เหตุการณ์โจมตีที่เมืองพาฮาลแกมเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2025 ได้กลายเป็นฉากเปิดของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิรัฐศาสตร์เอเชียใต้ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองชาตินิวเคลียร์อย่างอินเดียและปากีสถาน เสียงปืนที่คร่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไม่เพียงแต่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศอินเดีย แต่ยังจุดชนวนความโกรธแค้นให้ลุกลามไปในทุกระดับของสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเมื่อมีการจงเป้าหมายไปที่เชื้อชาติ ศาสนา และเพศสภาพ ยิ่งตอกย้ำว่าการก่อการร้ายครั้งนี้ได้ข้ามขีดจำกัดความอดทนของอินเดียอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการสังหารพลเรือนมือเปล่า ซึ่งต่างจากเหตุก่อความรุนแรงของกลุ่มก่อการร้ายในแคชเมียร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังเกิดเหตุการณ์ รัฐบาลอินเดียตอบสนองทันทีด้วยการเรียกประชุมคณะกรรมการฝ่ายความมั่นคง (Cabinet Committee on Security: CCS) เพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้ ซึ่งการตัดสินใจของคณะกรรมการมุ่งเน้นมาตรการทางการเมือง การทูต และเศรษฐกิจ เพื่อกดดันปากีสถาน ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกวีซ่าชาวปากีสถานทั้งหมด การระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ ไปจนถึงการปิดด่านพรมแดนกับปากีสถานทั้งหมด สถานการณ์ตลอดเดือนเมษายนจึงเต็มไปด้วยคำข่มขู่และความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ แม้นานาชาติจะพยายามเป็นตัวกลางและเรียกร้องให้ทั้งสองลดระดับความแข็งกร้าวต่อกัน แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ดีขึ้นอย่างที่คิด
เพราะวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเปิดปฏิบัติการสินดูร์ โจมตีฐานกองกำลังก่อการร้ายในปากีสถานกว่า 9 จุด โดยยิงขีปนาวุธจำนวนมากใส่เป้าหมายตลอดแนวชายแดนจากพื้นที่จัมมูและแคชเมียร์ จนถึงเขตที่ติดกับรัฐปัญจาบ ส่งผลให้เกิดการโจมตีตอบโต้กันตลอดแนวพรมแดนของทั้งสองประเทศ และดูเหมือนความขัดแย้งจะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็น ‘มหาสัประยุทธ์แห่งเอเชียใต้ สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ภาคที่ 4’ หลังจากที่ทั้งสองประเทศเคยปะทะกันอย่างรุนแรงเต็มรูปแบบในปี 1971 บทความชิ้นนี้จึงอยากย้อนดูปัจจัยขับเคลื่อนที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้อาจรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี และหาคำตอบว่าเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสงครามอินเดีย-ปากีสถาน
ปฏิบัติการสินดูร์: แนวปฏิบัติใหม่ด้านความมั่นคงของอินเดีย
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอินเดีย-ปากีสถานครั้งที่ 2 ในปี 1971 อันเป็นเหตุให้เกิดประเทศบังกลาเทศ และนำมาสู่การลงนามในข้อตกลงชิมลา (Simla Agreement) ในปี 1972 ซึ่งอินเดียและปากีสถานตกลงกำหนดเส้นควบคุม (Line of Control) ในบริเวณเขตแคชเมียร์เพื่อแบ่งพื้นที่การดูแลเหนือแคว้นดังกล่าว ข้อตกลงนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งใดๆ อินเดียและปากีสถานจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ส่งกองทัพข้ามเส้นควบคุมนี้ หรือพยายามใช้ความรุนแรงให้น้อยที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันมากเท่าไหร่ สงครามใหญ่ระหว่างอินเดียและปากีสถานก็แทบไม่เคยเกิดขึ้น การปะทะกันส่วนใหญ่จำกัดวงอยู่ในพื้นที่เฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการ์กิล (Kargil) ปี 1999 หรือปฏิบัติการอินเดียโจมตีตอบโต้ปากีสถานในปี 2019 อย่างไรก็ตาม นักยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการทหารของอินเดีย ต่างมองตรงกันว่าสถานการณ์ความมั่นคงและมิติด้านสงครามในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะปฏิบัติการของปากีสถาน
ทุกวันนี้ ฝ่ายความมั่นคงและข่าวกรองของอินเดียเชื่อว่าปากีสถานใช้การสงครามรูปแบบใหม่บ่อนทำลายความมั่นคงของอินเดีย โดยเฉพาะการอาศัยกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาปฏิบัติการโจมตีกองกำลังทหารของอินเดียในเขตแคชเมียร์ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง อินเดียมองว่าการสงครามรูปแบบใหม่นี้กำลังท้าทายความมั่นคงภายในของอินเดียอย่างมาก และจำเป็นต้องวางมาตรการป้องปรามเพื่อให้ปากีสถานรับรู้ว่าการกระทำลักษณะนี้ – ที่อินเดียเชื่อว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง – ต้องถูกตอบโต้โดยแนวทางปฏิบัติใหม่จากอินเดีย
การถือกำเนิดขึ้นของปฏิบัติการสินดูร์ในรุ่งอรุณของวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 จึงถูกนิยามว่าเป็นทศวรรษใหม่แห่งแนวนโยบายด้านความมั่นคงของอินเดียต่อปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย รวมถึงการจัดสรรความสัมพันธ์กับปากีสถาน เพราะนอกจากอินเดียจะไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากนานาชาติแล้ว ยังเปิดเผยปฏิบัติการดังกล่าวสู่สาธารณะอย่างภาคภูมิใจว่ามีการโจมตีเป้าหมายกี่จุดในปากีสถาน
ศาสตราจารย์แฮปปี้มอน เจคอบ (Happymon Jacob) ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน จากมหาวิทยาลัยเยาวหราล เนรูห์ ถึงกับระบุว่าปฏิบัติการนี้ นอกจากจะเป็นหลักปฏิบัติใหม่ในการตอบโต้สงครามรูปแบบใหม่ ยังเป็นการปิดฉากความสัมพันธ์เดิมกับปากีสถาน เพื่อเริ่มกระบวนการความสัมพันธ์ใหม่ทั้งหมด โดยเจคอบยังระบุเพิ่มเติมว่า นับแต่นี้ ในแนวปฏิบัติด้านความมั่นคง อินเดียจะถือว่าการอาศัยกลุ่มก่อการร้ายโจมตี เท่ากับหรือเสมือนว่าชาตินั้นโจมตีอินเดียโดยตรง ซึ่งอินเดียมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการตอบโต้กลับโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานที่เพียงพอ
ฉะนั้น ปฏิบัติการสินดูร์ครั้งนี้จึงไม่ใช่การตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานโดยทั่วไป แต่เป็นการส่งสัญญาณด้านการทหารของอินเดียต่อปากีสถานว่าอะไรคือเส้นแดง (Red Line) ใหม่ ที่อินเดียกำลังขีดขึ้นและปากีสถานไม่ควรข้าม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าคือการขยับเพดานนโยบายความมั่นคงครั้งใหญ่ของอินเดียในรอบหลายสิบปี ดังนั้นปฏิบัติการนี้จึงเป็นมากกว่าชื่อการโจมตีทางการทหาร แต่ยังแฝงนัยของมุมมองและมิติด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้วย
แน่นอนว่าปฏิบัติการสินดูร์ของอินเดีย นำไปสู่การตอบโต้กลับของปากีสถานตลอดแนวพรมแดน โดยเฉพาะการใช้ขีปนาวุธและเครื่องบินรบโจมตีอินเดีย จนเป็นเหตุให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศบานปลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปากีสถาน ที่วันนี้กองทัพกำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ และกองทัพเองก็มองเห็นว่าการตอบโต้อินเดียจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาสถานะทางการเมืองของตน
แรงกดดันภายในของปากีสถาน สู่การตอบโต้ที่ต้องทำอย่างสมน้ำสมเนื้อ
