อนุสนธิจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร ทำให้ได้รับรู้ความจริงประการหนึ่งว่า กองทัพไทย ‘หวง’ ธุรกิจหรือกิจการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างมาก ราวกับว่ามันเป็นกิจการประจำเหล่าหรือหน่วยทหาร หรือในหลายกรณีเป็นของรุ่น เหล่า หรือ นายทหารบางกลุ่มบางพวกมากกว่าจะเป็นสมบัติของชาติซึ่งสามารถโอนย้าย ปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือแม้แต่ยุบเลิกไปเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรและประโยชน์สาธารณะ
ประกอบกับการได้อ่านงานของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2483-2566) อีกครั้งในผลงานรวมเล่มล่าสุด ‘ทหารไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’ (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2568) ว่าด้วยวัฒนธรรมทหารในกองทัพไทยและกองทัพอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดความคิดว่า น่าจะลองใช้แนวคิด ‘patrimonialism’ เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์กองทัพไทยดูบ้าง เผื่อว่าจะได้แนวทางในการปฏิรูปกองทัพไทยให้ ทันสมัย เข้มแข็ง และที่สำคัญเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วหันไปให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักในการป้องกันประเทศเสียที
แนวคิด patrimonialism หรือ patrimonial state หรือ รัฐแบบอุปถัมภ์ ซึ่งคำนิยามที่นักวิชาการไทยนิยมใช้กัน เช่น รัฐราชสมบัติ (นิธิ เอียวศรีวงศ์) และ รัฐสมบัติ (ปิยบุตร แสงกนกกุล) นั้นมาจากมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ซึ่งนิยามรัฐชนิดนี้ว่าเป็นรัฐที่ผู้ปกครองถือว่าอำนาจรัฐและกลไกรัฐทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และใช้อำนาจในการบริหารประเทศ เสมือนเป็นกิจการบ้านเรือนของตนเอง
คุณลักษณะสำคัญของรัฐแบบ patrimonial นั้นพอจะจำแนกให้ชัดเจนได้ 5 ประการด้วยกัน
ประการแรกอำนาจเป็นของผู้ปกครองหรือชนชั้นนำ ในรัฐแบบ patrimonial อำนาจถูกมองว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของกษัตริย์ ผู้นำทางทหาร หรือชนชั้นนำ ไม่ใช่ของประชาชน ผู้ปกครองมักจะแต่งตั้งข้าราชการจากเครือญาติหรือผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเองเป็นสำคัญโดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ไม่มี ‘meritocracy’ หรือที่เรียกว่าระบบคุณาธิปไตย ตัวอย่างที่เห็นชัดในอดีตคือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์ถือว่ารัฐเป็นของตนเอง
ประการที่สอง ระบบราชการไม่เป็นอิสระ รัฐแบบ patrimonialism ไม่มีระบบราชการที่แยกออกจากอำนาจของผู้นำ ผู้มีอำนาจสามารถแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการหรือออกคำสั่งที่ขัดกับหลักกฎหมายสากลได้ง่าย ข้าราชการไม่ได้ทำงานเพื่อรัฐหรือประชาชน แต่ทำงานเพื่อเจ้านายหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า
ประการที่สาม การเมืองแบบอุปถัมภ์ (clientelism) ระบบอุปถัมภ์ (patron-client system) เป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้างของรัฐแบบนี้ ผู้มีอำนาจใช้ทรัพยากรของรัฐในการแจกจ่ายผลประโยชน์ให้กับพวกพ้อง (cronies) หรือกลุ่มที่สนับสนุนตนเอง คนที่อยู่ในระบบราชการไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนโดยรวม แต่เพื่อให้ตัวเองและเครือข่ายได้รับผลประโยชน์
