ประชาคมอาเซียนกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่ท้าทาย เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และภูมิทัศน์โลกที่ผันผวนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้นและการใช้เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์ในการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ได้ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อภูมิภาคของเรา
ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 วันที่ 26-27 พฤษภาคม 2025 นี้ ที่ประเทศมาเลเซียเป็นประธานและเจ้าภาพ จะมีการลงนาม ‘วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนปี 2045’ (ASEAN Community Vision 2045: ACV 2045) ที่จะมีการเผยแพร่ต่อประชาชนอาเซียนภายใต้ Kuala Lumpur Declaration of the ASEAN Community Vision (ACV) 2045 โดย ACV 2045 ไม่ได้เป็นเพียงแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในอีก 20 ปีข้างหน้าเท่านั้น หากแต่เป็นเข็มทิศสำคัญที่จะนำทางอาเซียนให้สามารถยืนหยัดและเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ โดยมี 4 เสาหลัก อันประกอบไปด้วยเสาหลักด้านการเมือง-ความมั่นคง, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมวัฒนธรรม และการบูรณาการเชื่อมโยงข้ามทั้ง 3 เสาหลัก เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน เพื่อให้ในปี 2045 ประชาคมอาเซียนของเราจะเป็นประชาคมที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ มีพลวัต และเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง หรือ Resilient, Innovative, Dynamic and People-Centered ASEAN Community ได้อย่างแท้จริง
I. เสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง (Political-Security Community) ในกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลก
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเสถียรภาพในภูมิภาค (Geopolitical Rivalries and Regional Stability): การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงการแทรกแซงจากภายนอกภูมิภาค สร้างแรงกดดันต่อความเป็นเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน แต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนต่างมีจุดยืนและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเหล่านี้จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องอาศัยการทูตเชิงรุกและความร่วมมืออย่างใกล้ชิด
- ความมั่นคงทางทะเลและข้อพิพาททางอาณาเขต (Maritime Security and Territorial Disputes): ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดในภูมิภาค การแสวงหาแนวทางการแก้ไขอย่างสันติบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกประเทศสมาชิก ประเทศไทยเองก็มีประเด็นห่วงกังวลในมิตินี้เช่นกันโดยเฉพาะกรณีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทั้งในทะเลและตะเข็บชายแดนทั้งกับกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว
- อาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย (Maritime Security and Territorial Disputes): ภัยคุกคามเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและโลก การยกระดับความร่วมมือด้านข่าวกรอง การบังคับใช้กฎหมาย และการจัดการกับปัจจัยพื้นฐานที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมและการก่อการร้ายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อาเซียนเผชิญปัญหาเหล่านี้และยังเชื่อมโยงผูกพันกับประเทศนอกอาเซียนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายอาชญากรรมยาเสพติด อาวุธเถื่อน การค้ามนุษย์ การค้าสินค้าเถื่อน เครือข่ายหลอกลวง Scamming/ Call-center ฯลฯ
- ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cybersecurity Threats): ในโลกที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น ภัยคุกคามทางไซเบอร์กลายเป็นความท้าทายใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในระดับชาติและภูมิภาค และการสร้างความร่วมมือในการรับมือกับภัยคุกคามจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในอาเซียนที่ความฉลาดรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลยังมีความลักลั่นกัน
- ประสิทธิภาพของสถาบันและการตัดสินใจ (Institutional Effectiveness and Decision-Making): ความสามารถของอาเซียนในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์และความท้าทายต่างๆ อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของสถาบันและกระบวนการตัดสินใจ การปรับปรุงกลไกการทำงานของกลไกต่างๆ อาเซียนตั้งแต่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรมอาเซียน หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ
II. เสาหลักด้านเศรษฐกิจ (Economic Community) ท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิเศรษฐศาสตร์
- การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital Transformation and Innovation): การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจส่งผลกระทบต่อโอกาสและความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน แต่ละประเทศสมาชิกมีระดับการพัฒนาทางดิจิทัลที่แตกต่างกัน การลดช่องว่างดิจิทัลและการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ยั่งยืนและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Resilience): การพยายามลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้หลายประเทศพิจารณาการกระจายห่วงโซ่อุปทาน หรือแม้แต่การใช้เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์เป็นอาวุธในการห้ำหั่นกันผ่านเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า กีดกันการถ่ายทอดเทคโนโลยี จนกลายเป็นสงครามเศรษฐกิจ อาเซียนเองต้องหลีกเลี่ยงทัศนคติด้านลบเหล่านี้ และวางตำแหน่งของตนให้มีโอกาสในการเป็นฐานการผลิตทางเลือก เสริมสร้างความเชื่อมโยงภายในภูมิภาคและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน
- การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Inclusive Economic Growth): การเติบโตทางเศรษฐกิจต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในและระหว่างประเทศสมาชิกยังคงเป็นความท้าทาย การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและการดูแลกลุ่มเปราะบางจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- การพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว (Sustainable Development and Green Economy): การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นความท้าทายระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในอาเซียน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวและการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