เวลาเราพูดกันถึงเรื่องนโยบายความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหยิบยกปัจจัยการเมืองภายในขึ้นมาเป็นประเด็นในการพิจารณาแนวทางการตัดสินใจก่อสงครามหรือปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะนับตั้งแต่การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอิมราน ข่าน ผู้ป่าวประกาศอยู่เสมอว่าตนสูญเสียอำนาจเพราะการแทรกแซงของกองทัพ นั่นเป็นเหตุให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมากองทัพปากีสถานต้องเสียสถานะทางการเมืองและความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนอย่างมาก
เพราะต้องอธิบายก่อนครับว่า กองทัพปากีสถานถือเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นจากชาวปากีสถานมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์กับอิมราน ข่าน ไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่หลายฝ่ายเชื่อกันว่ากองทัพอยู่เบื้องหลังผลการเลือกตั้ง และถือเป็นคนสร้างดีลสำคัญในการตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน สถานะที่สั่นคลอนของกองทัพปากีสถานถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องกล่าวถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่เกิดการโจมตีอธิปไตยของประเทศ กระแสชาตินิยมก็จะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งเมื่อคู่ขัดแย้งคืออินเดียด้วยแล้ว กระแสชาตินิยมของชาวปากีสถานก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นมากเป็นพิเศษ
แน่นอนว่ากองทัพปากีสถานก็จับสัญญาณนี้ได้ และเมื่อการผูกขาดความรุนแรงและยุทโธปกรณ์อยู่ในมือของกองทัพ ความคาดหวังต่อการตอบโต้จึงยิ่งพุ่งไปที่กองทัพโดยตรง ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเลย ที่ปากีสถานจะเลือกเส้นทางการเจรจาสันติภาพกับอินเดียในเวลานี้ ในห้วงเวลาที่กองทัพมีอำนาจบัญชาการรัฐบาลอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ การเปิดฉากโจมตีตอบโต้อินเดียจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลและกองทัพปากีสถานต้องทำอย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อเรียกคะแนนสนับสนุนจากชาวปากีสถานจากที่กำลังตกต่ำอย่างมาก
ขณะที่หน้าข่าวของอินเดียอาจเต็มไปด้วยวาทกรรมจากนักการเมืองสายชาตินิยม ตรงกันข้ามกับหน้าข่าวของปากีสถานที่เต็มไปด้วยแถลงการณ์ทางการทหาร นี่คือภาพสะท้อนชัดเจนของบทบาทกองทัพปากีสถานในการกำหนดแนวนโยบายด้านความมั่นคง (ที่ในอดีตอิมราน ข่าน พยายามอย่างมากเพื่อลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลให้เขาต้องสิ้นสุดเส้นทางทางการเมืองด้วยข้อหาการทุจริต และถูกตัดสิทธิเล่นการเมืองไปอีกหลายปี) ปฏิบัติการสินดูร์ของอินเดียในรอบนี้ นอกจากจะส่งผลต่อการปรับแนวนโยบายด้านความมั่นคงของอินเดียแล้ว ในอีกทางหนึ่งคือการชุบชีวิตให้กองทัพปากีสถานกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และใช้โอกาสนี้เพิ่มความไว้วางใจของประชาชนต่อกองทัพอีกด้วย
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ปากีสถานจะไม่มีท่าทีลดละต่อการตอบโต้ปฏิบัติการทางทหารของอินเดีย หนำซ้ำยังมีแนวโน้มที่ปฏิบัติการทางทหารจะขยายวงมากยิ่งขึ้น เพราะสำหรับกองทัพปากีสถานแล้ว นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญในการรื้อฟื้นบทบาทของตัวเองที่สูญเสียไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ นักยุทธศาสตร์และนักวิชาการด้านความมั่นคงจึงมองว่าความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถานรอบนี้ได้ขยายสู่การเป็นสงครามระหว่างสองชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีทางการทหารเข้าโจมตีห้ำหั่นกันเท่านั้นเอง
