มาเลเซียกับทิศทางอาเซียนในวิกฤตภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

อาจเป็นโชคร้ายของมาเลเซียที่ต้องเผชิญบททดสอบครั้งใหญ่เพียงสามเดือนหลังรับตำแหน่งประธานอาเซียน เพราะการประกาศนโยบายอัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Trade and Tariffs) ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่เหวี่ยงแหทั่วโลก ได้สร้างความสะท้านสะเทือน ทำให้หลายประเทศในอาเซียนจู่ๆ ก็ต้องมาพบว่าระบบเศรษฐกิจและประชาชนของตนอาจเจ็บหนักจากอัตราภาษีสหรัฐฯ ระดับ 10 ถึง 49 เปอร์เซนต์

อาเซียนจะทำอย่างไร มาเลเซียจะนำพาประเทศตนให้รอดพร้อมกับประคองอาเซียนไปพร้อมๆ กันได้หรือไม่ในภาวะที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่ามาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นมากกว่าเรื่องของภาษี ดังที่นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) แห่งสิงคโปร์ เตือนไว้อย่างน่าสะพรึงว่า ที่จริงแล้วการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้เป็นจุดของการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกครั้งใหญ่ ที่ระบบโลกาภิวัตน์และระบบการค้าเสรีที่แน่นอนมีระเบียบแบบแผนจะสิ้นสุดลง และโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ภาวะสงครามการค้าที่ปราศจากกฏเกณฑ์ มีการกีดกัน และเป็นอันตรายมากขึ้น

ทันทีที่ทรัมป์ประกาศมาตรการฟ้าผ่า ปุตราจายาก็ส่งสัญญาณสู่ประชาชนมาเลเซียและประเทศอาเซียนอย่างทันท่วงที  กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมมาเลเซีย (Ministry of Investment, Trade, and Industry) หรือ MITI ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในวันที่ 4 เมษายน เริ่มต้นด้วยการปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่ามาเลเซียได้กำหนดภาษีศุลกากร 47 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็แสดงจุดยืนพร้อมเจรจาร่วมมือหาทางออกกับสหรัฐฯ พร้อมกับเร่งขยายตลาดส่งออกเพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจที่อาจตามมา

นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) แห่งมาเลเซียยอมรับว่าการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อมาเลเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะไม่เท่าผลกระทบต่อประเทศอาเซียนบางประเทศก็ตาม ขณะที่แถลงการณ์ของ MITI ชี้ว่ารัฐบาลต้องประเมินการเติบโตของ GDP ในปี 2568 ใหม่จากเคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.5-5.5 เปอร์เซนต์เพราะผลกระทบที่ว่ารุนแรงกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ 

นอกจากนี้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนพิเศษในวันที่ 10 เมษายน 2025 เพื่อหารือผลกระทบต่อประเทศสมาชิกและมาตรการร่วมในอนาคต

ในบรรดาผู้นำอาเซียนทั้งหมดมีผู้นำเพียงไม่กี่คนที่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานะของอาเซียนในความขัดแย้งของมหาอำนาจได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันนอกจากนายกฯ หว่องแห่งสิงคโปร์แล้ว ก็มีเพียงนายกฯ อันวาร์ ที่งานศึกษาบางชิ้นชี้ว่าให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในสามเรื่องเป็นอย่างยิ่ง นั่นคืออาเซียน ตะวันออกกลาง และความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ

บทความชื่อ ‘ASEAN’s Second Renaissance Is Now’ (ยุคเฟื่องฟูทางปัญญาของอาเซียนคือขณะนี้) ของอันวาร์ ซึ่งตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Project Syndicate เมื่อเดือนธันวาคม 2024 หนึ่งเดือนก่อนมาเลเซียเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการ กล่าวถึงทิศทางของอาเซียนในอนาคตในสายตาของเขา ในตอนหนึ่งอันวาร์อธิบายความล่อแหลมของสถานการณ์โลกที่ประเทศอาเซียนต้องเผชิญ โดยขณะที่นายกฯ หว่องแห่งสิงคโปร์เปรียบสงครามการค้าปัจจุบันกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1930 ที่นำไปสู่การปะทะทางอาวุธและลงเอยด้วยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น อันวาร์ได้เปรียบความขัดแย้งของมหาอำนาจในปัจจุบันกับความขัดแย้งของมหาอำนาจในยุคสงครามเย็นที่มีอาเซียนเป็นสมรภูมิ

“เมื่ออาเซียนก่อตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ ในปี 2510 ภูมิภาคนี้เคยเป็นสมรภูมิของสงครามเย็นที่เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าทางอุดมการณ์ แต่ในปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจอีกครั้ง” อันวาร์เขียน

