การตลาดแบบยั่งยืน: เรื่องรักโลกที่ (ยัง) ไม่มีอยู่จริง

สหรัฐอเมริกาจะต้องออกจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง เพราะมันเป็นการฉ้อโกง เราจ่ายเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ประเทศอื่นไม่ต้องจ่ายอะไรเลย จีนไม่จ่ายอะไรเลย มันเป็นข้อตกลงข้างเดียวที่ไร้สาระ

โดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา

ปัญหาหนึ่งของคนทำงานการตลาดในประเทศไทยทุกวันนี้ คือแม้จะมีความตั้งใจรักษาสิ่งแวดล้อม และต้องการให้ผลิตภัณฑ์สร้างภาระต่อโลกน้อยที่สุด แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีปัจจัยใดเอื้อต่อผู้ประกอบการเลย

ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่อง ‘กระดาษ’

โดยปกติแล้ว กล่องกระดาษสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น สินค้าแบบซอง เราจะเรียกกันว่า ‘กล่องดิสเพลย์’ (display box) เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสิ้นเปลือง เพราะจำนวนถึง 1 ใน 3 จะถูกฉีกออกเมื่อวางบนชั้น ทั้งยังใช้กระดาษฟอกขาวเป็นวัสดุมาตรฐานในการผลิต ซึ่งกระดาษดังกล่าวผ่านกระบวนการฟอกเยื่อพืชจนเป็นสีขาว ใช้ทั้งทรัพยากรและสารเคมีมากกว่ากระดาษสีน้ำตาล (กระดาษไม่ฟอกขาว) หรือกระดาษรีไซเคิล ทีมการตลาดของผมจึงอยากลดการใช้กระดาษฟอกขาว โดยหันมาใช้กระดาษสีน้ำตาลแทน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น

แต่เมื่อสำรวจในตลาด พบว่าในประเทศไทยมีโรงงานที่ผลิตกระดาษชนิดนี้ได้เพียง 3 แห่ง และปริมาณการผลิตก็ไม่มากพอสำหรับบริษัทขนาดกลางถึงเล็ก ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาขาดแคลน หากกระดาษหมดกลางคัน อาจต้องสั่งจากจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ (และนั่นก็เพิ่มภาระให้ผู้ผลิต) หลังคำนวณความเสี่ยงทั้งหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องกลับไปใช้กระดาษฟอกขาวเหมือนเดิม เพราะราคาถูกกว่า มีสต็อกมากกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องของขาด

เห็นได้ชัดว่าผู้ผลิตสินค้าในประเทศที่อยากพัฒนาผลิตภัณฑ์กระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นยังไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ หรือมาตรการจูงใจให้ผู้ผลิตหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่แทบไม่มีเช่นเดียวกัน

ประเด็นเรื่องการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในระดับโลก นับตั้งแต่การประชุม COP (Conference of the Parties) เมื่อปี 1995 เราพูดถึงการผลิตสินค้าอย่างยั่งยืน การให้ความสำคัญกับแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จนเกิดกระแสการซื้อขายคาร์บอน (Carbon Neutral) มาตรการภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป รวมถึงมาตรการอื่นๆ อีกมาก

ขณะที่ประเทศไทยก็มีการพูดถึง พ.ร.บ.โลกร้อน, มาตรการ ESG (Environmental, Social, and Governance) ของตลาดหลักทรัพย์ และการกระตุ้นให้ใช้นวัตกรรมพลังงานทดแทน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ยังไม่ลงไปถึงระดับห่วงโซ่อุปทาน ผู้ประกอบการยังพบเจอปัญหาพื้นฐาน เช่น การจัดหาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะทำได้ แต่สุดท้าย ต้นทุนที่ต้องจ่ายก็อาจทำให้ธุรกิจแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาดโลกที่มีทรัพยากรมากกว่าได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ทำให้บริษัทและแบรนด์ต่างๆ ต้องทำการตลาดเรื่องความยั่งยืนเพื่อซื้อใจผู้บริโภค ในปี 2025-2040 บริษัทใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ยูนิลีเวอร์, พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล, เนสท์เล่, แอปเปิล ต่างออกมาประกาศนโยบายเกี่ยวกับความยั่งยืนของตนเอง

