“เราควรยอมสละเสรีภาพมากน้อยแค่ไหน เพื่อแลกกับความมั่นคงของชาติ?”
กรณีการแบน TikTok ในสหรัฐอเมริกา จุดประเด็นให้เกิดคำถามในการรักษาสมดุลระหว่าง ‘การปกป้องชาติ’ และการรักษา ‘สิทธิเสรีภาพ’ ให้กับประชาชน
ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่ากรอบของกฎหมาย เราควรสร้างสมดุลระหว่างทั้งสองเรื่องนี้อย่างไร?
ย้อนไปเมื่อวันศุกร์ที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ศาลสูงสหรัฐฯ เพิ่งวินิจฉัยว่า คำสั่งแบน TikTok ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมกำหนดเส้นตายให้บริษัท ByteDance เจ้าของ TikTok ต้องขายกิจการส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ภายใน 19 มกราคม 2568
ต่อมาคืนวันเสาร์ ก็เกิดเหตุโกลาหลขึ้น เมื่อ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง ยุติให้บริการในสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้ใช้ชาวอเมริกันหลายล้านคนไม่สามารถเข้าใช้งานแอปได้ มองเห็นเพียงข้อความประกาศของดให้บริการชั่วคราว
แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น TikTok ก็กลับมาให้บริการอีกครั้ง พร้อมแสดงข้อความขอบคุณ ‘ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์’ ที่ชะลอคำสั่งการแบนออกไป สร้างความสับสนงุนงงให้กับชาวเน็ตอเมริกันเป็นอย่างมาก
TikTok ไม่ได้เป็นแค่แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียทั่วไป แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล มูลค่ากว่า 104,000 ล้านดอลลาร์ การแบน TikTok ส่งผลต่อผู้สร้างเนื้อหา นักโฆษณา และธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มเพื่อสื่อสารและหาเลี้ยงชีพ
ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Sludge เปิดเผยเอกสารล่าสุด ที่ชี้ว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ทุ่มงบประมาณล็อบบี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ สูงถึง 7.6 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์
การล็อบบี้ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการผลักดันกฎหมายแบน TikTok ในสหรัฐฯ ทำให้เห็นถึงการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดโซเชียลมีเดียที่ TikTok กำลังแย่งส่วนแบ่งการตลาดและรายได้จากแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram แม้ Meta จะปฏิเสธว่าไม่ได้ล็อบบี้เพื่อกำจัดคู่แข่ง แต่การผลักดันประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์และข้อมูลผู้ใช้ อาจเป็นการใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าต้องแบน TikTok เพราะกังวลว่า แม้ TikTok จะเก็บข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน คล้ายกับ Facebook แต่การที่ ByteDance เป็นบริษัทจีน จึงอาจถูกบังคับให้ส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้รัฐบาลจีนได้ หรือไม่ก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือบิดเบือนข่าวสารในเหตุการณ์ความขัดแย้ง เช่น สงครามหรือการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ขณะที่ TikTok โต้แย้งว่าข้อกล่าวหาของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นคลุมเครือ และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน บริษัทเน้นย้ำว่าการขายกิจการไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความซับซ้อนทางเทคโนโลยีและกฎระเบียบต่างๆ ของจีน
ทางบริษัทระบุว่า ผู้ใช้งาน TikTok ส่วนใหญ่ใช้เพื่อความบันเทิง เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้แชร์วิดีโอร้องเพลงและเต้นรำ ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือใช้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ ดังนั้นการสั่งห้าม TikTok ถือเป็นการจำกัดเสรีภาพและการแสดงออกของผู้ใช้หลายสิบล้านคน ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ศาลสูงสหรัฐฯ วินิจฉัยว่า การแบน TikTok และการใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการแยกส่วนธุรกิจ (Divestiture) นั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งเป็น First Amendment ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