- การบูรณาการทางการค้าและการเข้าถึงตลาด (Trade Integration and Market Access): การรักษาและส่งเสริมการค้าเสรีและเปิดกว้างในภูมิภาคคือจุดเริ่มต้นการบูรณาการภูมิภาคอย่างเป็นทางการในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ผ่าน ASEAN Free Trade Agreement (AFTA) สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ในปี 2015 ซึ่งคือความสำเร็จที่ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิกทะยานขึ้น สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องคือการเปิดตลาดให้เข้าถึงโอกาส และการแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งภายในระหว่างสมาชิกกับภายนอกภูมิภาค เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในเวทีโลก และยึดโยงกับหลักการพหุภาคีนิยม (Multilateralism) ที่เป็นค่านิยมและปัจจัยสนับสนุนให้อาเซียนเป็นกำลังหลักของประชาคมเศรษฐกิจโลก
III. เสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural Community): หัวใจของการขับเคลื่อนประชาคม
- สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (Human Rights and Fundamental Freedoms): การเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่ยั่งยืน เท่าเทียม และยุติธรรม แม้ว่าแต่ละประเทศสมาชิกจะมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การส่งเสริมหลักการเหล่านี้ในระดับภูมิภาคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำในการบูรณาการประเด็นสิทธิมนุษยชนให้เป็นส่วนสำคัญของกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเรายังคงจำเป็นที่จะต้องผลักดันเรื่องนี้ต่อไปอย่างแข็งขัน
- การศึกษาและการพัฒนาบุคลากร (Education and Workforce Development): จุดแข็งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของประชาคมอาเซียนคือ ทรัพยากรมนุษย์เรือน 680 ล้านประชากร การลงทุนในการศึกษาและการพัฒนาทักษะของประชาชนเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต ดังนั้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างบุคลากรที่มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- สาธารณสุขและความพร้อมรับมือโรคระบาด (Public Health and Pandemic Preparedness): ประสบการณ์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและความร่วมมือในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพในแต่ละประเทศและการประสานงานในระดับภูมิภาคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- การคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึงทุกภาคส่วน (Social Protection and Inclusivity): การสร้างหลักประกันทางสังคมสำหรับประชาชนทุกคน ไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลังโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่ยั่งยืน การขยายขอบเขตการคุ้มครองทางสังคมและการส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสสำหรับทุกคนจึงมีความสำคัญ
- การอนุรักษ์และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม (Cultural Preservation and Exchange): ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นจุดแข็งของอาเซียน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของอาเซียนที่ควรส่งเสริมให้ประชาชนภาคภูมิใจกับความหลากหลาย (Appreciating Diversity) การส่งเสริมความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมไม่เพียงแต่เสริมสร้างความรู้สึกเป็นประชาคม แต่ยังช่วยสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์
IV. ประเด็นข้ามเสาหลักและการเชื่อมโยง (Cross-Pillar and Connectivity Issues): รากฐานของการบูรณาการ
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยง (Infrastructure Development and Connectivity): การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน ระบบส่งพลังงาน) และดิจิทัล (เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบูรณาการทางเศรษฐกิจและสังคม การเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งจะช่วยลดต้นทุนทางการค้า ส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Climate Change and Environmental Sustainability): ในห้วงเวลาที่มหาอำนาจบางประเทศหันหลังให้กับการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ประชาคมโลกและประชาคมอาเซียนยิ่งต้องการความทุ่มเทร่วมมือร่วมกัน (Collective Effort) เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายร่วมกันของทุกประเทศ การส่งเสริมความร่วมมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน และเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาประชาคมที่ยั่งยืน ดังนั้นประเด็นนี้จึงต้องเป็นประเด็นข้ามเสาหลักที่ต้องการความเชื่อมโยงให้ทุกมิติของอาเซียน
ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์โลกและการแข่งขันทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่เข้มข้น เสาหลักทั้ง 4 เสาหลักผ่านการวางวิสัยทัศน์ใน 17 ประเด็นของอาเซียนในอีก 20 ข้างหน้า จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นให้กับประชาคมอาเซียน การให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วน การอนุรักษ์วัฒนธรรม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและความมั่นคงในระยะยาว การบูรณาการความร่วมมือในประเด็นเหล่านี้อย่างจริงจัง จะช่วยให้อาเซียนสามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคน
หวังว่าบทความนี้จะสามารถขยายความและให้รายละเอียดเกี่ยวกับ 17 ประเด็นในวิสัยทัศน์อาเซียนปี 2045 ในบริบทของสถานการณ์โลกปัจจุบัน (แม้เอกสารวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 46) และเน้นย้ำถึงความสำคัญของทั้ง 4 เสาหลักในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดประชาคมอาเซียนที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ มีพลวัต และเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง หรือ Resilient, Innovative, Dynamic and People-Centered ASEAN Community ได้อย่างแท้จริง