มหาสัประยุทธ์ครั้งที่ 4 ระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน กับสถานการณ์ความมั่นคงของเอเชียใต้และภูมิรัฐศาสตร์โลก
ด้วยปัจจัยภายในที่เปลี่ยนแปลงไปของปากีสถาน ผนวกกับมุมมองทางด้านความมั่นคงของอินเดียที่ไม่เหมือนเดิม สงครามอินเดีย-ปากีสถานครั้งที่ 4 จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป แม้ทั้งสองประเทศจะยังไม่ได้ประกาศสงครามกันอย่างเป็นทางการ แต่ท่าทีการโจมตีเป้าหมายการทหารของทั้งสองประเทศนับตั้งแต่ปฏิบัติการสินดูร์ก็เป็นที่ชัดเจนมากแล้วว่าสงครามได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ และสิ่งที่ชี้ชัดมากกว่านั้นคือปฏิบัติการทางทหารไม่ใช่เพียงกองทัพบกและกองทัพอากาศเท่านั้น แต่มีการประเมินว่ากองทัพเรือของทั้งสองประเทศก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การปะทะกันยังกินพื้นที่ตลอดแนวพรมแดนของทั้งสองประเทศ ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์จรดรัฐคุชราตของอินเดีย มีรายงานว่ามีการใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีลึกเข้าไปถึงชานกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ในขณะที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ต้องยกระดับความมั่นคงขั้นสูงเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีของปากีสถาน การตอบโต้กันลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมานานมากนับตั้งแต่เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วในสงครามปลดปล่อยบังคลาเทศปี 1971 กล่าวได้ว่าการปะทะกันรอบนี้ขยายตัวกว่าที่เคยเป็นมาตลอดศตวรรษที่ 21
แน่นอนว่าลักษณะเช่นนี้สร้างปัญหาต่อเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียใต้อย่างมาก เพราะปฏิเสธได้ยากว่าทั้งอินเดียและปากีสถานล้วนมีบทบาทสำคัญต่อมิติทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะหากการปะทะกันขยายขอบเขตสู่ทะเลอาหรับ แน่นอนว่าย่อมยังผลอย่างมากต่อเสถียรภาพการเดินเรือในพื้นที่ดังกล่าว และอาจกระทบไปไกลถึงภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างอิหร่านด้วย เป็นเหตุให้หลายชาติพยายามอย่างมากเพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศไม่ขยายวงความขัดแย้งและหาทางเจรจากันให้มากยิ่งขึ้น
แต่นอกเหนือจากเสถียรภาพความมั่นคงในเอเชียใต้แล้ว สงครามอินเดีย-ปากีสถานยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงโลกด้วย เพราะทั้งสองชาติต่างมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง ที่ปัจจุบันยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศใด ยิ่งเมื่อปากีสถานไม่มีนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนด้วยแล้ว ความขัดแย้งรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้นหลายเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ประชาคมระหว่างประเทศพยายามอย่างมากเพื่อเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย หรือแม้แต่อิหร่าน
มหาสัประยุทธ์ครั้งที่ 4 ระหว่างอินเดีย-ปากีสถานนี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะในมิติด้านความมั่นคงศึกษา เพราะนี่ถือเป็นหลักการและแนวปฏิบัติใหม่ของอินเดียในการตอบโต้การก่อการร้าย ในฐานะพฤติการณ์ก่อสงครามของปากีสถาน ซึ่งอินเดียย้ำหลายครั้งว่า ต่อไปนี้“ปฏิบัติการก่อการร้ายในอินเดีย ถือเป็นการกระทำสงครามต่ออินเดีย”