แม้ว่าอันวาร์และรัฐบาลมาเลเซียจะตระหนักล่วงหน้าถึงสัญญานเตือนภัยของสงครามการค้ายุคใหม่และผลกระทบที่อาจมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันปลดแอก (Liberation Day) ก็มาถึงอย่างเร่งด่วนเกินจนยากจะตั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาเซียนเป็นภูมิภาคที่ประเทศสมาชิกบางประเทศอยู่ในกลุ่มถูกฟาดด้วยอัตราภาษีที่เข้าข่ายสูงที่สุดในโลก

ตัวเลขอัตราภาษีที่กำหนดสำหรับแต่ละประเทศในอาเซียนเป็นตัวเลขปูพรมคำนวนจากตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศนั้นๆ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วไปว่าอัตราภาษีนี้เป็นอัตราที่เลือกปฏิบัติ มันไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโจมตีประเทศที่เป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยออกแบบมาเพื่อปรับความสัมพันธ์การค้าโลกให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ

ตัวอย่างหนึ่งคือเวียดนามที่เจออัตราภาษี 46 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปีที่แล้วสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามในระดับที่เป็นรองเพียงการขาดดุลกับจีน สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก การส่งออกสินค้าจากเวียดนามไปยังสหรัฐอเมริกาปีเดียวกันคิดเป็น 29 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั้งหมดหรือ 30 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ โดยเวียดนามถือเป็นฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ ที่เคยตั้งอยู่ในจีน เพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ

หนึ่งวันหลังการประกาศของสหรัฐฯ โต เลิม (To Lam) เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกลายเป็นสิงห์ปืนไวยกหูหาประธานาธิบดีทรัมป์สำเร็จก่อนใครเพื่อนในอาเซียน เลิมยื่นข้อเสนอตัดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในเวียดนามเหลือศูนย์  แลกกับโอกาสในการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ดูท่าว่าข้อเสนอนี้ถูกใจทรัมป์ถึงขั้นที่เขานำไปโม้บนแพลตฟอร์มโซเชียลชื่อ Truth ของตน เป็นเหตุให้สื่อทางการของเวียดนามต้องออกมาขยายความว่า “ในขณะเดียวกัน (เลิม) ก็เสนอให้สหรัฐ ฯ ใช้อัตราภาษีเดียวกันกับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม” และผู้นำทั้งสองตกลงจะเดินหน้าพูดคุยต่อไปเพื่อ “เซ็นสัญญาทวิภาคีในเร็ววัน” 

รัฐบาลเวียดนามเตรียมส่งคณะเจรจาไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สัปดาห์หน้า ไม่ว่าผลการเจรจากับสหรัฐฯ จะเป็นเช่นไร อย่างน้อยเวียดนามก็ยังมีเวลาหายใจก่อนกำหนดบังคับใช้มาตรการภาษีที่สหรัฐฯ ขีดเส้นตายไว้ในวันที่ 9 เมษายน แม้เวียดนามรักษาตัวรอดในภาวะฉุกเฉินได้ทันท่วงที แต่แนวโน้มการเซ็นสัญญาทวิภาคีกับสหรัฐฯ ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการรวมตัวเพื่อต่อรองในระดับภูมิภาค ซึ่งเวลานี้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่เวลานี้กำลังพยายามรวบรวมผู้นำอาเซียนให้กำหนดยุทธศาสตร์ร่วมเพื่อต่อรอง

ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในภูมิภาคและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่ได้รับผลกระทบสูงสุดในโลกคือ กัมพูชา (49 เปอร์เซ็นต์) ลาว (48 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงเมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรหลายชั้นจากสหรัฐฯ และปัจจุบันมียอดค้าขายกับสหรัฐฯ เพียงเล็กน้อยก็ถูกเรียกเก็บภาษี 44 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศที่โดนอัตราภาษีในระดับรองลงมาคือประเทศไทย (36 เปอร์เซ็นต์) อินโดนีเซีย (32 เปอร์เซ็นต์) บรูไน (24 เปอร์เซ็นต์) และมาเลเซีย (26 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่ประเทศที่โดนขึ้นอัตราภาษีน้อยที่สุดคือฟิลิปปินส์ (17 เปอร์เซ็นต์) ติมอร์-เลสเต (10 เปอร์เซ็นต์) และสิงคโปร์ซึ่งขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็ยังต้องเสียภาษีในอัตราต่ำสุดคือ 10 เปอร์เซ็นต์ สร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์อย่างเห็นได้ชัด

ผู้นำอาเซียนมีจุดยืนร่วมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คือการไม่มีมาตรการตอบโต้ใดๆ และหาหนทางเจรจากับสหรัฐฯ เป็นทางออก ไม่ว่าจะเป็นความพยายามของรัฐมนตรีไทยในการยกหูเข้าทำเนียบขาว หรือความพยายามของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการส่งจดหมายน้อยถึงทรัมป์เพื่อขอเจรจาและเสนอตัดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงการประกาศของรัฐบาลอินโดนีเซียว่าจะส่งผู้แทนไปวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างเร่งด่วน เป็นต้น

บทความ Turning The Tide: How ASEAN Can Outmaneuver US Tariffs In 2025 โดย Simon Hutagalung ในเว็บไซต์ Eurasiareview วันที่ 6 เมษายน 2568 แนะทางออกสำหรับอาเซียนว่า อาเซียนควรมียุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียว  และใช้การเจรจาทางการทูตในระดับสูงในการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามลดความเสี่ยงด้วยความร่วมมือ (ทางการค้า) ในระดับภูมิภาค ยุทธศาสตร์ดังกล่าวอาจช่วยให้อาเซียนลดผลกระทบจากมาตรการภาษีครั้งนี้ในขณะที่รักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนได้ และสุดท้ายอาจปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐ ฯ ได้อีกครั้ง

แต่ในการรวมเสียงของสมาชิกอาเซียนเพื่อสร้างพลังต่อรองกับรัฐบาลทรัมป์ มาเลเซียจำเป็นต้องฝ่าฟันกับความยากของความหลากหลายของนโยบายต่างประเทศของสมาชิก รวมทั้งระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ความฉุกเฉินของสถานการณ์  และอัตราเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน การประสานความต่างเช่นนี้เป็นประหนึ่งการจับปูใส่กระด้งไม่ง่าย

ในความเป็นมือประสานสิบทิศ นายกฯ อันวาร์ยังส่งสัญญานมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในวันที่ 5 เมษายน  เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าตนเองได้ติดต่อเป็นการส่วนตัวกับผู้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์หลายราย ในขณะที่โมฮัมหมัด ฮะซัน (Mohamad Hasan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้รับโทรศัพท์จาก นายมาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ในเรื่องของการเจรจา

อันวาร์กล่าวว่าได้หารือกับผู้นำอาเซียนเพื่อให้บรรลุฉันทมติในเรื่องนี้แล้ว และมีแผนจะติดต่อผู้นำจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อร่วมกันตอบรับสถานการณ์ เขาเชื่อว่าทุกประเทศในโลกย่อมอยากยืนหยัดในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง แต่ (ทุกประเทศ) ก็เปิดโอกาสสำหรับการเจรจา

ในขณะที่ผู้นำเวียดนามสามารถต่อสายตรงถึงทำเนียบขาวได้อย่างรวดเร็ว น่าแปลกใจที่อันวาร์ในฐานะประธานอาเซียนยังคงใช้เวลาทาบทามผู้ใกล้ชิดของทรัมป์ ความล่าช้านี้ส่วนหนึ่งอาจมาจากความอิหลักอิเหลื่อทางการทูต จากการที่อันวาร์เป็นหัวหอกนำชาวมาเลเซียประณามการโจมตีฉนวนกาซาของประณามอิสราเอลที่มีสหรัฐฯ หนุนหลัง จนนำไปสู่การบอยคอตสินค้าสหรัฐฯ ในมาเลเซีย 

เหตุผลอีกประการหนึ่งคือแนวโน้มของรัฐบาลอันวาร์ในการหันเข้าใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษกับจีนซึ่งเป็นประเทศที่ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในมาเลเซียตามที่นักวิเคราะห์บางรายวิพากษ์วิจารณ์ไว้ โดยในปี 2567 การลงทุนจากจีนในมาเลเซียมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึงราว 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 440,000 บาท) หรือประมาณหนึ่งในสามของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด

อันวาร์ไม่ใช่ผู้นำมาเลเซียรายแรกที่ให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ที่มีต่อจีน บทความตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Carnegeeendowment.org เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วกล่าวถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างจีนกับมาเลเซียนับแต่อดีต ดูได้จากการที่มาเลเซียเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนในช่วงที่สงครามเย็นกำลังรุนแรง และเป็นประเทศแรกที่ส่งคณะผู้แทนไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมิน นอกจากนั้นยังเป็นผู้ที่นำจีนเข้าสู่กระบวนการพหุภาคีที่อิงกับอาเซียนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาระหว่างจีนและอาเซียนอีกด้วย

