“ประเทศกำลังจะล้มละลาย ประเทศก็ไม่ต่างจากคน ถ้าใช้จ่ายเกินตัว และไม่ใช้เงินอย่างชาญฉลาด ประเทศก็ล้มละลายได้”
อีลอน มัสก์ หัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ ดอจ (DOGE) กล่าวในรายการ ‘Hannity’ ทางช่อง Fox Business เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่ออธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องตัดงบประมาณรัฐ ซึ่งเป็นการทำงานที่ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การทำงานของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลใน 60 วันแรกสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโครงสร้างการบริหารระบบราชการ ซึ่งมาพร้อมเสียงสนับสนุนจากผู้ที่เห็นด้วย รวมถึงเสียงก่นด่าและคำวิจารณ์จากผู้คนที่กังวลถึงผลกระทบที่อาจตามมา
1.
ย้อนกลับไปวันที่ 20 มกราคม 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สอง พร้อมกับเปิดตัวหน่วยงานใหม่ ซึ่งนำโดยอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและสเปซเอกซ์ ร่วมกับวิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน
กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ ดอจ ก่อตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงระบบราชการ มีเจ้าหน้าที่กว่า 2.8 ล้านคน และมีงบประมาณถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 ตามข้อมูลจากสำนักงบประมาณแห่งชาติ (OMB) ของสหรัฐอเมริกา
แนวคิดของการก่อตั้งดอจจากคำมั่นสัญญาในช่วงหาเสียงของทรัมป์เมื่อปลายปี 2567 ระบุว่าจะลดขั้นตอนการทำงานและค่าใช้จ่ายของรัฐบาลที่เกินความจำเป็น โดยกำหนดเป้าหมายให้ดอจเข้าไปตรวจสอบการทำงานและค่าใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐทุกแห่ง
ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ในวันแรกของการทำงานเมื่อ 20 มกราคม 2568 ระบุว่า ดอจมีอำนาจเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐ รวมถึงจัดตั้งทีมงานทั้งนักวิเคราะห์ข้อมูลและวิศวกรจากบริษัทของ อีลอน มัสก์ เพื่อวิเคราะห์การใช้จ่าย นับเป็นการปฏิวัติระบบราชการครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
อีลอน มัสก์ มีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรกว่าจะลดงบประมาณลงสองล้านล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งปี และลดจำนวนข้าราชการอย่างน้อย 10% หรือประมาณ 280,000 ตำแหน่ง ตามที่มัสก์ระบุในการแถลงข่าวเมื่อ 25 มกราคม 2568 ว่า “เราต้องทำให้รัฐบาลเล็กลงและทำงานได้จริง” โดยอ้างถึงตัวเลขหนี้สาธารณะที่สูงถึง 34 ล้านล้านดอลลาร์
2.
การทำงานของดอจเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมในวันที่ 21 มกราคม 2568 เมื่อมัสก์สั่งให้หัวหน้าหน่วยงานรัฐทุกแห่งต้องส่งรายงานการใช้จ่ายย้อนหลังห้าปีมาภายใน 72 ชั่วโมง หน่วยงานใหญ่ๆ เช่น กระทรวงกลาโหม ที่มีงบประมาณ 886,000 ล้านดอลลาร์ และกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตกเป็นเป้าหมายให้ถูกตรวจสอบ
นอกจากนี้ มัสก์ยังส่งทีมเข้าไปตรวจสอบข้อมูลภายในหน่วยงาน โดยเน้นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูง อย่างเช่นองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา หรือ ยูเอสเอด (USAID) หน่วยงานที่สนับสนุนความช่วยเหลือต่างประเทศซึ่งมีงบประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ก่อนที่หน่วยงานนี้จะถูกยุบเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมัสก์อ้างว่าเงินจำนวนนี้มีประโยชน์ต่อชาวอเมริกันในด้านอื่นมากกว่า
ผลการดำเนินงานของดอจเกิดขึ้นแบบทันตาเห็น งบในโครงการสวัสดิการบางส่วนถูกปรับลดลง เช่น โครงการ SNAP ที่สนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร ถูกลดจาก 120,000 ล้านดอลลาร์ เหลือ 90,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นกุมภาพันธ์ ตามรายงานจาก ABC News การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กระทบประชากรที่ยากจนกว่า 5 ล้านครัวเรือน