ศาลชี้ว่า รัฐบาลมีข้อกังวลที่สมเหตุสมผลที่จะป้องกันไม่ให้จีนรวบรวมข้อมูลของชาวอเมริกัน เพราะข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้สืบหาข่าวกรอง ข่มขู่ หรือขโมยความลับทางการค้าและเทคโนโลยี การออกมาตรการแบน จึงเอื้อให้รัฐปกป้องความมั่นคงของชาติ และไม่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากเกินไป โดยศาลเปรียบเทียบอำนาจการควบคุม TikTok กับการควบคุมสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ที่รัฐบาลสามารถทำได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางรายไม่เห็นด้วยกับการเปรียบเทียบนี้ เพราะ TikTok เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำงานต่างจากสื่อแบบเดิมอย่างวิทยุหรือโทรทัศน์
บทวิเคราะห์ใน The Atlantic เขียนโดย Evelyn Douek ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ Stanford Law School ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลต่ออิทธิพลของเทคโนโลยีต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งอิทธิพลจากประเทศจีน ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า การแบน TikTok โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต รวมทั้งการจำกัดเสรีภาพของประชาชนเพราะกลัวอิทธิพลจีนนั้น ถือเป็นการทำลายหลักการสำคัญของอเมริกา เขาเห็นว่า รัฐควรดูแลจัดการเรื่องความโปร่งใสของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้มากขึ้น ควรปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้ปลอดภัย ไม่ว่าเจ้าของจะเป็นบริษัทในประเทศหรือบริษัทต่างชาติก็ตาม
การแบน TikTok อาจนำไปสู่การย้ายผู้ใช้ไปยังแพลตฟอร์มอื่น เช่น Rednote หรือ Lemon8 แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้รับประกันว่าผู้ใช้จะสามารถสร้างชุมชนแบบเดิมได้ในทันที นอกจากนี้ แพลตฟอร์มทางเลือกที่ชาวอเมริกันเลือกใช้ทั้งสองแอปก็เป็นแอปพลิเคชั่นจากจีน และก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับการรักษาความเป็นส่วนตัวที่ไม่ต่างจาก TikTok
หาก TikTok ถูกแบนถาวร โลกออนไลน์อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางไซเบอร์ เพราะผู้ใช้อาจพยายามหลีกเลี่ยงข้อจำกัด โดยหันไปใช้วิธีเข้าถึง TikTok ผ่านระบบ VPN หรืออาจดาวน์โหลดแอปที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
เวลานี้ คำสั่งแบน TikTok ถูก โดนัลด์ ทรัมป์ ชะลอออกไปก่อน 75 วัน จากนี้คงต้องติดตามดูว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร บริษัทจะยอมแพ้และขายกิจการในสหรัฐฯ หรือชาวอเมริกันจะต้องยอมสละเสรีภาพเพื่อแลกกับการปกป้องความมั่นคงของชาติหรือไม่
ไทม์ไลน์ ‘สหรัฐฯ แบน TikTok’
- 20 เม.ย. 2024 สภาผู้แทนฯ โหวตผ่านร่างกฎหมาย ด้วยคะแนน 360:58
- 23 เม.ย. 2024 วุฒิสภาโหวตผ่านร่างกฎหมาย ด้วยคะแนน 80:19
- 24 เม.ย. 2024 ไบเดนลงนามกฎหมายบังคับขาย-แบน TikTok
- 7 พ.ค. 2024 TikTok ฟ้องรัฐบาลอ้างละเมิดรัฐธรรมนูญ
- 14 พ.ค. 2024 ผู้ใช้ TikTok 8 ราย ฟ้องรัฐบาล
- 6 ธ.ค. 2024 ศาลอุทธรณ์เห็นชอบกฎหมายแบน TikTok
- 16 ธ.ค. 2024 ซีอีโอของ TikTok พบทรัมป์ที่ Mar-a-Lago
- 27 ธ.ค. 2024 ทรัมป์คัดค้านการแบน TikTok
- 10 ม.ค. 2025 ศาลสูงสหรัฐฯ พิจารณาคดี
- 9-10 ม.ค. 2025 นักลงทุนหลายรายเสนอซื้อ TikTok
- 17 ม.ค. 2025 ศาลสูงสหรัฐฯ เห็นชอบให้แบน TikTok
- 18 ม.ค. 2025 TikTok งดบริการชั่วคราว
- 19 ม.ค. 2025 TikTok กลับมาให้บริการ
- 20 ม.ค. 2025 ทรัมป์ลงนามคำสั่งชะลอการแบน 75 วัน
- 21 ม.ค. 2025 ทรัมป์เรียกร้องส่วนแบ่ง 50% ขู่ขึ้นภาษีจีน
อ้างอิง
- TikTok Ban Live Updates: Trump Halts Ban For 75 Days—After CEO Attends Inauguration
- 24-656 Tiktok Inc. v. Garland (01/17/2025)
- The Government’s Disturbing Rationale for Banning TikTok
- Meta Shatters Lobbying Record as House Passes TikTok Ban
- Lobbying Disclosure Act (LDA) Reports
- Facebook paid GOP firm to malign TikTok
- Facebook funded anti-TikTok campaign through GOP firm