นับถอยหลังภาษี 37% ถอดสูตรทรัมป์-ผลกระทบ ไทยจะต่อรองอย่างไร?

“หลายประเทศทั้งมิตรและศัตรู พากันรุมทึ้งประเทศเรา ขูดรีดผลประโยชน์ ปล้นสะดม ย่ำยีเศรษฐกิจของเราในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

“พี่น้องแรงงาน โรงงานเหล็ก ยานยนต์ เกษตรกร และช่างฝีมือต้องทนทุกข์ เจ็บปวดที่เห็นต่างชาติแย่งงานไป พวกต่างชาติที่ขี้โกงเข้ามายึดโรงงาน พวกเหลือบไรต่างชาติเข้ามาทำลายความฝันที่สวยงามของชาวอเมริกัน”

ทั่วโลกที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างรู้สึกตกตะลึง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โจมตีชาติต่างๆ อ้างเหตุผลที่ต้องขึ้นภาษีกับประเทศคู่ค้าด้วยถ้อยคำรุนแรงในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 

ทรัมป์ประกาศ ‘วันแห่งอิสรภาพ’ วาดภาพว่าสหรัฐฯ เป็นเหยื่อของการค้าโลก ถูกปล้นสะดมและถูกยึดครองจากประเทศที่เป็นมิตรและศัตรูมายาวนาน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้สามารถกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ พุ่งเป้าไปที่คู่ค้า 15 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

“ผมคิดว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ เปรียบเหมือน ‘การประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจ’ ก็ว่าได้ คนอเมริกันที่ทำงานหนักต้องเห็นประเทศอื่นร่ำรวยและมีอำนาจมาหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่รวยมาจากการเอาเปรียบเรา แต่ตอนนี้ ถึงเวลาที่เราจะรุ่งเรืองบ้างแล้ว” 

“สหรัฐอเมริกาจะไม่ก้มหน้ารับนโยบาย ‘ยอมจำนนทางเศรษฐกิจ’ อีกต่อไป เราจะไม่ยอมขาดดุลการค้ากับแคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่นๆ เหมือนที่เคยทำมา”

หลังจากทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ผู้คนจากทั้งภาครัฐและเอกชนต่างกังวลว่าการขึ้นภาษีจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ขณะที่เหล่านักวิเคราะห์รู้สึกสับสนกับตัวเลข และสงสัยว่าทำไมทรัมป์ถึงออกนโยบายเช่นนี้ ที่ดูเหมือนจงใจสร้างความตึงเครียดให้จีน 

ทรัมป์กำหนดอัตราภาษีจีนเพิ่มขึ้น ถ้ารวมกับอัตราที่เคยประกาศไปแล้วจะสูงถึง 54% และยังระบุในตารางแสดงอัตราภาษีถึงสถานะของ ‘ไต้หวัน‘ ว่าเป็นประเทศด้วย นักวิจารณ์คาดว่าการกระทำนี้อาจทำให้สงครามการค้ารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันมีบทบาทสำคัญ เพราะจีนยึดถือนโยบายจีนเดียวที่มองไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ 

ตามกำหนดในวันที่ 5 เมษายน 2568 ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จะต้องจ่ายภาษี 10% และวันที่ 9 เมษายน 2568 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จะต้องจ่ายในอัตราที่สูงขึ้น ตัวเลขนี้ไม่รวมอัตราภาษีที่ทรัมป์เคยประกาศไปแล้ว เช่น ภาษีเหล็กและอลูมิเนียม รวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ที่กำหนดไว้ 25%

“เราเก็บภาษีนำเข้ามอเตอร์ไซค์จากประเทศอื่นแค่ 2.4% แต่ประเทศไทยและอีกหลายประเทศกลับเก็บภาษีสูงกว่าเราหลายเท่า อินเดียเก็บภาษีเรา 60% เวียดนาม 70-75% และบางประเทศยังเก็บสูงกว่านี้อีก”

ทรัมป์บอกเหตุผลที่ต้องประกาศภาษีตอบโต้ประเทศไทย ด้วยการเก็บภาษี 36% (ก่อนเพิ่มเป็น 37%) สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อัตรานี้จัดว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาประเทศอาเซียน โดยทรัมป์อ้างว่าไทยเก็บภาษีสินค้าอเมริกันในอัตรา 72% สมควรที่จะตอบโต้ด้วยอัตราภาษีครึ่งหนึ่ง

ภาพ : whitehouse.gov

ขณะที่เมื่อ 3 เมษายน 2568 ทำเนียบขาวได้ออกเอกสารภาคผนวก ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กตรวจสอบพบว่า สหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจากเดิมที่ประกาศไว้ 36% เพิ่มขึ้นอีก 1% เป็น 37% โดยการปรับตัวเลขนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอย่างน้อย 14 เขตเศรษฐกิจ อินเดียและเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรู้สึกงุนงงกับตัวเลข 72% และออกมาทักท้วงว่าข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากไทยเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ยจากสินค้าสหรัฐฯ ต่ำกว่ามาก โดยข้อมูลจาก Tariff Profile ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organisation: WTO) ชี้ว่า ไทยเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ยจากสินค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 6.3% ในขณะที่การประมาณการอื่นๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 8-11.5% เท่านั้น

ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา หรือ USTR ชี้แจงสูตรคำนวณ โดยอ้างทฤษฎีพื้นฐานด้านการค้าระหว่างประเทศและแทนค่า ‘ตัวแปรอย่างง่าย’ ทำให้เข้าใจได้ว่า ตัวเลข 72% ของทรัมป์ มาจากการคำนวณโดยนำ “ยอดขาดดุลการค้าหารด้วยปริมาณการนำเข้าของสหรัฐฯ” ซึ่งโดยนัยแล้ว ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณภายใต้สูตรนี้คือ อัตราภาษีที่ทำให้การขาดดุลของสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าหายไป

โดยหลักการแล้ว ภาษีตอบโต้ทางการค้าจะคำนวณบนฐานของภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใชภาษี (non-tariff barriers) ที่ประเทศคู่ค้าใช้กับประเทศที่ต้องการตอบโต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทรัมป์ (Council of Economic Advisers) เคยอ้างว่า การคำนวณภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะถูกคิดบนฐานคิดนี้เช่นเดียวกัน แต่สูตรที่ USTR ยืนยันกับสาธารณะกลับแสดงให้เห็นว่า ทั้งภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีไม่ได้อยู่ในสมการเลย

นอกจากนี้นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีหลายประเทศที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ประเทศคู่ค้าสำคัญเลย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มหมู่เกาะขนาดเล็ก เช่น แซงปีแยร์และมีเกอลง (Saint Pierre and Miquelon) ที่โดนภาษีตอบโต้สูงถึง 50% (ซึ่งเป็นอัตราสูงสุด) และหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (Falkland Islands) โดน 41% เป็นต้น

นอกจากประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าแล้ว ทรัมป์ได้สั่งขึ้นภาษีกับทุกประเทศที่เหลือ ซึ่งรวมถึงหมู่เกาะเฮิร์ดและแมคโดนัลด์ (Heard Island and McDonald Islands) ดินแดนนอกชายฝั่งของออสเตรเลีย 10% ที่มีเพนกวินเป็นประชากรหลัก และไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย

ภาพ : whitehouse.gov

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ออกแถลงการณ์ถึงท่าทีของประเทศ ระบุว่าเข้าใจความจำเป็นของสหรัฐฯ และยืนยันว่าพร้อมเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด เพื่อปรับสมดุลการค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย และลดผลกระทบต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในแถลงการณ์ นายกฯ ย้ำว่า ประเทศไทย “มีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ที่จะสร้างเสถียรภาพและสมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ ในระยะยาว” และ “มีศักยภาพเพียงพอต่อการเป็นหนึ่งในกลุ่มมิตรประเทศเพื่อการลงทุน (Friend Shoring)”

นายกฯ ยกตัวอย่างความร่วมมือที่เป็นไปได้ในอุตสาหกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น “ภาคเกษตร-อาหาร ที่สหรัฐฯ มีสินค้าเกษตรจำนวนมาก ที่ไทยสามารถนำเข้าเพื่อนำมาแปรรูปเพื่อส่งออกไปตลาดโลก” และ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง” โดยชี้ว่า “การที่ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่สำคัญของโลก และอุปกรณ์ดังกล่าวจำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์และระบบเอไอของสหรัฐฯ”