The Guardian รายงานว่า การตัดงบประมาณช่วยเหลือผ่านยูเอสเอดของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการต่อสู้กับโรคเอชไอวีทั่วโลก เพราะการหยุดจ่ายเงินเท่ากับหยุดความก้าวหน้าของโครงการที่ใช้เวลาพัฒนามาหลายสิบปี ซึ่งคาดว่าอาจมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้น 10 ล้านคน และเสียชีวิตอีก 3 ล้านคนภายใน 5 ปีข้างหน้า
ตัวอย่างโครงการที่ถูกตัดงบกะทันหัน เช่น โครงการ PEPFAR ซึ่งช่วยชีวิตคนนับล้าน ส่งผลให้คลินิกในแอฟริกาต้องปิดตัวลง ผู้ป่วยขาดยาต้านไวรัส และงานวิจัยด้านวัคซีนต้องหยุดชะงัก แม้บางฝ่ายมองว่านี่เป็นโอกาสให้แอฟริกาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าภาวะขาดแคลนแบบกะทันหันนี้ จะทำให้เป้าหมายการยุติโรคเอชไอวีภายในปี 2030 ขององค์การสหประชาชาติล้มเหลว โดยเฉพาะในประเทศยากจนที่พึ่งพาทุนสหรัฐฯ อย่างมาก
นอกจากนี้ ดอจยังมีนโยบายจูงใจให้ข้าราชการลาออก โดยเสนอเงินชดเชยพิเศษ ส่งผลให้มีผู้ยื่นใบลาออกกว่า 50,000 คน สูงกว่าปกติถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า หน่วยงานบางแห่ง เช่น กระทรวงพลังงาน ต้องปิดสำนักงานย่อยจากสิบแห่งเหลือสี่แห่ง ทำให้โครงสร้างราชการที่เคยมีขนาดใหญ่ ต้องปรับตัวเร่งด่วน ส่งผลต่อการทำงานในหลายระดับ
3.
การดำเนินงานของดอจไม่ได้ผ่านไปได้ด้วยความราบรื่น เมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ประท้วงหลายพันคนออกมาเดินขบวนในนิวยอร์กและซานฟรานซิสโก เพื่อต่อต้านการทำงานของดอจ เพราะมองว่าหน่วยงานนี้เป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนที่อาจทำลายระบบบริการสาธารณะ
รายงานของ PBS News เปิดเผยว่าสหภาพแรงงานข้าราชการ หรือ AFGE ยื่นฟ้องดอจ เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2568 คำร้องระบุว่า ดอจเข้าถึงข้อมูลของกระทรวงแรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ขณะที่นักวิชาการอย่างศาสตราจารย์เจมส์ สจวร์ต จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ชี้ว่า การที่มัสก์มีส่วนได้ส่วนเสียจากสัญญาของสเปซเอกซ์ในโครงการรัฐบาล มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่ต้องถูกตรวจสอบ
เมื่อต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลกลาง ก็เกิดปัญหาระหว่างหน่วยงานเก่าและใหม่ เช่นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ที่เจ้าหน้าที่ของดอจพร้อมตำรวจ บุกเข้าไปในอาคารของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Institute of Peace – USIP) องค์กรอิสระที่ได้รับทุนจากรัฐบาล ทำให้เกิดการโต้เถียงกัน เพราะทาง USIP ยืนยันว่าไม่ได้ขึ้นตรงกับฝ่ายบริหาร และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของประธานาธิบดีโดยตรง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังทรัมป์มีคำสั่ง ที่กำหนดให้ USIP เป็นเป้าหมายหนึ่งในการปรับโครงสร้าง แต่ USIP โต้แย้งว่าการเข้าแทรกแซงครั้งนี้ขัดต่อหลักการก่อตั้งองค์กรของสภาคองเกรสในปี 1984 และตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของดอจว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ การทำงานที่สร้างความสับสนเช่นนี้ ชี้ให้เห็นถึงการบังคับใช้อำนาจของหน่วยงานใหม่ ที่ยังขาดกรอบการทำงานที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันกับหน่วยงานอื่น
นอกจากนี้ กรณีการสั่งปิดหน่วยงาน ศาลรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อ 18 มีนาคม 2568 ให้รัฐบาลหยุดความพยายามที่จะปิดยูเอสเอด โดยผู้พิพากษาตัดสินว่าการที่ดอจยุบยูเอสเอดอาจขัดต่อกฎหมาย ซึ่งหลังคำตัดสิน ทรัมป์กล่าวกับ FOX News ว่าจะอุทธรณ์คำสั่งนี้
4.