ประการที่สี่ ไม่มีหลักนิติรัฐ (Rule of Law) อย่างแท้จริง รัฐแบบ patrimonial ไม่มีการใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค กฎหมายถูกตีความเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนำและผู้มีอำนาจ ศาลและระบบตุลาการมักถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาล กองทัพ หรือหน่วยงานของรัฐได้อย่างแท้จริง มีการบังคับใช้แบบเลือกปฏิบัติ เช่นลงโทษคนที่วิพากษ์วิจารณ์อำนาจแต่ละเว้นหรือผ่อนปรนให้กับความผิดของคนในเครือข่ายอำนาจ
ประการสุดท้าย เศรษฐกิจผูกสัมพันธ์กับชนชั้นนำอย่างแนบแน่น ระบบเศรษฐกิจของรัฐแบบนี้มักถูกควบคุมโดยเครือข่ายของผู้ปกครอง ซึ่งนำไปสู่การผูกขาดทางธุรกิจโดยชนชั้นนำหรือคณาธิปไตย (oligarchy) มีการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม และจำกัดการแข่งขันจากกลุ่มอื่น
ในโครงสร้างรัฐที่ผู้ปกครองถืออำนาจเสมือนเป็นสมบัติส่วนตัวเช่นนี้ กองทัพจึงถูกใช้เป็นกลไกสำคัญในการรักษาโครงสร้างดังกล่าว กองทัพไทยดำรงอยู่ภายใต้ระบบที่เอื้อให้ทหารระดับสูงสามารถใช้สถานะของตนเพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นนำแทนที่จะทำหน้าที่รับใช้ประชาชนและรัฐตามหลักสากล
กองทัพไทยในบริบทนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องประชาธิปไตยหรือสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับเป็นผู้กำหนดทิศทางของรัฐไทย ผ่านการรัฐประหาร และการแทรกแซงการเมืองในรูปแบบต่างๆ และการดำรงสถานะพิเศษที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสังคม ถ้าเอาแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับกองทัพก็อาจจะเรียกว่าเป็น ‘patrimonial military’ เพื่อช่วยอธิบายว่ากองทัพไทยยังคงดำรงอยู่ในฐานะกองทัพแบบอุปถัมภ์หรือกองทัพราชสมบัติที่มีบทบาทหลักในการรักษาสมดุลอำนาจของชนชั้นนำ มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนโดยรวม
รากเหง้าของกองทัพไทยสามารถสืบย้อนกลับไปถึงยุคก่อนรัชกาลที่ 5 ซึ่งกองทัพไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจของกษัตริย์โดยตรง ระบบไพร่หลวงถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเกณฑ์แรงงานทางทหารเพื่อปกป้องราชอาณาจักร ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด patrimonialism อย่างชัดเจน กล่าวคือ อำนาจทหารผูกขาดอยู่กับสถาบันกษัตริย์และชนชั้นปกครอง อันได้แก่ ขุนนาง เสนาอมาตย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องของกษัตริย์ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรัฐกับบุคคลที่ปกครองรัฐ
ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีความพยายามทำให้กองทัพเป็นระบบราชการแบบสมัยใหม่ ผ่านการจัดตั้งโรงเรียนทหาร และการพัฒนาโครงสร้างทางทหารตามแบบยุโรป ซึ่งถ้ามองจากสายตาของนิธิ เอียวศรีวงศ์ถือเป็นการสร้างกองทัพแบบอาณานิคมซึ่งแพร่ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลานั้น อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมของกองทัพสมัยเก่ากลับดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่ง การแต่งตั้งนายทหารระดับสูงยังคงขึ้นกับสายสัมพันธ์ทางอำนาจมากกว่าความรู้ความสามารถที่เป็นประจักษ์ ระบบอุปถัมภ์ยังฝังรากลึก กองทัพแม้จะดูเป็น ‘สมัยใหม่’ ในเชิงรูปแบบ แต่ยังคงเป็น patrimonial military ในเนื้อหาและทางปฏิบัติ แต่ถ้าจะว่าไปแล้วนั่นดูเหมือนจะเป็นประสงค์ของรัชกาลที่ 5 เองที่ต้องการมีกองทัพที่ทันสมัยเอาไว้ปกป้องราชบัลลังก์มากกว่าจะทำหน้าที่ป้องกันประเทศจริงๆ เพราะถ้าจะว่าไปแล้วลัทธิล่าอาณานิคมซึ่งเป็นภัยคุกคามในสมัยนั้นใหญ่เกินกว่ากองทัพแห่งสยามจะรับมือไหว