นอกจากนี้ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าจะออกแถลงการณ์ว่า อัตราภาษีเฉลี่ยที่ไทยเก็บจากสินค้าจากสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 9% ขึ้นอยู่กับมาตรการเฉพาะของสินค้าบางประเภท ส่วนตัวเลข 72% ที่สหรัฐฯ อ้างถึง เป็นการคำนวณที่ไม่ทราบมาก่อน และอัตรา 36% ที่ถูกเรียกเก็บ (ก่อนเพิ่มเป็น 37%) เป็นแนวทางคำนวณที่ต่างจากปกติ

ขณะที่รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ มองว่าตัวเลข 36% (ก่อนเพิ่มเป็น 37%) อาจเป็นอัตราภาษีสูงสุด ไม่ใช่อัตราเฉลี่ย

ตารางแสดงอัตราภาษีที่ทรัมป์อ้าง เปรียบเทียบอัตราที่เก็บจริง

ประเทศอัตราที่ทรัมป์อ้างอัตราที่เก็บจริงอัตราตอบโต้
ไทย72%9%37%
จีน67%22%54%
สหภาพยุโรป39%1%20%
ญี่ปุ่น46%4%24%
ตุรกี10%5%10%
แคนาดา25%25%25%
เม็กซิโก25%17%25%
อินเดีย52%10%27%

ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาชน นำโดยศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค แถลงข่าว ระบุว่าสหรัฐฯ อ้างตัวเลข 72% แต่จัดเก็บที่ 36% (ก่อนเพิ่มเป็น 37%) เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นอัตราที่สูง พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างโปร่งใส และออกมาตรการที่เป็นรูปธรรม

ศิริกัญญาเน้นเรื่องกรอบเวลาที่กระชั้นชิด โดยสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% ในวันเสาร์ที่ 5 เมษายนนี้ และจะปรับขึ้นเป็น 36% (ก่อนเพิ่มเป็น 37%) ในวันอังคารที่ 9 เมษายน ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แม้จะมีสินค้าบางประเภท เช่น สิ่งพิมพ์ เหล็ก อลูมิเนียม ยา เซมิคอนดักเตอร์บางส่วน ที่อาจได้รับการยกเว้น แต่สินค้าส่งออกหลักของไทยจำนวนมากยังคงอยู่ในข่ายที่จะได้รับผลกระทบ 

“การคาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยคือ การส่งออกอาจหดตัวราว 1% และ GDP อาจหดตัวได้มากกว่า 1% ซึ่งอาจทำให้ GDP ปี 2568 โตต่ำกว่า 2% หากการเจรจาไม่สำเร็จ แต่หากเจรจาลดภาษีเหลือ 10% ได้ ผลกระทบต่อ GDP อาจลดลงเหลือประมาณ 0.3%” ศิริกัญญาชี้ว่าการลงทุนก็จะชะงักงันไปด้วย ดังนั้นรัฐบาลควรรีบเจรจาให้สหรัฐฯ ทบทวนตัวเลข 72% ที่ใช้กล่าวอ้าง 

ขณะที่ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เสนอว่าไทยควรใช้ประเด็นที่สหรัฐฯ มองว่าไทยมีปัญหา เช่น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) 166 รายการ ปัญหาลิขสิทธิ์ ข้อจำกัดการลงทุน และสิทธิแรงงาน มาเป็น ‘ไพ่ต่อรอง‘ ในการเจรจา 

“เราไม่ควรทิ้งไพ่ทั้งหมดในคราวเดียว ต้องเจรจาอย่างมีกลยุทธ์ ค่อยๆ เปิดในจุดที่เราได้ประโยชน์ หรือผู้บริโภคไทยได้ประโยชน์ เช่น การนำเข้าเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกลง

“ที่สำคัญที่สุดคือ การเจรจาต้องโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลผู้ได้เสียประโยชน์ต่อสาธารณะ และต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะรายเล็กรายน้อย” รศ.ดร.วีระยุทธ ยังเสนอให้วางแผนระยะยาวเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ไม่พึ่งพิงจีนและสหรัฐฯ มากจนเกินไป

ทั้งนี้ เบื้องหลังการดำเนินมาตรการทางการค้าของทรัมป์ ที่ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ มีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้า สร้างรายได้ให้รัฐบาล และกระตุ้นให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศ แม้แนวทางนี้จะยังเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเจรจาต่อรองที่มีกลยุทธ์อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้

ข้อมูลอ้างอิง:

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save