‘ผู้ใหญ่หาย-เด็กหนี’ มองปัญหาความรุนแรงใต้พรมสังคมไทยกับ ‘กระจกเงา’

‘เด็กหาย’ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ในปี 2567 มูลนิธิกระจกเงาได้รับแจ้งเด็กหายถึง 314 คน สาเหตุหลักคือเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน เรื่องเด็กหายมีรากมาจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือประเด็นครอบครัว

เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงกับประเด็น ‘คนหาย’ ซึ่งเกี่ยวพันถึงปัญหาลักพาตัวและค้ามนุษย์ด้วย ท่ามกลางปัญหาที่หลากหลายในสังคมไทย เรื่องนี้ก็เป็นอีกปัญหารุนแรงที่สังคมไทยต้องร่วมกันหาทางออก

วันโอวันชวน เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา มาพูดคุยว่าด้วยปัญหาเรื่องคนหาย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไรในสังคม ขนาดของปัญหาคนหายนั้นใหญ่แค่ไหน การตามรอยเด็กหายทำได้ด้วยวิธีใด เรื่องการค้ามนุษย์เกี่ยวข้องกับปัญหานี้แค่ไหน ความเหลื่อมล้ำใช่แก่นของปัญหาไหม และเราจะป้องกันตัวได้อย่างไร


หมายเหตุ – สรุปความจากรายการ 101 One-on-One Ep.354:‘เด็กหาย’ วิกฤตสังคมไทยที่น่ากังวล กับเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข

YouTube video

เด็กหายและภาพจำของ แก๊งรถตู้จับเด็ก

เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ในฐานะผู้ที่ทำงานกับปัญหานี้มามากกว่า 20 ปี เริ่มต้นอธิบายว่าปัญหา ‘เด็กหาย’ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบภาพจำที่คนทั่วไปมี ซึ่งมักมองว่าเกิดจาก ‘แก๊งรถตู้จับเด็ก’ แต่ในความเป็นจริงคนร้ายมาในหลากหลายรูปแบบและส่วนใหญ่มาด้วยท่าทีล่อลวง ไม่ได้ใช้ความรุนแรงบังคับเอาแบบที่หลายคนคิด

“เรื่องเด็กหาย ไม่ใช่แค่เรื่องการค้ามนุษย์ แต่ยังมีปัญหาอื่นอีกมากมาย แน่นอนว่ามีการลักพาตัวเด็กเกิดขึ้นจริง แต่ส่วนมากเกิดจากการล่อลวง ให้นึกภาพว่าพ่อแม่มักจะบอกลูกหลานว่าให้ระวังแก๊งรถตู้ แต่สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นคนละแบบกับที่เด็กถูกสั่งสอนมา คือเป็นการชักชวนด้วยท่าทีที่ไม่รุนแรง เด็กจึงไม่มีกลไกการป้องกันตัว หรือหลายครั้งอาจเกิดจากพ่อแม่ปล่อยปละจนเด็กมีโอกาสคุยกับคนแปลกหน้า เช่น ปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นตามลำพัง ซึ่งที่ผ่านมาเราพบว่าคนร้ายจะก่อเหตุตอนเด็กวิ่งเล่นตามลำพัง” เอกลักษณ์อธิบาย

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุจากเด็กพลัดหลงและปัญหาเรื่องการแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูด้วย หนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ เอกลักษณ์ระบุว่า 70% ของเด็กที่หายตัวไปคือเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน ซึ่งแม้สถานการณ์ในบ้านจะเลวร้ายจนบีบให้เด็กหนีออกจากบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ภายนอกก็อันตรายมากเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลที่ทางทีมกระจกเงาต้องเร่งตามตัวอย่างถึงที่สุด

“มีเด็กคนหนึ่งที่เราตามหา 2-3 ปีจนเจอตัว เขาบอกว่าถ้ายังอยู่บ้าน ไม่เป็นเขาก็คนในบ้านที่จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ขณะที่คนในบ้านก็มองว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ เขาจึงตัดสินใจหนีออกมา ดังนั้น บางครั้งแม้เราเจอตัวเด็กแต่ก็ไม่ได้พากลับบ้าน หน้าที่ต่อไปของเราคือทำให้เขาได้อยู่ในที่ปลอดภัย”

เมื่อกล่าวถึงปัญหาในครอบครัวที่ทำให้เด็กสมัครใจออกจากบ้าน โดยมากมีทั้งความรุนแรงทั้งทางกายและทางคำพูด แต่เอกลักษณ์ชี้ให้เห็นอีกหนึ่งประเด็นว่า อย่างน้อยที่สุดหากพ่อแม่พยายามอย่างถึงที่สุดในการตามหาลูก พบว่าอาจมีสายใยบางอย่างที่ยึดโยงกันกับเด็ก อาจยังมีส่วนที่ดีที่ยังเชื่อมต่อกันได้ หากเด็กออกจากบ้านไปสักพักก็อาจรู้สึกอยากกลับบ้านหรือกลับมาเจอพ่อแม่ชั่วคราวได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการปรับเข้าหากัน

“ถ้าพูดในแง่นโยบาย ณ ตอนนี้ เวลาเด็กหนีออกจากบ้านมักไม่มีที่พึ่งอื่น โดยเฉพาะวัยรุ่น ถ้าเด็กเลือกจะออกจากบ้านมาอยู่กับหน่วยงานภาครัฐ ต้องดูว่าเด็กแต่ละคนมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ละคนมีพื้นเพทางครอบครัวอย่างไร เพราะหัวใจหลักคือเราต้องการให้เด็กได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย มีเด็กที่กลับมาบ้านด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

เมื่อบ้านไม่ใช่เซฟโซน เด็กจึงเลือกจะหายไป

ในประเด็นปัญหาเรื่องเด็กสมัครใจออกจากบ้านโดยมีบุคคลอื่นชักจูง เอกลักษณ์มองว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้บุคคลอื่นติดต่อเข้าถึงตัวเด็กง่ายขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยียังสร้างความแปลกแยกระหว่างตัวเด็กและครอบครัวมากขึ้น สำหรับเด็กที่อยู่ในบ้านที่ไม่มีสิ่งยึดโยงกับครอบครัวจึงยิ่งมีโอกาสที่เด็กจะสมัครใจออกจากบ้าน โดยเฉพาะเด็กช่วงอายุ 11-15 ปีที่ประสบการณ์ชีวิตยังไม่มากพอจะเอาตัวรอดได้ในระยะยาว

ครอบครัวมีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เด็กตัดสินใจออกจากบ้าน หลายกรณีที่เอกลักษณ์ช่วยตามหาเด็กทำให้เขาพบว่ามีพ่อแม่จำนวนมากที่อาจสร้างบาดแผลให้เด็กโดยไม่รู้ตัว หรือเมื่อเด็กหายไปแล้วปรากฏว่าพ่อแม่ไม่รู้รายละเอียดชีวิตของลูกเลย ภาพเหล่านี้สะท้อนปัญหาปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัว แต่ก็ไม่อาจสรุปว่าเป็นสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เด็กออกจากบ้าน เพราะหลายครั้งเด็กก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ

ในแง่กระบวนการตามหา เอกลักษณ์ระบุว่าเวลาเด็กหายไปจะมีการลงพื้นที่สืบสวน โดยตั้งต้นว่าเด็กหายจากสิ่งไหนก็ต้องตามหาจากสิ่งนั้น เช่น สถานที่สุดท้ายที่เด็กไป เริ่มจากการประสานงานตำรวจ ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าถึงอย่างไรคนที่หายตัวไปก็ต้องเข้าไปอยู่ในระบบของรัฐไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนเด็กที่หายไปหลายปีจนน่าจะเติบโตและมีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปก็จะมีการสเก็ตช์ภาพจำลอง มีการพาไปเจอพ่อแม่ จำลองภาพจากพ่อแม่ของเด็ก สเก็ตช์จากจินตนาการและข้อเท็จจริง เพื่อให้มีคาแรกเตอร์ที่เห็นภาพชัด เอกลักษณ์ยังเน้นย้ำว่าเวลาตามหาจะใช้การสืบสวนเป็นหลัก ไม่ใช่การประชาสัมพันธ์ที่สร้าง digital footprint ไปตลอดกาล

“เคยมีกรณีเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายที่ต้องได้รับการดูแลแล้วหายตัวไป เราติดตามจากข้อมูลทางเทคนิคจนมั่นใจว่าอยู่ในพื้นที่ไหน ค่อยๆ นำภาพไปถามทีละคน พูดคุยหว่านล้อมกับคนที่อาจเกี่ยวข้องจนเราได้เจอตัว และพูดคุยกับเด็ก ซึ่งพบว่าที่ผ่านมาเขามีปัญหาที่บ้านจนมองว่าการออกจากบ้านจะปลอดภัยกับตัวเขามากกว่า

“แต่คำว่าปลอดภัยสำหรับเราคือเด็กต้องเลี้ยงตัวเองได้ ขณะที่เด็กที่หายไปมักไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เราจึงพยายามพาเด็กกลับไปหาครอบครัว ซึ่งแม่ของเด็กที่หายไปเขาเศร้าเสียใจมาก พอเด็กไม่ยอมกลับบ้าน เราจึงพาแม่ไปพบเด็ก แต่ปรากฏว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด พอเด็กรู้ว่าเราพาแม่ไปหา เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาและผิดหวังที่ไว้ใจพวกเรา กรณีนี้ใช้เวลาพอสมควรในการแก้สถานการณ์ กระทั่งระยะเวลาผ่านไปอีกครึ่งปี เด็กจึงตัดสินใจกลับไปหาแม่ด้วยตัวเอง

“ดังนั้น การตามหาเด็กคนหนึ่งมีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่หลายคนคิด หลายครั้งเวลาเป็นตัวช่วยในการทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตและพบว่าตัวเองยังมีสายใยบางอย่างกับครอบครัว” เอกลักษณ์กล่าวสรุป

คนหายและอาชญากรรมค้ามนุษย์

ส่วนกรณีผู้ใหญ่หาย เอกลักษณ์กล่าวว่าในอดีตมีมุมมองที่ว่าการที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งหายตัวไปอาจเกิดจากความสมัครใจหรือเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ก็พบว่าการหายตัวไปหลายกรณีเกิดจากเหตุอาชญากรรม เขายกตัวอย่างกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งออกจากบ้านไปทำงานโรงงานแล้วหายตัวไป 4-6 ปีโดยไม่มีการติดต่อครอบครัวเลย เมื่อเอกลักษณ์ไปคุยกับครอบครัวจึงพบว่าผู้หญิงคนนี้สนิทกับพ่อแม่มาก จึงมีความเป็นไปได้น้อยที่จะหายตัวไปเลยโดยไม่ติดต่อครอบครัว ท้ายที่สุดเมื่อสืบสวนจึงพบว่าเธอถูกฆาตกรรม สิ่งสำคัญต่อมาหลังเจอร่างผู้เสียชีวิตคือต้องจับคนร้ายให้ได้ เพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้ตายและครอบครัว

อีกเรื่องที่เขาเรียนรู้คือกรณีการค้ามนุษย์ เอกลักษณ์ยกตัวอย่างสมัยก่อนที่การประมงของไทยเฟื่องฟู มีคนจำนวนมากถูกหลอกจากหมอชิต-หัวลำโพง-สนามหลวงให้ไปทำงานเรือประมง จนกลายเป็นคนหาย ดังนั้น เวลาจะช่วยเหยื่อการค้ามนุษย์ต้องเอาความปลอดภัยของเหยื่อเป็นหลัก ไม่สามารถเน้นการดำเนินคดีทุกรายได้ เพราะคนหายต่างต้องการมีชีวิตรอด ถ้าหากบุ่มบ่าม คนหายอาจจะไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัย

“บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่บุกจับไปเลย ความจริงมันไม่ง่าย หลักการคือทำให้คนปลอดภัยก่อน เพราะถ้าบุ่มบ่ามไปจับแล้วทางเรือประมงรู้ตัวก็มีโอกาสที่เหยื่อจะถูกทำให้หายไปได้ เพื่อที่ทางเรือจะอ้างได้ว่าไม่มีการค้ามนุษย์และไม่มีเหยื่อคนนี้อยู่บนเรือ ในขณะที่ตอนนี้รูปแบบการค้ามนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหลอกลวงไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ แต่สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเหยื่อ” เอกลักษณ์กล่าว

ยิ่งในปัจจุบันที่มีอาชญากรรมโดยชาวต่างชาติเยอะมากขึ้น ถ้ามองในเชิงโครงสร้าง คนหายยังคงเป็นปัญหาสากล เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ตัวเลขคนหายเป็นศูนย์

เอกลักษณ์เน้นย้ำว่า เมื่อมีความเจริญหรือการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ตามมาคือครอบครัวที่เปราะบาง เมื่อคนมีปัญหาการวางแผนครอบครัว มีลูกโดยไม่พร้อม เด็กเติบโตมาโดยไม่ได้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม และเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี แม้ว่าเด็กบางคนอาจเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมนั้นมาได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะรอด

เมื่อมองถึงแนวทางการทำงานของมูลนิธิกระจกเงาในอนาคต เอกลักษณ์ระบุว่าตอนนี้ทางทีมมีคลังข้อมูลคนหายพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ มีทีมงานที่พร้อมทำงาน เนื่องจากปัจจุบันคนหายมากขึ้นทุกปี สถานการณ์ของสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปตลอด แนวคิดปัจจุบันคือต้องทำงานคู่ขนานไปกับหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ปัญหานี้เบาบางลงไปได้มากที่สุด


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save