ในยุคของอันวาร์ นโยบายการค้าและต่างประเทศของมาเลเซียเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับจีนอย่างเห็นได้ชัด นายกฯ อันวาร์ไปเยือนจีนถึงสองครั้งใน พ.ศ. 2566 และ 2567 และทั้งสองครั้งมีเป้าหมายในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน อันวาร์นำประเทศเข้าร่วมกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งจีนและรัสเซียมีบทบาทนำ และเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วในการเยือนมาเลเซียของนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง (Li Qiang) แห่งประเทศจีน นายกฯ หลี่ ได้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับมาเลเซียในแถลงการณ์ร่วมว่าเป็น “ตัวอย่างที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค”

แต่มาเลเซียก็ยังรักษาดุลยภาพทางการทูตกับมหาอำนาจทั้งสองอยู่ได้ไม่มากก็น้อย ดูได้จากความสำเร็จของรัฐบาลอันวาร์ในการพัฒนามาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สามารถดึงดูดการลงทุนจากนานาชาติรวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เช่น Intel จนมาเลเซียติดอันดับกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ระดับหกของโลกและมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ และในแผนจัดเก็บภาษีนำของสหรัฐฯ ต่อมาเลเซียในครั้งนี้ มาเลเซียก็ได้รับประโยชน์จากการยกเว้นการเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์     

ในระดับของอาเซียน การแสวงหาพันธมิตรทางการค้านอกภูมิภาคที่ถอยห่างออกจากสหรัฐฯ และเข้าใกล้จีนมากขึ้น  สะท้อนอยู่ในวาระการประชุมทางเศรษฐกิจของอาเซียนในปีนี้ เช่นแผนประชุมพัฒนาข้อตกลง ASEAN-China Free Trade Area (ACFTA) ที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญและคอยย้ำเตือนเป็นนักหนา และยังมีการประชุมสุดยอด ASEAN-GULF Cooperation Council (AGC) Plus China ซึ่งทางการมาเลเซียเล่นบทประสานการพบปะทางการค้าระหว่างอาเซียนกับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับและประเทศจีนโดยกำหนดจะเชิญผู้นำจีนเข้าร่วมในเดือนพฤษภาคมปีนี้ การประชุมการค้าระดับใหญ่กับสหรัฐฯ ที่วางไว้ล่วงหน้ามีเพียงครั้งเดียวคือแผนประชุมสุดยอด ASEAN-U.S. Summit on Trade Concerns เพื่อเป็นเวทีพูดคุยในประเด็นภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ที่อาจกลายเป็นการประชุมที่สำคัญอย่างยิ่งในภาวะหน้าสิ่งหน้าขวานยามนี้

มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมอาเซียนเป็นหนึ่งเดียวเพื่อตอบโต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ หากสำเร็จก็กล่าวได้ว่ามาเลเซียได้เปิดประตูให้ความอยู่รอดของอาเซียนในโลกยุคใหม่ ซึ่งนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์กล่าวเตือนไว้ว่าจะเป็นโลกที่สถาบันระดับโลกอ่อนแอ บรรทัดฐานระหว่างประเทศเสื่อมถอย และมีภยันตรายจากการกระทำการของประเทศต่างๆ ที่ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลักและใช้กำลังและการกดดันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ  อันเป็นความจริงอันเลวร้ายของโลกในปัจจุบัน

ในโลกใหม่ที่ว่านี้ อาเซียนจะเดินไปทิศใด นโยบายของสหรัฐฯ จะผลักดันให้ประเทศอาเซียนจำต้องหันไปหาคู่ค้าทางเลือกอื่นอย่างถาวร และยุติความพยายามในการถ่วงดุลมหาอำนาจหรือไม่หรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ 


เอกสารประกอบ

https://theedgemalaysia.com/node/750339

https://www.isis.org.my/2023/12/20/one-year-recap-of-anwar-ibrahims-foreign-policy/

https://www.project-syndicate.org/magazine/asean-malaysia-chair-must-strengthen-outside-partnerships-build-supply-chain-resilience-by-anwar-ibrahim-2024-12

https://www.pmo.gov.my/2024/12/aseans-second-renaissance-is-now-by-anwar-ibrahim-2/

https://www.businesstimes.com.sg/international/trump-tariffs-quick-takes-singapore-and-asia-impact-countries-reactions

https://thediplomat.com/2025/04/southeast-asian-slammed-by-president-trumps-liberation-day-tariffs

https://www.theguardian.com/us-news/2025/apr/03/donald-trump-tariffs-us-administration-countries-biggest-rates-china-myanmar-mandalay

https://www.channelnewsasia.com/asia/us-president-donald-trump-tariffs-levy-asean-southeast-asia-economy-indochina-5042096

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2025/04/05/anwar-confirms-high-level-talks-with-us-over-new-tariffs-on-malaysia/172023

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save