ครอบครอง (no man’s land) โดยล่าสุดกัมพูชาได้ถอยทหารออกจากพื้นที่และนำดินมากลบคูเลตแล้ว แต่ดุลยภาคตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่ผิดแล้วจะมากลบทำไม”
ส่วนในกรณีที่พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นดินแดนไร้ผู้ครอบครอง แต่เป็นแผ่นดินไทย กัมพูชาก็อาจเป็นฝ่ายผิดในฐานะละเมิดอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ดุลยภาคชี้ว่านี่คือข้อเท็จจริงที่ทางกัมพูชามักจะไม่กล่าวถึง เนื่องจากกัมพูชาต้องการเน้นย้ำว่าทหารของตนเสียชีวิตจากการรุกรานของไทย เพื่อนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกโดยเป้าหมายคือการขยายเขตแดน
“ผมคิดว่าชนชั้นนำของกัมพูชาโดยเฉพาะฮุน มาเนต (นายกรัฐมนตรี) กับฮุน เซน (ประธานวุฒิสภา อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของฮุน มาเนต) มีเป้าหมายสูงสุดเป็นการทำให้รัฐกัมพูชาได้อาณาเขตเพิ่ม ด้วยการพยายามทำให้พื้นที่ของกลุ่มปราสาทตาเมือน ช่องบก และสามเหลี่ยมมรกตมีการปรับแนวอาณาเขตใหม่ที่จะต้องมาเป็นของกัมพูชา”
ด้วยพื้นฐานนี้ ดุลยภาคจึงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแผนที่กัมพูชาเตรียมการไว้แล้ว ทั้งในทางการทหารและปฏิบัติการทางวัฒนธรรม ส่วนเหตุผลที่กัมพูชาเลือกก่อการในช่วงเวลานี้ เขาเห็นว่าเป็นเพราะรัฐบาลกับกองทัพไทยไม่ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อีกทั้งตระกูลฮุนยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับตระกูลชินวัตร ซึ่งอาจทำให้ทางกัมพูชาเชื่อว่า “ถ้าเปิดศึกแบบนี้ เพื่อนคงไม่กล้าเล่นแรงกลับ หรืออาจช็อกว่าเพื่อนทำได้ขนาดนี้เลยหรือ”

ท่าทีของรัฐบาล: เงียบไป แต่ระยะหลังดีขึ้น
ในด้านการตั้งรับของรัฐบาลไทย ดุลยภาคประเมินว่าในช่วงแรกรัฐบาลไม่ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่แสดงท่าทีของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากพอ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพยังดูไม่กลมเกลียวกันมากนัก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งทำให้เกิดเอกภาพและความร่วมมือระหว่างแต่ละภาคส่วนของรัฐมากขึ้นด้านการรับมือกับปมพิพาทกัมพูชา ดังจะเห็นได้จากการที่แม่ทัพภาคที่ 2 สามารถลงนามเปิด-ปิดจุดผ่านแดนในพื้นที่ ซึ่งปกติแล้วจะถูกตั้งคำถามว่าการใช้คำสั่งดังกล่าวเป็นอำนาจของกองทัพหรือรัฐบาล
กระนั้นการตอบโต้ที่ล่าช้าของรัฐบาลก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอย่างกว้างขวาง ในแง่นี้ดุลยภาคจึงเน้นย้ำว่ารัฐบาลจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ทั้งนี้ ดุลยภาคมองว่าการชูประเด็นสันติภาพของรัฐบาลเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่ก็แสดงความกังวลว่าอาจเกิดปัญหากับไทยได้ หากไทยตั้งแนวต่อสู้แบบนี้ แต่ก็เงียบและไม่อธิบายพฤติกรรมต้องสงสัยของกัมพูชา
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการละเมิดดินแดนหรือข้อตกลง MOU43 ดุลยภาคกล่าวว่า “จะต้องพูดให้ชัด พูดให้ถี่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างนั้น แต่หลังๆ เริ่มดีขึ้น”