หลังการปฏิวัติ 2475 กองทัพไม่ได้ถูกทำให้เป็นองค์กรของรัฐในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในทางกลับกันกองทัพค่อยๆ กลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจร่วมกันกับ (ถึงไม่อาจจะแทนที่) ราชสำนัก เฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหาร 2490 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กองทัพพระราชาของไทยกลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเมืองของประเทศ นับแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพได้กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลมากกว่ารัฐบาลพลเรือน มีการใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือหลักในการรักษาสถานะของตนเอง และปิดกั้นความพยายามในการทำให้กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของประชาชนและรัฐสภา
Patrimonial Military ในศตวรรษที่ 21
แม้ว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเปลี่ยนแปลงกองทัพจาก patrimonial military ไปเป็นกองทัพที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน แต่ตรงกันข้ามกองทัพไทยยังคงรักษาสถานะเป็นกองทัพแบบอุปถัมภ์หรือเป็นราชสมบัติเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและมั่นคง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสำคัญหลายประการดังต่อไปนี้
1) รัฐประหารซ้ำซาก กองทัพไทยทำรัฐประหารหลายครั้งตลอดศตวรรษที่ผ่านมา จะเห็นว่า กองทัพไทยนั้นมีวัฒนธรรมรัฐประหารที่มีลักษณะเฉพาะที่ดูจะแตกต่างจากสังคมอื่น ไม่ว่าจะเป็นพม่าหรืออินโดนีเซีย ที่ทหารก็ทำรัฐประหารเช่นกันแต่ก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไป “ในการเมืองไทย หลัง 2490 และหลัง 2500 เป็นต้นมา การรัฐประหารเป็นกลไกทางการเมืองที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่มีผลตัดสินว่าใครควรมีอำนาจบริหารประเทศ”[1] รัฐประหารของไทยทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเองและผนึกกำลัง (consolidate) ของผู้ที่อยู่ในอำนาจอยู่แล้ว เช่นกรณีของจอมพล ป. พิบูลสงครามในปี 2494 และ จอมพลถนอม กิตติขจรในปี 2514 เป็นต้น
2) งบประมาณทหารที่ไร้การตรวจสอบ งบประมาณของกองทัพไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการรัฐประหารใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น กรณีการรัฐประหารครั้งล่าสุดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2557 งบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้นจากสมัยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างมีนัยสำคัญ (ตารางที่ 1) ยกเว้นในปีท้ายๆ ของประยุทธ์ที่งบประมาณกลาโหมลดต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทเพราะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ภาวะการเมืองที่ไร้เสถียรภาพอันเนื่องมาจากรัฐประหารโดยตัวของมันเองและการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ถึงกระนั้นงบประมาณสมัยประยุทธ์โดยเฉลี่ยก็ยังมากกว่าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่นับว่ามีการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กันขนานใหญ่ในสมัยรัฐบาลที่มีนายทหารอดีดผู้บัญชาการทหารบกเป็นนายกรัฐมนตรี งบประมาณของกองทัพส่วนใหญ่ไม่เฉพาะแต่ส่วนที่ระบุว่าเป็นงบราชการลับนั้น รัฐสภาจะตรวจสอบการใช้จ่ายได้ยากลำบากเพราะมักจะไม่ได้รับความร่วมมือจากกองทัพและหน่วยราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม
ตารางที่ 1: งบประมาณกลาโหม (2555-2561)
ปีงบประมาณ | นายกรัฐมนตรี | งบประมาณ (พันล้านบาท) |
2555 | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 168.7 |
2556 | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 180.5 |
2557 | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 183.8 |
2558 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 192.9 |
2559 | ประยุทธ์ จันทรโอชา | 206.5 |
2560 | ประยุทธ์ จันทรโอชา | 213.5 |
2561 | ประยุทธ์ จันทรโอชา | 220.5 |
2562 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 227.1 |
2563 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 233.3 |
2564 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 223.4 |
2565 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 203 |
2566 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 197.2 |
ที่มา: สำนักงบประมาณ
3) การแต่งตั้งตามระบบอุปถัมภ์และเส้นสาย การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารของกองทัพไทยทุกระดับเป็นไปตามระบบเส้นสายอุปถัมภ์และพวกพ้องมากกว่าจะเป็นไปตามระบบคุณธรรม (meritocracy) หรือความรู้ความสามารถ ว่ากันตามหลักการแล้ว meritocracy หรือ ระบบคุณาธิปไตย หมายถึงระบบที่ให้ความสำคัญกับความสามารถและคุณสมบัติของบุคคลในการแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่ง หรือได้รับโอกาสทางสังคมและอาชีพ แทนที่จะพิจารณาจากสายสัมพันธ์ ศักดินาฐานันดร หรืออำนาจทางการเมือง ระบบนี้เชื่อว่าคนที่มีความสามารถสูงสุดควรได้รับตำแหน่งและอำนาจโดยปราศจากอคติทางชนชั้น วงศ์ตระกูล หรือเครือข่ายทางการเมือง
สำหรับผู้สนใจกิจการทหารคงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะ narrative ที่สื่อมวลชนไทยใช้ในการอธิบายการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีหรือที่รู้กันดีในนามของ ‘โผทหาร’ นั้นล้วนเป็นคำบรรยายของระบบเส้นสายของนายทหารในกองทัพทั้งสิ้น เช่นนายทหารคนนี้ได้รับตำแหน่งนี้เพราะเขาเป็นนักเรียนทหารรุ่นนั้นและเป็นน้องรักของบิ๊กนั่นบิ๊กนี่ ทั้งที่ยังอยู่ในราชการและเกษียณอายุไปแล้วแต่ยังคงมีบารมีอยู่ นายทหารเหล่านั้นมักได้รับการวางตัวให้ขึ้นสู่ตำแหน่งเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องหรือเป็นการสืบทอดอำนาจต่อจากรุ่นพี่หรืออดีตผู้บังคับบัญชาที่โปรดปรานกันเป็นพิเศษ
นั่นหมายความว่านายทหารที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในทุกเหล่าทัพได้นั้นจะต้องสามารถเชื่อมโยงกับผู้บังคับบัญชาในเหล่าหรือรุ่นพี่ในโรงเรียนนายร้อยหรือกลุ่มก้อนฝักฝ่ายของพวกเขาทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น หลังการรัฐประหาร 2549 นายทหารที่จะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกจะต้องเป็นนายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์เท่านั้นและนับจากปี 2560 เป็นต้นมา นายทหารที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารบกจะต้องเป็นนายทหารสังกัดกลุ่ม ‘ทหารคอแดง’ เท่านั้น ทหารคอแดงนั้นคือทหารที่ได้รับการคัดเลือกจากทั้งกลุ่มวงศ์เทวัญและบูรพาพยัคฆ์และผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรที่สถาปนาโดยกษัตริย์รัฐกาลที่ 10 ซึ่งนี่ไม่เพียงสะท้อนสายสัมพันธ์ในกลุ่มทหารด้วยกันเองเท่านั้นหากแต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ของนายทหารเหล่านั้นกับกษัตริย์อีกด้วยถือว่าเป็นการสืบทอดมรดกของกองทัพแบบอุปถัมภ์หรือกองทัพที่เป็นราชสมบัติ หรือ patrimonial military ที่ชัดเจนที่สุด
ตารางที่ 2: กลุ่ม/ฝักฝ่ายของผู้บัญชาการทหารบก 2547-ปัจจุบัน
ผู้บัญชาการทหารบก | กลุ่ม | วาระการดำรงตำแหน่ง |
ประวิตร วงษ์สุวรรณ | บูรพาพยัคฆ์ | 2547-2548 |
สนธิ บุญยรัตกลิน | รบพิเศษ | 2548-2550 |
อนุพงษ์ เผ่าจินดา | บูรพาพยัคฆ์/ทหารเสือราชินี | 2550-2553 |
ประยุทธ์ จันทร์โอชา | บูรพาพยัคฆ์/ทหารเสือราชินี | 2553-2557 |
อุดมเดช สีตะบุตร | บูรพาพยัคฆ์ | 2557-2558 |
ธีรชัย นาควานิช | บูรพาพยัคฆ์ | 2558-2559 |
เฉลิมชัย สิทธิสาท | รบพิเศษ | 255-2561 |
อภิรัชต์ คงสมพงษ์ | คอแดง/วงศ์เทวัญ | 2561-2563 |
ณรงค์พันธ์ จิตแก้วแท้ | คอแดง/บูรพาพยัคฆ์ | 2563-2566 |
เจริญชัย หินเธาว์ | คอแดง/บูรพาพยัคฆ์ | 2566-2567 |
พนา แคล้วปลอดทุกข์ | คอแดง/วงศ์เทวัญ | 2567-ปัจจุบัน |
ที่มา: รวบรวมจากราชกิจจานุเบกษา
4) ธุรกิจของกองทัพ กองทัพไทยได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะในสมัยนั้นภาคเอกชนยังไม่เติบโตก้าวหน้าหรือมีความพร้อมด้านเงินทุนเท่าใดนัก ถึงปัจจุบันการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้าและซับซ้อนมากขึ้น ภาคเอกชนเติบโต มีความพร้อมทางเทคโนโลยีและเงินทุน ธุรกิจกองทัพหลายกิจการมีอันต้องล้มหายตายจากไปเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และกองทัพขาดทักษะในการดำเนินธุรกิจ แต่ถึงกระนั้นก็ตามกองทัพยังเก็บรักษาและดำเนินธุรกิจหลายอย่างต่อไปแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยหรือแม้แต่กระทั่งขาดทุนจนน่าจะอยู่ในสภาพที่ล้มละลาย เราจึงพบว่ากองทัพมีสนามกอล์ฟ ที่พักโรงแรม การบิน ท่าเรือ ไปจนถึงกิจการสื่อสารมวลชนและพลังงาน ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาลพลเรือน
กิจกรรมเหล่านี้สร้างผลประโยชน์ให้กับกองทัพและกำลังพล(ระดับสูง) ทั้งในลักษณะที่เป็นผลประโยชน์ในเชิงสถาบัน (corporate) กลุ่มพวกพ้อง (faction) และปัจเจกบุคคล กองทัพครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาล (ตัวเลขในแต่ละแหล่งไม่ตรงกัน กระทรวงกลาโหมแจ้งว่ามีที่ดินในครอบครอง 5.9 ล้านไร่ เอกสารการวิจัยของวิทยาลัยกองทัพบกพบว่ามี 6.5 ล้านไร่)[2] ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ใช้ประโยชน์ในการทำภารกิจในการป้องกันประเทศ หากแต่จำนวนไม่น้อยมีการนำไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้เข้าหน่วยทหารเพื่อเป็นสวัสดิการ (ส่วนเพิ่มจากสวัสดิการปกติที่ได้จากงบประมาณรัฐ) ให้กับกำลังพล รายได้และแนวทางในการบริหารธุรกิจของกองทัพเหล่านี้ไม่โปร่งใสไม่สามารถตรวจสอบได้หรือมีความยากลำบากในการตรวจสอบ
ตัวอย่างของธุรกิจและกิจการของกองทัพดังปรากฏในที่นี้เป็นแค่เพียงบางส่วน (ตารางที่ 3) ที่มาจากการค้นคว้าและศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังตรวจไม่พบหรือไม่มีการรายงานต่อรัฐสภาหรือแม้แต่รัฐบาลก็อาจจะไม่มีข้อมูลชัดเจนนักว่ากองทัพครอบครองทรัพย์สิน ทรัพยากรของรัฐและกิจการที่สามารถสร้างรายได้ไว้จำนวนเท่าใดและอยู่ที่ใดบ้าง