การปฏิรูประบบราชการ ทั้งการตัดงบประมาณ การปิดหน่วยงาน และการลดจำนวนข้าราชการ ล้วนเป็นผลมาจากการดำเนินงานของดอจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ
ในช่วงเจ็ดสัปดาห์แรกของการทำงาน ดอจอ้างว่าลดงบประมาณได้แล้ว 115,000 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อตรวจสอบรายละเอียดใน ‘รายการบัญชี‘ (Wall of Receipts) ที่ดอจเผยแพร่ไว้บนเว็บไซต์ doge.gov พบว่ามีข้อผิดพลาดในการนับเงินออม ตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หากต้องการบรรลุเป้าหมายตามที่อีลอน มัสก์ ต้องการ จะต้องตัดงบในส่วนที่ใหญ่กว่านี้ เช่น การใช้จ่ายด้านกลาโหมหรือโครงการสวัสดิการแบบประชานิยม ซึ่งทรัมป์เคยบอกไว้ว่าจะไม่แตะต้อง แต่ที่ผ่านมา ดอจเลือกโจมตีงบในส่วนย่อย เช่น ความช่วยเหลือระหว่างประเทศและโครงการด้านการศึกษา แทนที่จะแก้ไขปัญหาที่รากฐาน
ด้านนักวิเคราะห์จากสถาบัน Cato Institute คาดการณ์ว่า หากดอจเดินหน้าในแนวทางนี้ต่อไป ภายในห้าปี จำนวนข้าราชการอาจลดลงถึง 25% และงบประมาณอาจเหลือเพียงสี่ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งอาจกระทบต่อระบบบริการสาธารณะของรัฐได้
ทั้งนี้ การที่บุคคลจากภาคเอกชนอย่าง อีลอน มัสก์ เข้ามามีบทบาทสำคัญในรัฐบาล แม้จะทำให้เกิดความหวังในแง่การปฏิรูป แต่ก็เกิดความกังวลในแง่การใช้อำนาจ หากถามถึงอนาคตของสหรัฐอเมริกาว่าจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ คงต้องรอการพิสูจน์ และติดตามดูการดำเนินงานของดอจไปอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง
- Trump signs executive order creating DOGE to streamline government
- Executive Order establishes Department of Government Efficiency
- What is DOGE? Elon Musk’s role and Trump’s vision explainedmusk-
- What is Elon Musk’s Department of Government Efficiency (DOGE) and what has it actually done so far?
- Department of Government Efficiency (DOGE): Structure and Strategy
- DOGE under Trump and Musk: A new era of government efficiency
- Elon Musk’s government dismantling fight prompts push back
- Efficiency or empire? How Elon Musk’s hostile takeover could end government as we know it
- Campaign Legal Center sues Elon Musk and DOGE for exercising unchecked power and harming public interest
- Lawsuit filed against Elon Musk and DOGE by attorneys general over authority concerns
- DOGE: The answer to improving productivity?
- Cato Institute Report: Department of Government Efficiency (DOGE)