ตัวอย่างเช่น แอปเปิล -ที่ต้องนับถือว่าไปไกลและเอาจริงเอาจังกว่าใครเพื่อน- ตั้งเป้าหมายว่าจะใช้วัสดุรีไซเคิล 100% เป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ (2025) โดยก่อนหน้านั้น ในปี 2022 แอปเปิลรายงานว่า 73% ของแร่โลหะหายาก และมากกว่า 95% ของทังสเตนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์มาจากวัสดุรีไซเคิล สำหรับ iPhone 16 (ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2024) ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 85% โคบอลต์ในแบตเตอรี่ก็เป็นโคบอลต์รีไซเคิล 100%

ในทำนองเดียวกัน แบรนด์อย่างเทสล่า, วอลโว่ และบีเอ็มดับเบิลยูก็ตั้งเป้าใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้นในรถยนต์ของตน แต่น่าสังเกตว่าแบรนด์เหล่านี้ล้วนเป็นแบรนด์ราคาสูง หมายถึงผู้บริโภคระดับกลางถึงล่างอาจเข้าถึงและ ‘อิน’ กับเรื่องความยั่งยืนได้ยาก ความหรูหราอาจบดบังคุณค่าด้านความยั่งยืนของแบรนด์ไป หรืออีกนัยหนึ่ง เรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของ ‘คนรวย’ มากกว่าชาวบ้านทั่วไป

สำหรับแบรนด์ที่เข้าถึงตลาดได้กว้างกว่า เช่น ยูนิลีเวอร์, เนสท์เล่, พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล หรือโคคา-โคล่า ก็มีความพยายามเช่นกัน เช่น ยูนิลีเวอร์ประกาศว่าจะทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ต้นน้ำ เพื่อลดส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นกระบวนการผลิต สัญญาว่าจะพัฒนาสารขับดันในสเปรย์ที่ไม่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากตู้แช่ไอศกรีม

เนสท์เล่ตามมาติดๆ โดยบอกว่าธุรกิจไอศกรีมจะเป็นกลุ่มสินค้า FMCG (Fast-moving consumer goods) กลุ่มแรกที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 100% และจะพัฒนาหลอดกระดาษแบบโค้งงอได้สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม UHT แทนหลอดพลาสติกภายในปี 2025 (ปรบมือให้เลยถ้าทำได้)

ส่วนโคคา-โคล่าจะหันมาใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ 100% และเน้นกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นเรื่องการเพิ่มต้นทุน ซึ่งหากลดไม่ได้ในอนาคต ต้นทุนบางส่วนจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือแบรนด์เหล่านี้ต้องแข่งขันเรื่องราคาด้วยเช่นกัน ในหลายประเทศมีมาตรการควบคุมราคาสินค้า FMCG ด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นจึงเป็นโจทย์ท้าทายมากสำหรับแต่ละแบรนด์ 

ในฝั่งผู้บริโภค ผมคิดว่าคนจำนวนมากคำนึงถึงค่าใช้จ่าย ความคุ้มค่า หรือสถานะอื่นที่ได้จากแบรนด์หรือสินค้ามากกว่าการรักษาโลก พวกเขาอาจไม่สนใจว่าพลาสติกทำลายโลกหรือไม่ ตราบใดที่มันยังไม่มาถล่มตรงหน้า และผู้บริโภคไม่น้อยก็มีความเชื่อว่าพลาสติกที่เราใช้กันอยู่ หากมันติดตรารีไซเคิลอยู่บนบรรจุภัณฑ์ นั่นแสดงว่ามันสามารถนำกลับมา ‘รีไซเคิลได้’ หากเราแยกขยะ หรือถึงไม่แยก เดี๋ยวรถซาเล้งหรือพนักงานเก็บขยะ เขาก็เก็บแยกไปขายกันเอง

แท้จริงแล้ว การรีไซเคิลพลาสติกก็ไม่ใช่กระบวนการที่ง่ายแถมยังสิ้นเปลืองมากด้วย เพราะทุกวันนี้บรรจุภัณฑ์มีเทคนิคการผลิตซับซ้อนมาก เช่น ใช้พลาสติกหลายๆ ประเภทปนกันในบรรจุภัณฑ์ อย่างถุงน้ำยาซักผ้ามีเนื้อพลาสติกหนาและต่างจากพลาสติกบรรจุภัณฑ์สกินแคร์ เพราะสารเคมีแต่ละประเภทต้องการการปกป้องที่แตกต่างกัน เป็นต้น

ยังไม่นับว่ามีกระดาษที่เคลือบพลาสติกอีก (อันนั้นก็หนังเรื่องยาวเหมือนกัน) ในอุตสาหกรรม FMCG ปัจจุบันมีการใช้พลาสติกหลายประเภท (อาจมากกว่า 7 ชนิด) ซึ่งพลาสติกเหล่านี้ยากต่อการนำไปรีไซเคิลและหลอมรวมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เพราะจุดหลอมเหลวอาจไม่เท่ากัน หรือเนื้อพลาสติกไม่สามารถเข้ากันได้

ในประเทศไทย มีโรงงานน้อยมากที่สามารถนำพลาสติกหลากหลายประเภทมาผสมกันได้ (หากมีเพิ่มเติม โปรดแจ้งด้วย) พลาสติกที่รีไซเคิลได้และคนทั่วไปพอมีความรู้บ้าง คือ PET#1 และ HDPE#2 เท่านั้นเอง ส่วนพลาสติกประเภทอื่นๆ หากต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ อย่างดีที่สุดคือทำเป็นถุงขยะ หรือกระถางเพาะต้นไม้คุณภาพต่ำ

กระบวนการรีไซเคิลจะซับซ้อนยิ่งขึ้นหากผลิตภัณฑ์หนึ่งประกอบด้วยพลาสติกหลายชนิด เช่น ฝาปิดเป็นพลาสติกแบบหนึ่ง ตัวซอง (หรือขวด) เป็นอีกแบบหนึ่ง และจะซับซ้อนยิ่งกว่าหากพลาสติกเหล่านั้นปนเปื้อนเนื้อผลิตภัณฑ์ด้านใน หากไม่ทำความสะอาดก่อน ก็จะเพิ่มต้นทุนและความยุ่งยากในการนำกลับมาใช้ใหม่ เรื่องพวกนี้มีไม่กี่ครัวเรือนที่เข้าใจเรื่องการแยกขยะและการนำกลับมาใช้ใหม่ ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแยกขยะ เช่น ญี่ปุ่น มีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ทั้งความเข้มงวดของเทศบาลในการเก็บขยะ การให้ความรู้อย่างจริงจัง และวัฒนธรรมแม่บ้านเต็มเวลา แต่ในส่วนอื่นๆ ของโลก การแยกขยะ โดยเฉพาะขยะพลาสติก ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มาก

ในสหรัฐอเมริกาเจ้าแห่งการบริโภคนิยม มีการสำรวจความเข้าใจเกี่ยวกับการรีไซเคิลอยู่เหมือนกัน ในปี 2019 Consumers Brand Association เผยแพร่รายงาน “Reduce, Reuse, Confuse: How Best Intentions Have Led to Confusion, Contamination and a Broken Recycling System in America” สำรวจจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกัน 2,000 คน (อายุ 18 ปีขึ้นไป) พบว่า:

  • ชาวอเมริกันมองว่าการรีไซเคิลน่าสับสนกว่าการทำความเข้าใจเพศตรงข้าม หรือการเสียภาษี
  • มากกว่า 2 ใน 3 เชื่อผิดๆ ว่าพลาสติกที่มีสัญลักษณ์รีไซเคิลสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทำให้ 1 ใน 4 ของขยะที่ถูกทิ้งในถังรีไซเคิล ไม่สามารถรีไซเคิลได้
  • ระบบรีไซเคิลที่ซับซ้อนและกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่นทำให้เกิดความสับสน
  • ชาวอเมริกันรีไซเคิลขยะกันเพียง 34%
  • 74% สับสนเกี่ยวกับสัญลักษณ์รีไซเคิล
  • 40% ทิ้งขยะลงถังรีไซเคิลโดยหวังว่าจะรีไซเคิลได้
  • กว่า 75% เชื่อว่าขยะที่ทิ้งลงถังรีไซเคิลส่วนใหญ่หรือทั้งหมดถูกรีไซเคิล
  • และแค่ 8% เท่านั้นที่เข้าใจสัญลักษณ์รีไซเคิลอย่างถูกต้อง

ในระดับโลก ความเข้าใจเรื่องความยั่งยืนและการรีไซเคิลยิ่งต่ำกว่านี้ คาดการณ์ว่าท่ามกลางขยะพลาสติก 400 ล้านตันที่เกิดขึ้นทุกปี (หลังโควิด-19 ขยะเพิ่มขึ้นมาก เพราะคนกังวลเรื่องความปลอดภัย) มีเพียง 10% เท่านั้นที่ถูกนำมารีไซเคิล (ตามความคาดหวัง ควรจะเป็น 30-40%) ส่วนในประเทศไทย โครงการ SDG Move เปิดเผยว่าไทยรีไซเคิลขยะพลาสติกได้ประมาณ 5 แสนตัน จากเกือบ 3 ล้านตันต่อปี ส่วนที่เหลือจะไปจบลงที่ภูเขาขยะ

ในประเทศที่ยังไม่มีมาตรการภาษีขยะหรือภาษีสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม การสร้างวงจรการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบจึงเป็นเรื่องท้าทาย ตัวเลขที่บริษัทใหญ่ๆ ให้ไว้ก็ยากที่จะทำให้สำเร็จตามกรอบเวลา สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ นโยบายสิ่งแวดล้อมของโดนัลด์ ทรัมป์, การยกเลิกนโยบายหลอดกระดาษ, การถอนตัวจากสนธิสัญญาปารีส รวมถึงนโยบาย National Sword ของจีน ที่เปลี่ยนแปลงนโยบายการรับขยะมาแปรรูปในปี 2018 ทำให้ตลาดวัตถุรีไซเคิลผันผวน สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศบริโภคนิยมอันดับต้นๆ กำลังมีปัญหากับการหาแหล่งรีไซเคิลขยะ ราคาขยะรีไซเคิลลดลง 43% ตั้งแต่จีนประกาศมาตรการ และพบการปนเปื้อนในขยะรีไซเคิลเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 25% การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ทำให้มูลค่าวัสดุรีไซเคิลลดลง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นปลายทางของขยะรีไซเคิล ซึ่งน่าเป็นห่วง เพราะเราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เลย

ส่วนเรื่องการตลาดความยั่งยืน ผมคิดว่ายังดูห่างไกลมากจากโลกของความเป็นจริง แต่ครั้นจะไม่ทำก็คงไม่ได้ สิ่งที่เราคาดหวังคือการที่ภาครัฐเข้ามาช่วยเอกชนอย่างจริงจังมากกว่านี้

แบรนด์แต่ละแบรนด์เขาจะได้พูดเต็มปากว่าเราได้พยายามช่วยประคับประคองโลกใบนี้ไว้ให้กับคนรุ่นหลังอย่างจริงๆ จังๆ


เกร็ดความรู้: ที่มาของเครื่องหมายรีไซเคิล

สัญลักษณ์สามเหลี่ยมลูกศรหมุนวน 3 ทิศทาง (Möbius loop) สื่อถึงการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ โดยลูกศรแต่ละทิศชี้ไปยังขั้นตอนของกระบวนการรีไซเคิล ได้แก่ การเก็บรวบรวม, การแปรรูป และการนำกลับมาใช้ใหม่

สัญลักษณ์นี้ออกแบบโดย แกรี่ แอนเดอร์สัน (Gary Anderson) นักศึกษามหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ในปี 1970 จากการประกวดออกแบบที่จัดโดย Container Corporation of America บริษัทผลิตกระดาษที่ต้องการรณรงค์ให้ผู้คนใช้กระดาษอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ บริษัท Mead Corporation นำสัญลักษณ์นี้มาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1974 บนผลิตภัณฑ์กล่องกระดาษ

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save