ตารางที่ 3: กิจการและทรัพย์สินของทัพ
รายการ | จำนวน |
ที่ดิน | 5.9-6.5 ไร่ |
สนามกอล์ฟ | 61 แห่ง |
โรงแรม/รีสอร์ท/สถานพักฟื้น | > 18 แห่ง |
สถานที่ท่องเที่ยว | >366 แห่ง |
สนามมวย | 3 แห่ง |
สนามยิงปืน | 22 แห่ง |
ศูนย์กีฬา | 8 แห่ง |
บ่อน้ำมัน+โรงกลั่น | 1 แห่ง |
ใบอนุญาตครอบครองคลื่นความถี่วิทยุ/โทรทัศน์/โทรคมนาคม | 200 ใบอนุญาต |
โรงงานเภสัชกรรม | 1 แห่ง |
สวนปาล์มน้ำมัน | 1 แห่ง |
เมืองการบิน | 1 แห่ง (อู่ตะเภา) |
ท่าเรือพาณิชย์ | 1 แห่ง (จุกเสม็ด) |
กิจการไฟฟ้า | 1 แห่ง (อำเภอสัตหีบ) |
กิจการประปา | 1 แห่ง (ฐานทัพเรือสัตหีบ) |
ร้านค้าปลีก | 163 แห่ง |
สถานีบริหารน้ำมัน | 34 แห่ง |
หุ้นในรัฐวิสาหกิจ/บริษัทเอกชน | 26 แห่ง |
ที่มา: รวบรวมจากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร
5) ระบบการเกณฑ์ทหาร ซึ่งสามารถอธิบายการคงอยู่ของการเกณฑ์ทหารได้ว่าเป็นมรดกจากระบบรัฐแบบอุปถัมภ์ (patrimonial state) ที่ดำรงอยู่ในกองทัพไทย โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การเสริมกำลังรบเพื่อป้องกันประเทศ แต่ยังมีบทบาทเชิงโครงสร้างทางอำนาจ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ระบบการเกณฑ์ทหารยังคงอยู่ในกองทัพสมัยใหม่ของไทย แม้หลายประเทศจะเปลี่ยนไปใช้ระบบสมัครใจแล้ว ถ้ามองแบบ patrimonialism แล้ว กองทัพไทยยังคงรักษาการเกณฑ์ทหารเอาไว้ เพราะกองทัพไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานป้องกันประเทศ แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานจากระบบเกณฑ์ทหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำ การเกณฑ์ทหารเป็นแหล่งแรงงานต้นทุนต่ำสำหรับกิจกรรมของกองทัพ เช่น งานธุรการ การดูแลพื้นที่ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ โรงแรมที่พักของกองทัพหลายแห่งใช้พลทหารเป็นพนักงานยกกระเป๋าด้วยเบี้ยเลี้ยงเพียงน้อยนิด ยังไม่นับว่านายทหารระดับสูงจำนวนมากมีพลทหารรับใช้ในบ้านของตน ทำให้พวกเขาประหยัดการจ้างคนรับใช้และคนงานในบ้านได้อย่างมาก
นอกจากนี้แล้ว การเกณฑ์ทหารยังเป็นเครื่องมือทางสังคมและการควบคุมประชากร จะได้เห็นว่าระบบเกณฑ์ทหารในไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางทหาร แต่ยังเป็นเครื่องมือของรัฐในการควบคุมประชากรและสร้างอำนาจนำของกองทัพ ใช้เป็นเครื่องมือกล่อมเกลาทางอุดมการณ์ (ideological indoctrination) ทหารเกณฑ์ต้องเข้ารับการฝึกที่ส่งเสริมค่านิยมแบบอำนาจนิยม (authoritarian values) เน้นการปลูกฝังความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ที่กองทัพใช้เป็นแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมทางอำนาจเสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น การเกณฑ์ทหารยังเป็นเครื่องมือในการควบคุมชนชั้นล่าง คนที่ต้องถูกเกณฑ์ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลางถึงยากจน ขณะที่คนชั้นกลางและชนชั้นสูงมักใช้ช่องทางหลีกเลี่ยงได้เช่น การเรียนวิชาทหาร (รด.)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีกระแสเรียกร้องจากพรรคการเมืองและเยาวชนให้ยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร กองทัพไทยได้พยายามหลีกเลี่ยงโดยการปรับระบบการเกณฑ์ทหารโดยเปิดให้มีการสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ (พลทหาร) ทั้งแบบออนไลน์และสมัครหน้างานในวันตรวจคัดเลือก แต่เนื่องจากแรงจูงใจในการเป็นทหารไม่มากพออีกทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการละเมิดพลทหารยังมีอยู่อย่างหนาหู ทำให้มีผู้สมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการในแต่ละปีไม่มากนัก (โปรดดูแผนผัง)