กลไกทวิภาคียังมี ไม่ต้องรีบไปศาลโลก
ในส่วนของการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ดุลยภาคเห็นว่าเป็นไปได้ยากเมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายของกัมพูชา โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชาผลักดันการปักเขตแดนในกรณีนี้ไปที่ศาลโลกแล้ว ทำให้บทบาทของ JBC เหลือแค่เพียงการผ่อนคลายความตึงเครียด หรือการบริหารจัดการความขัดแย้งในพื้นที่
“สิ่งที่น่าคุยจริงๆ ควรจำกัดขอบเขตในเรื่องของช่องบกตามที่ฝ่ายไทยเสนอ กัมพูชาอย่าไปไกลเกิน เหตุการณ์เกิดที่ช่องบก ใครยิงใครก่อน ใครขุดคูเลตเข้ามาก่อน ต้องสอบทวนกันให้ชัด และหาแนวปฏิบัติเพื่อลดการเผชิญหน้าและความขัดแย้ง […] แต่ที่ผ่านมากัมพูชาไม่คุยเรื่องนี้เลย เขาอ้างแค่ทหารเสียชีวิตแล้วก็ดันประเด็นเข้าสู่ศาลโลก”
ดุลยภาคเสนอว่าสิ่งที่ไทยทำได้คือการยืนกรานใช้กลไกทวิภาคี (bilateral mechanisms) ที่มีอยู่ก่อน ยังไม่จำเป็นต้องข้ามขั้นตอนไปขึ้นศาลโลก ซึ่งการพูดคุยในระดับนี้อาจเน้นเรื่องทางเทคนิคได้ด้วย โดยเฉพาะการตกลงกันเรื่องแผนที่โดยมีช่างเทคนิคและคณะสำรวจอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีกลไกอื่นๆ ที่นำมาใช้แก้ไขปัญหาได้ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เป็นต้น
โจทย์ยากชายแดนไทยที่ไม่ได้มีแค่กัมพูชา: ว้าแดงกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
ว้าแดงรุกล้ำเขตแดนไทยเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน แต่อาจไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ซึ่งโดยรวมมีข้อพิพาทอยู่ประมาณแปดจุด บางส่วนเป็นเขตแดนที่ไม่ชัดเจน ขณะที่บางแห่งเห็นได้ชัดว่ารุกล้ำเขตแดนไทย โดยเฉพาะบริเวณหนองหลวงซึ่งมีการล้ำดินแดนเข้ามามากถึง 2-3 กิโลเมตร
“เราสามารถใช้กฎหมายอาญาผลักดันกองกำลังทหารต่างชาติออกไป แต่เนื่องจาก [ว้าแดง] เป็นกองกำลังติดอาวุธที่มีแสนยานุภาพประมาณหนึ่ง ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจีนด้วย [ไทย] จึงต้องใช้วิธีการหลายอย่างเพื่อกดดัน”
ดุลยภาคอธิบายว่า เท่าที่ทราบตอนนี้มีการถอนกำลังไปบ้างในบางจุด แต่ก็ต้องจับตาดูว่าจะมีพัฒนาการต่อไปอย่างไร รวมถึงการเจรจาลับต่างๆ ที่เรายังไม่รู้
สำหรับการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ (non-traditional threat) ดุลยภาคให้ความเห็นว่าไทยต้องเจรจาระดับไตรภาคี (trilateral) กับว้าแดง เมียนมา และจีน เนื่องจากพื้นที่ของกองกำลังว้าแดงยังเป็นดินแดนของเมียนมาในทางกฎหมาย และยังมีนายทุนจีนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจต่างๆ ในบริเวณนี้ อันเป็นต้นเหตุของการปล่อยมลพิษในลำน้ำจังหวัดเชียงรายรวมไปถึงลุ่มแม่น้ำโขงโดยกว้าง ในทางนี้ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่นำมาใช้ได้
ทั้งนี้ ดุลยภาคประเมินว่าสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชายังเป็นโจทย์ที่ท้าทายกว่าเมื่อเทียบกับว้าแดง เนื่องจากลักษณะการทูตแบบ “พลิ้วไหวผสมบิดพลิ้ว” ของผู้นำกัมพูชา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ผลประโยชน์ และการต่อรอง มากกว่าจะยืนอยู่บนหลักการหรือข้อตกลงระหว่างกัน นอกจากนี้ สถานภาพของกัมพูชาในฐานะรัฐอธิปไตยยังทำให้กัมพูชาเข้าถึงกลไกระหว่างประเทศอย่างศาลโลกได้ ในขณะที่กลุ่มว้าแดงเป็นตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ ลักษณะการทูตของว้าแดงเองก็ดูจะไม่พลิ้วไหวผสมบิดพลิ้วเท่ากัมพูชาด้วย

รัฐบาลไทยต้องเดินเกมแบบแมคคิเวลเลียนบ้าง
“ในแง่สไตล์การทูตที่ผ่านมา [ไทย] เน้นการทูตแบบสุภาพบุรุษ แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกัมพูชา เพราะกัมพูชาเล่นเรื่องการเป็นรัฐเล็กที่ถูกรัฐใหญ่รังแกมาสร้างข้อต่อรองทางการเมืองให้ประชาคมโลกสงสารและเห็นใจ นี่คือกลยุทธ์ของกัมพูชา”
ความจริงที่ว่าฮุน เซน ถูกขนานนามว่าเป็น ‘แมคคิเวลลีแห่งอุษาคเนย์’ ผู้เน้นอุบายและการฉ้อฉลทางการเมืองซึ่งให้ความสำคัญกับอำนาจและผลประโยชน์มากกว่าศีลธรรม ทำให้การทูตของกัมพูชามีเล่ห์เหลี่ยมคล้ายสุนัขจิ้งจอก เพื่อตอบโต้กับแนวทางนี้ ดุลยภาคมองว่ารัฐบาลต้องเริ่มเดินเกมแบบแมคคิเวลเลียนบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งการทูตแบบสุภาพบุรุษไปเสียหมด
ส่วนในเรื่องของยุทธศาสตร์ชายแดน ไทยต้องปรับปรุงเช่นกัน โดยดุลยภาคมองว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา “พูดภาษาแบบภูมิรัฐศาสตร์คือเราถูกจ่อคอหอย” ไทยถูกว้าแดงกับจีนคุกคามในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ส่วนสามเหลี่ยมมรกตก็ถูกกัมพูชานำเรื่องไปศาลโลก
โดยเฉพาะเมื่อฮุน มาเนต กล่าวถึงความสำคัญของการปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต (territorial identity) ของกัมพูชา ดุลยภาคชี้ว่าเป็นอันตรายต่อสันติภาพในภูมิภาค โดยอัตลักษณ์อาณาเขตในกรณีนี้หมายถึงการที่รัฐกัมพูชาใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนเองมาผูกติดกับเขตแดนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ดังนั้น นอกจากการแข่งขันกันของประเทศมหาอำนาจแล้ว ไทยยังต้องเผชิญกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการขยายดินแดนรวมไปถึงกองกำลังติดอาวุธชาติพันธ์ที่รุกล้ำเข้ามา
“ฉะนั้นถ้าเราไม่มีทางเลือกจริง ๆ เราก็ต้องขยายอำนาจไปแนวหน้าบ้าง […] ต้องรู้จักแสดงอำนาจ (power projection) เพื่อถ่วงดุลกับเพื่อนบ้าน” ดุลยภาคกล่าว
ในส่วนของภาคประชาชน ดุลยภาคเน้นย้ำให้เราติดตามข่าวสารอย่างมีสติและเป็นห่วงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ควบคู่กับไปสันติภาพในฐานะพลเมืองโลก นอกจากนี้ ชาวไทยยังสามารถท้วงติงเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาได้ในเรื่องที่เป็นอันตรายต่อความสงบสุขในภูมิภาค เช่น การกล่าวถึงอัตลักษณ์เชิงอาณาเขตของกัมพูชาที่แสดงถึงแนวโน้ม “เคลมโบเดีย”
“เราต้องตั้งสติตัวเองและพยายามตั้งสติเพื่อนบ้านด้วย” ดุลยภาคทิ้งท้าย
