หน่วงแค่โจร ไม่หน่วงเศรษฐกิจ: แนวทางลดลูกหลงของ ‘มาตรการหน่วงเงิน’

ข่าวนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ปลอมเสียงเป็นผู้นำต่างชาติเพื่อหลอกให้โอนเงินบริจาค กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หลายคนให้ความสนใจรับปี 2568[1] ความกล้าท้าทายอำนาจรัฐของแก๊งคอลเซนเตอร์กลุ่มนี้นอกจากจะเป็นการลูบคมรัฐบาลแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ในไทยระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไล่ตั้งแต่ตาสีตาสาชาวบ้านไปจนถึงผู้มีอำนาจในสังคม กล่าวได้ว่าทุกคนในสังคมต่างมีโอกาสตกเป็นเหยื่อหลอกลวงออนไลน์กันอย่างเสมอหน้า

หลายฝ่ายในสังคมจึงเรียกร้องให้ภาครัฐและเอกชนมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์ออนไลน์ไปมากกว่านี้ และหนึ่งในมาตรการที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้ผลักดันคือให้มีการนำ ‘มาตรการหน่วงเงิน’ (Delayed Payment) มาใช้ชะลอธุรกรรมเพื่อรอการตรวจสอบ

มาตรการหน่วงเงินจะช่วยยับยั้งไม่ให้ประชาชนถูกหลอกได้จริงไหม และอีกด้านมาตรการนี้อาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างไร แล้วเราจะสามารถออกแบบมาตรการหน่วงเงินอย่างไรให้สามารถแก้ปัญหาสแกมเมอร์ออนไลน์ได้ตรงจุดโดยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยลง 101 PUB ชวนไปขบคิดเรื่องเหล่านี้

หน่วงเงิน เครื่องมือป้องกันการถูกหลอกให้โอนเงิน

ในปัจจุบัน การหลอกลวงออนไลน์ยังคงเป็นภัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญในสังคมไทย โดยยอดรวมมูลค่าความเสียหายและจำนวนคดีการฉ้อโกงออนไลน์ในปี 2567 ยังคงสูงขึ้นจากปีก่อน[2] สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลไทยต้องผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกลวง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาครัฐผลักดันมาตรการป้องกันการหลอกลวงประเภท ‘ยึดบัญชีแล้วโอนเงิน’ (Account Takeover – ATO โดยมิจฉาชีพเจาะช่องว่างของระบบการทำธุรกรรมแล้วบังคับให้เหยื่อโอนเงิน โดยที่เหยื่อไม่ได้เต็มใจโอนเงิน ตัวอย่างเช่น แอปดูดเงิน)[3] แต่กลับยังไม่ได้มีมาตรการป้องกันการถูกหลอกลวงประเภท ‘หลอกให้โอนเงิน’ (Authorized Pushed Payment – APP มิจฉาชีพกล่อมเกลาหลอกลวงให้เหยื่อเข้าใจผิดและโอนเงินมาให้มิจฉาชีพด้วยตัวของเหยื่อเอง ตัวอย่างเช่น การหลอกให้ลงทุนปลอม) มากนัก ทั้งที่การหลอกลวงประเภทนี้สร้างความเสียหายเกินกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงทั้งหมด[4] โดยในการหลอกลวงประเภทนี้ มิจฉาชีพใช้วิธีการกระตุ้นอารมณ์ทำให้เหยื่อสับสนประกอบกับการเร่งรัดเวลาให้เหยื่อรีบตัดสินใจ เช่น แก๊งคอลเซนเตอร์โทรมาขู่ว่าเหยื่อทำผิดกฎหมายและเร่งให้เหยื่อรีบโอนเงินมาให้ตรวจสอบ ส่งผลให้เหยื่อจำนวนมากคิดไม่ทันและพลาดท่าโอนเงินให้กับมิจฉาชีพ

นอกจากนี้ ในภาพรวมระดับโลก การหลอกลวงประเภท ‘หลอกให้โอนเงินด้วยตัวเอง’ (APP) มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว[5] โดยมิจฉาชีพมีการนำเทคโนโลยี AI และ Deepfake (เทคโนโลยีที่ใช้ AI ปลอมหน้าและเสียง) มาเป็นเครื่องมือเสริมที่ทำให้กระบวนการหลอกลวงยิ่งแนบเนียนมากขึ้น

กรณีนายกแพทองธารเองที่ (เกือบ) โดนหลอกจากเทคโนโลยี Deepfake ที่มิจฉาชีพใช้ ก็ถูกนับเป็นประเภทการ ‘หลอกให้โอนเงิน’ หากในวันนั้นนายกฯ เผลอโอนเงินไป ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้เงินคืนจากมิจฉาชีพ[6] และรัฐบาลไทยเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะให้ภาคเอกชนช่วยรับผิดชอบความเสียหายในกรณีที่เหยื่อสมัครใจโอนเงินให้มิจฉาชีพด้วย

ภาครัฐจึงควรมีมาตรการบางอย่างที่จะช่วยป้องกันไม่ให้การหลอกลวงประเภท ‘การหลอกให้โอนเงิน’ ระบาดสร้างความสูญเสียกับประชาชนชาวไทยไปมากกว่านี้

‘มาตรการหน่วงเงิน’ (Delayed Payment) จึงได้รับความสนใจจากหลายฝ่ายว่าจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยให้ประชาชนถูกหลอกจากประเภทหลอกให้โอนเงินน้อยลง ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะผลักดันธนาคารชะลอการโอนเงินออนไลน์ไว้ก่อนระยะเวลาหนึ่ง โดยธนาคารจะมีการแจ้งบัญชีปลายทางเป็นเครดิตหรือข้อความว่าจะมีคนโอนเงินเข้ามาแต่อยู่ระหว่างตรวจสอบ มาตรการหน่วงเงินจะช่วยยืดเวลาให้ตัวผู้โอน (เหยื่อ) มีเวลาในการตั้งสติ คิด และปรึกษาคนใกล้ตัว ระหว่างที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง รวมถึงมีเวลาให้สถาบันการเงินตรวจสอบความผิดปกติของธุรกรรมก่อนจะอนุมัติจ่ายให้บัญชีปลายทาง

‘ปลอดภัย’ VS ‘สะดวก’ โจทย์ใหญ่ของการสู้แสกมเมอร์

ถึงแม้ว่ามาตรการหน่วงเงินจะทำให้ทั้งตัวผู้โอนและสถาบันการเงินมีเวลาในการตรวจสอบความปลอดภัยของธุรกรรม แต่มันก็สร้างต้นทุนทางธุรกรรม (Transaction Cost) ที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการค้า เช่น

  • ความเชื่อมั่นในการซื้อขายลดลง ในโลกแห่งการซื้อขาย ไม่ได้มีเพียงผู้ซื้อเท่านั้นที่กลัวว่าจ่ายเงินไปแล้วผู้ขายจะบิดไม่ส่งของมาให้ ตัวผู้ขายเองก็กลัวว่าผู้ซื้อจะบิดไม่จ่ายเงินเมื่อได้ของแล้วเช่นกัน ซึ่งการหน่วงเงินเองสร้างความกังวลให้กับผู้ขายเนื่องจากจะยังไม่ได้เงินทันทีถึงแม้ว่าผู้ซื้อจะโอนเงินแล้ว (ถึงแม้จะได้รับข้อความแจ้งจากสถาบันการเงินก็อาจยังไม่มั่นใจ) หากจะรอให้เงินเข้าก่อนแล้วค่อยส่งสินค้าก็อาจจะไม่ทันท่วงที การบังคับใช้มาตรการหน่วงเงินจึงสร้างความไม่แน่นอนในการซื้อขายและอาจทำให้ธุรกรรมช่องทางออนไลน์เกิดขึ้นน้อยลง
  • ทำให้ธุรกิจมีกระแสเงินสดที่ลดลง ในปัจจุบันระบบทางการเงินของไทยพัฒนามาอยู่ในระดับที่การทำธุรกรรมเกิดขึ้นฉับพลัน (Real-time Payment) ผู้ประกอบการที่ใช้บริการทางการเงินออนไลน์จึงมีความเคยชินกับการซื้อขายที่ได้รับเงินทันที เมื่อผู้ประกอบการขายของได้แล้วจะสามารถนำเงินไปลงทุนเติมสต๊อกของได้จำนวนพอดีกับที่ขายไป นำไปชำระหนี้ตัดดอกได้ทันที รวมถึงนำไปหมุนใช้จ่ายในครัวเรือนได้อย่างยืดหยุ่น แต่หากขายของไปแล้วได้เงินช้าลง (ถูกหน่วง) ผู้ประกอบการจะเผชิญกับความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจ ต้องวางแผนการใช้จ่ายทางการเงินล่วงหน้าซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในขณะนั้น รวมถึงต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ที่มากขึ้นจากการนำเงินไปชำระหนี้ได้ช้าลง

โจทย์ใหญ่ของการผลักดันมาตรการหน่วงเงิน จึงเป็นการสร้างสมดุลว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกรรมทางการเงินในระบบปลอดภัยมากขึ้น โดยที่ไม่สร้างผลกระทบต่อเนื่องทำให้เกิดอุปสรรคทางการค้ามากเกินไป

หน่วงให้ถูกเป้า ลดคนโดนลูกหลง

เป้าหมายใหญ่ในการออกแบบมาตรการหน่วงเงินจึงอยู่ที่ว่า “จะทำอย่างไรให้มีจำนวนธุรกรรมที่ถูกบังคับให้หน่วงน้อยที่สุด โดยที่ธุรกรรมที่ถูกบังคับให้หน่วงต้องเป็นธุรกรรมที่มีแนวโน้มสูงว่าผู้โอนเงินจะถูกหลอก” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือจะทำอย่างไรให้การหน่วงเงินสามารถมุ่งเป้าไปที่ธุรกรรมที่เสี่ยงจริงได้ตรงจุด ซึ่งหากบังคับใช้การหน่วงเงินได้ถูกจุดเฉพาะกับธุรกรรมที่เสี่ยงจริง นอกจากจะทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจลดลงแล้ว ยังทำให้ตัวสถาบันการเงินมีศักยภาพในการตรวจสอบธุรกรรมที่เสี่ยงได้ละเอียดมากขึ้นด้วย ซึ่งวิธีการออกแบบเงื่อนไขเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจสามารถทำได้สองแนวทาง ได้แก่

  • ตั้งค่าบนฐานของผู้โอน

ในแนวทางแรก เงื่อนไขการถูกหน่วงเงินจะถูกออกแบบบนฐานที่ผู้โอนสามารถกำหนดได้ว่าธุรกรรมใดที่จะถูกหน่วงเงิน ผู้โอนและผู้รับโอนจึงสามารถคาดเดาได้ว่าธุรกรรมใดจะสามารถโอนได้ทันทีและธุรกรรมแบบใดที่ต้องรอเวลา ทำให้ผู้โอนและผู้รับโอนสามารถวางแผนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องได้ ได้แก่

การกำหนดธุรกรรมขั้นต่ำที่ต้องหน่วง: ที่ผ่านมาเมื่อมิจฉาชีพหลอกลวงให้เหยื่อตายใจหรืออยู่ในสภาวะสับสนแล้ว มิจฉาชีพต้องเร่งรัดให้เหยื่อโอนเงินมาให้มากที่สุด เหยื่อจำนวนมากจึงสูญเสียเงินมหาศาลจากความผิดพลาดเพียงชั่ววูบ หากผลักดันให้สถาบันการเงินหน่วงเฉพาะธุรกรรมมูลค่าสูง (รวมถึงกรณีที่ทำหลายธุรกรรมแต่มูลค่ารวมจำนวนมากในหนึ่งวัน) จะทำให้เหยื่อมีโอกาสสูญเสียเงินครั้งเดียวก้อนใหญ่ลดลง ในขณะเดียวกัน ผลกระทบจากการหน่วงเงินจะลดลง เนื่องจากการโอนเงินมูลค่าไม่สูงมากสามารถสั่งจ่ายได้ทันที การตั้งมูลค่าธุรกรรมขั้นต่ำที่ต้องหน่วงจึงลดผลกระทบต่อการค้าขายในระดับรากหญ้า

ในช่วงที่ผ่านมา ‘สภาองค์กรของผู้บริโภค’ ได้พยายามผลักดันให้มีมาตรการหน่วงเงินกรณีธุรกรรม โดยตั้งเงื่อนไขให้ธุรกรรมที่จะถูกหน่วงต้องมีมูลค่าตั้งแต่ 10,000 บาทเป็นต้นไป และหน่วงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง[7] โดยจะผลักดันให้เป็นมาตรการทางเลือกที่ผู้โอนสามารถเลือกที่จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้[8] เพื่อลดจำนวนธุรกรรมที่จะถูกหน่วง

ปลายทางเป็นบัญชีใหม่: ในกรณีผู้โอนและผู้รับโอนรู้จักเคยทำธุรกรรมมาอย่างต่อเนื่องก็อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหน่วงเงินแม้ว่ามูลค่าธุรกรรมจะสูงเกิน 10,000 บาท ดังนั้นหากหน่วงเงินเฉพาะบัญชีปลายทางเป็นบัญชีใหม่ที่ผู้โอนไม่เคยโอนให้มาก่อน[9] ก็อาจจะช่วยทำให้การโอนเงินระหว่างคู่ค้าที่ทำธุรกรรมกันมาอย่างต่อเนื่องจนไว้ใจกันไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการหน่วงเงินได้เช่นกัน

  • ตั้งค่าด้วยข้อมูลหลังบ้าน

ในอีกแนวทางหนึ่ง ทางสถาบันทางการเงินเองมีข้อมูลจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ในการระบุว่าธุรกรรมใดที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นการหลอกลวงหรือระบุว่าบัญชีใดถูกใช้งานโดยมิจฉาชีพ หากสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้จะช่วยทำให้ ‘มาตรการหน่วงเงิน’ มีความแม่นยำสร้างผลกระทบต่อธุรกรรมอื่นๆ ทั่วไปลดลง

พฤติกรรมก่อนโอนเงิน และธุรกรรมต้องสงสัย: แนวทางหนึ่งที่สามารถตรวจสอบความเสี่ยงที่เข้าข่ายการถูกหลอกลวงคือพิจารณาจากพฤติกรรมระหว่างทำการโอนเงิน ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมตัวเป็นตำรวจมาขู่ให้เหยื่อโอนเงินมาให้ตรวจสอบ เหยื่อมักจะมีพฤติกรรมการใช้งานแอปบัญชีธนาคารอย่างรีบเร่งผิดปกติ (เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี) ธนาคารในออสเตรเลียจึงหันมาใช้ระบบที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าผู้โอนเงินอาจมีสภาวะความกังวลที่เกิดจากการถูกกล่อมเกลาโดยสแกมเมอร์[10] ซึ่งช่วยชี้ได้ว่าธุรกรรมใดมีแนวโน้มเกิดขึ้นจากการถูกมิจฉาชีพหลอกได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สถาบันการเงินมีแนวทางในการแทรกแซง (หน่วงเงิน) ได้ทันท่วงที

นอกจากนี้ ในกรณีสถาบันทางการเงินในสหราชอาณาจักรเองก็มีการกำหนดหลักเกณฑ์บางอย่างเพื่อบ่งชี้ว่าธุรกรรมใดมีความเสี่ยงสูงที่ควรจะถูกหน่วงเงิน (Delayed Transaction)[11] เช่น

1. หากพบว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากพฤติกรรมปกติอย่างเด่นชัด (โอนเงินจำนวนก้อนใหญ่ผิดปกติ)

2. บัญชีปลายทางมีประวัติทำธุรกรรมกับบัญชีที่เคยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง

3. ผู้โอนเงินมีพฤติกรรมการใช้งานที่จะถูกหลอกได้ง่าย และอื่นๆ โดยหากมีความเสี่ยงสูงธนาคารสามารถหน่วงธุรกรรมได้สูงสุดเป็นเวลา 4 วันทำการ

พิจารณาจากลักษณะคุณสมบัติของบัญชีปลายทาง: โดยปกติสถาบันทางการเงินมีข้อมูลที่บ่งชี้ได้ว่าบัญชีใดที่มีพฤติกรรมผิดปกติหรือมีความเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการเงินได้กวาดล้าง อายัดบัญชีที่เข้าข่ายว่าเป็นบัญชีม้าไปกว่า 3 แสนบัญชีตามคำสั่งของภาครัฐ[12] ซึ่งข้อมูลที่สถาบันทางการเงินมีนั้นสามารถนำมาใช้ระบุบัญชีปลายทางที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นมิจฉาชีพแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะถูกกวาดล้างได้ เช่น บัญชีที่เคยทำธุรกรรมกับบัญชีของมิจฉาชีพ บัญชีบุคคลธรรมดา[13]ที่มีพฤติกรรมผิดปกติแต่ยังไม่เข้าเกณฑ์อายัดได้ รวมถึงบัญชีที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน[14]

การให้สถาบันการเงินใช้ข้อมูลหลังบ้านทั้งลักษณะธุรกรรมที่มีความเสี่ยงและบัญชีปลายทางที่มีความเสี่ยงมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจหน่วงเงิน นอกจากจะทำให้หน่วงเงินได้แม่นยำจำกัดผลกระทบได้แล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถตรวจทานธุรกรรมกันได้ละเอียดขึ้น โดยผู้โอนจะได้รับการแจ้งเตือนจากสถาบันการเงิน (การถูกหน่วงธุรกรรม) ทำให้รู้ว่าธุรกรรมนี้เสี่ยงกว่าปกติ จึงมีความรอบคอบในการพิจารณาโอนเงินมากขึ้น ในขณะที่สถาบันการเงินมีธุรกรรมที่ต้องตรวจสอบน้อยลงสามารถตรวจสอบแต่ละธุรกรรมได้โดยละเอียดขึ้น

เห็นได้ว่าแนวทางการใช้ข้อมูลหลังบ้านจะช่วยยกระดับมาตรการหน่วงเงินให้ปลอดภัยมากขึ้นและทำให้ผลกระทบจากการหน่วงเงินน้อยลง อย่างไรก็ตามในการจะหน่วงเงินโดยอิงกับข้อมูลหลังบ้าน ทางสถาบันการเงินต้องมีส่วนสำคัญในการเป็นผู้ตัดสินใจว่าธุรกรรมไหนที่ควรหน่วงเงิน (สถาบันการเงินจะตัดสินใจโดยให้น้ำหนักที่สมดุลระหว่างความปลอดภัยและความสะดวกเพื่อให้ผู้บริโภคพึงพอใจมากที่สุด) ดังนั้นการหน่วงเงินโดยใช้ข้อมูลหลังบ้านจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีกติกาสร้างแรงจูงใจให้ธนาคารมาเข้าร่วมเป็นด่านหน้าสู้กับภัยสแกมเมอร์ออนไลน์ โดยประเทศเหล่านี้มีการกำหนดให้สถาบันการเงินต้องมีส่วนรับผิดชอบหากปล่อยให้เหยื่อถูกหลอกให้โอนเงิน[15]

 ตั้งค่าบนฐานผู้โอนเงินตั้งค่าบนฐานข้อมูลหลังบ้าน
หลักการพื้นฐานผู้โอนเงินเป็นผู้ตัดสินใจว่าธุรกรรมไหนจะถูกหน่วง (สามารถทำธุรกรรมที่หลบเลี่ยงเกณฑ์ที่จะถูกหน่วงได้)สถาบันการเงินเป็นผู้ตัดสินใจว่าธุรกรรมไหนจะถูกหน่วง
วิธีการตั้งมูลค่าขั้นต่ำที่ถูกหน่วง
หน่วงเฉพาะธุรกรรมที่โอนให้กับบัญชีปลายทางที่ไม่เคยโอนให้
หน่วงธุรกรรมที่มีลักษณะความเสี่ยงสูง
หน่วงการโอนเงินไปบัญชีปลายทางที่มีความเสี่ยง
ข้อดีมีโอกาสผลักดันในสถานการณ์ปัจจุบันได้ง่าย ภาระของสถาบันการเงินต่ำ (ลงทุนเพิ่มเติมในระบบทางธุรกรรม)  
สามารถผลักดันเพื่อยับยั้งปัญหาการโกงออนไลน์ที่แพร่ระบาดในปัจจุบันได้ทันที
การหน่วงเงินถูกใช้ยับยั้งการหลอกลวงได้มีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น
ข้อจำกัดการหน่วงเงินยังอาจสร้างผลกระทบในวงกว้าง
สถาบันการเงินไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการตรวจสอบทุกธุรกรรมที่ถูกหน่วง
มีโอกาสผลักดันในสถานการณ์ปัจจุบันได้ยากกว่า ภาระของสถาบันการเงินสูง เนื่องจากต้องมีกลไกให้สถาบันการเงินร่วมรับผิดชอบหากเหยื่อถูกหลอก

บทส่งท้าย: มิจฉาชีพปรับตัว เราต้องปรับมาตรการตาม

การทำสงครามกับสแกมเมอร์ออนไลน์อาจเป็นสงครามที่เราไม่มีวันชนะ และไม่มีมาตรการใดสามารถป้องกันประชาชนไม่ให้ถูกหลอกได้ 100% เนื่องจากสแกมเมอร์เองก็มีการปรับกลยุทธ์หลบเลี่ยงมาตรการภาครัฐอยู่เรื่อยเช่นกัน ดังนั้นในการรับมือสแกมเมอร์ออนไลน์จึงต้องมีการปรับปรุงนโยบาย พัฒนาเทคนิคมาตรการใหม่ๆ มารับมืออยู่เสมอ (ในอนาคตอาจจะนำ AI มาร่วมช่วยคัดกรองธุรกรรมเสี่ยงเพื่อหน่วงเงินได้ด้วย) รวมถึงต้องขยายความร่วมมือดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีความคล่องตัวสูงมาร่วมช่วยจัดการ

‘การหน่วงเงิน’ เป็นเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้มีคนตกเป็นเหยื่อถูกมิจฉาชีพหลอกลวงลดลง ซึ่งในปัจจุบันสภาผู้บริโภคได้พยายามผลักดันมาตรการหน่วงเงินเพื่อลดโอกาสที่ผู้บริโภคผู้โอนเงินจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ แต่ในลำดับถัดไปเราอาจต้องคิดว่าจะพัฒนายกระดับเพื่อทำให้มาตรการหน่วงเงินมีผลกระทบที่ลดลงและบังคับใช้ให้ตรงจุดได้มากขึ้นได้อย่างไร

References
1 https://www.thairath.co.th/news/politic/2836244
2 https://www.thansettakij.com/business/economy/616695
3 รัฐไทยเข้มงวดในการป้องกันการหลอกลวงประเภทแอปดูดเงิน (เหยื่อไม่ได้เป็นผู้โอนเงินให้มิจฉาชีพ) โดยมีมาตรการทั้งการแสกนใบหน้าหากโอนเงิน 50,000 บาทขึ้นไป มาตรการให้ 1 บัญชีสามารถใช้งานแอพโมบายแบงค์กิ้งได้เพียงเครื่องเดียว รวมถึงความพยายามผลักดันให้สถาบันการเงินและค่ายมือถือรับผิดชอบหากเหยื่อถูกหลอกจากแอปดูดเงิน https://www.tba.or.th/%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%97-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/
4 https://101pub.org/how-to-combat-scam/
5 https://www.businesswire.com/news/home/20241120169302/en/ACI-Worldwide-Scamscope-Projects-APP-Scam-Losses-to-Hit-7.6-Billion-by-2028#:~:text=The%20Scamscope%20report%20projects%20that,APP%20scam%20values%20by%202028.
6 รัฐไทยสามารถอายัดเงินคืนได้ทันเพียง 11.04% ของมูลค่าความเสียหาย https://www.thansettakij.com/business/economy/616695
7 https://www.tcc.or.th/scammer-65-67/
8 https://www.tcc.or.th/slow-payment/
9 ในรายละเอียดอาจต้องป้องกันกรณีมิจฉาชีพจะหาวิธีหลอกให้โอนเงินก้อนเล็กมาก่อน เช่น บัญชีที่ไม่เคยโอนเงินให้ถึง 10,000 บาทนับเป็นบัญชีใหม่ หรือ ไม่เคยโอนเงินให้ก่อนหน้าอย่างน้อย 7 วันนับเป็นบัญชีใหม่ เป็นต้น
10 https://www.biocatch.com/blog/scam-safe-banking-searching-for-clues-in-both-victim-and-recipient-behavior
11 https://www.grantthornton.co.uk/insights/final-guidance-on-delayed-payments-to-prevent-app-fraud/
12 https://www.mdes.go.th/news/detail/8669-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%90-%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87–%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2–%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-1-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9–%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2–%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2–%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%8C-
13 ในปัจจุบันบัญชีม้าจำนวนหนึ่งเป็นบัญชีนิติบุคคล แต่โดยสัดส่วนแล้วบัญชีนิติบุคคลมีโอกาสถูกใช้เป็นบัญชีม้าน้อยกว่าบัญชีบุคคลธรรมดา เนื่องจากการเปิดบัญชีนิติบุคคลมีความยุ่งยากใช้เวลานานกว่า ในอีกด้านหนึ่งบัญชีนิติบุคคลถูกใช้เป็นบัญชีสำคัญในการค้าขายของผู้ประกอบการ ดังนั้นการมุ่งโฟกัสหน่วงเงินไปที่บัญชีบุคคลธรรมดามากกว่าบัญชีนิติบุคคลจึงมีโอกาสถูกเป้ามากกว่าและมีผลกระทบทางเศรษฐกิจต่ำกว่า
14 เนื่องจากบัญชีม้าจำนวนมากถูกอายัดจากมาตรการกวาดล้างของรัฐบาล มิจฉาชีพจึงต้องแสวงหาบัญชีเปิดใหม่มาใช้สำหรับการหลอกลวง โดยมักจะไปจ้างให้คนทั่วไปเปิดบัญชีใหม่มาให้
15 https://www.bovill-newgate.com/uk-europe/payments-delay-legislation-balancing-speed-and-security/

MOST READ

Public Policy

13 Dec 2022

ไทยต้องสูญเสียอะไรบ้าง หากการแก้ปัญหาโลกรวนยังไปไม่ถึงไหน?

101 PUB ชวนสำรวจผลกระทบและความสูญเสียของ ‘วิกฤตโลกรวน’ ที่กำลังฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย พร้อมประเมินความพร้อมของแผนและนโยบายรับมือของไทยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เจณิตตา จันทวงษา

13 Dec 2022

Social Problems

29 Sep 2023

ถึงเวลาเพิ่มอายุเกษียณ แก้จนยามแก่ สร้างระบบบำนาญยั่งยืน?

101 PUB ชวนคิดว่า ‘ถึงเวลาหรือยังที่ไทยจะเพิ่มอายุเกษียณ?’ ขึ้นจาก 60 ปี และ 55 ปี เพื่อพัฒนาระบบบำนาญ และลดความเสี่ยงยากจนยามชราอย่างยั่งยืน

วรดร เลิศรัตน์

29 Sep 2023

Public Policy

12 Apr 2024

‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ คนไทยได้อะไร? เสียอะไร?

101 PUB ชวนอ่านบทวิเคราะห์นโยบาย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ หลังรัฐบาลแถลงรายละเอียด 10 เม.ย. 2024 การแจกเงิน 10,000 บาทนี้ คนไทยจะได้และเสียอะไรบ้าง

ฉัตร คำแสง

12 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save