แผนผังสถิติการรับราชการทหารกองประจำการในระบบสมัครใจและการเกณฑ์

หมายเหตุ: ยอดความต้องการของกลาโหม คือ ยอดที่ต้องเกณฑ์
ที่มา: กระทรวงกลาโหม
ก้าวสู่กองทัพของประชาชน
การก้าวข้ามพ้นกองทัพแบบอุปถัมภ์จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะสิ่งที่เน้นย้ำอยู่หลายครั้งคือการทำให้กองทัพยอมรับหลักพลเรือนเป็นใหญ่ (civilian supremacy) หรือการที่อำนาจสูงสุดของรัฐอยู่ในมือของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ไม่ใช่แบบปลอมๆ อย่างที่ผ่านมาหรือที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย คงบอกไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าสดับตรับฟังจากกระแสความเคลื่อนไหวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักการเมืองรุ่นใหม่มีความพยายามที่จะสถาปนาหลักการนี้โดยการปรับปรุงโครงสร้างและจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของกองทัพเสียใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลตามหลักการดังกล่าว ซึ่งก็เริ่มต้นจากการกำหนดภารกิจของกองทัพเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยให้เน้นเรื่องการป้องกันประเทศเป็นสำคัญตามแบบฉบับของกองทัพสมัยใหม่ในสากลโลก
นอกจากนี้จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายอีกหลายฉบับ เป็นต้นว่าพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เพื่อให้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งสามารถควบคุมกองทัพได้ตามหลักนิติรัฐ ซึ่งหมายถึงการทำให้กองทัพต้องปฏิบัติตามกฎหมายและอยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรมของรัฐอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ลำพังแต่การแก้ไขกฎหมายอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกองทัพไทยจากสมบัติส่วนตัวของชนชั้นนำให้เป็นแบบทันสมัยได้ ถ้าหากละเลยวัฒนธรรมและสำนึกของกองทัพว่าด้วยความเป็นชาติซึ่งมีประชาชนไม่ใช่ชนชั้นนำหรือเจ้านายเป็นองค์ประกอบหลัก
เป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐสภาต้องมีบทบาทในการตรวจสอบกองทัพได้มากขึ้น ผ่านกลไกการอนุมัติงบประมาณ การกำกับดูแลนโยบายความมั่นคง และการตรวจสอบการแต่งตั้งนายทหารระดับสูง รวมไปถึงการปฏิบัติและความประพฤติของทหารในกองทัพ หากไม่มีมาตรการเหล่านี้ กองทัพจะยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะกองทัพแบบอุปถัมภ์ต่อไป และจะยังคงแทรกแซงทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน
การปฏิรูปกองทัพไทยให้เป็นสมบัติของรัฐหรือเป็นกองทัพแห่งชาติอย่างแท้จริงนั้นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องยากและเต็มไปด้วยอุปสรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐไม่เข้มแข็งและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อ่อนแออย่างยิ่ง แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นหากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง