‘สินค้าต่างชาติทะลัก การกำกับดูแลอ่อนแอ’ เมื่อทุนนอกรุกทุนไทย แข่งขันอย่างไรให้อยู่รอด

ย้อนไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ข่าวการบุกตลาดไทยของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีน TEMU ได้ปลุกกระแสทั้งความตื่นเต้นและความตื่นกลัวให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย ด้วยโมเดลธุรกิจที่ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้ากับผู้ผลิตได้โดยตรงในราคาหน้าโรงงาน ทำให้สามารถซื้อสินค้าได้ราคาถูกยิ่งขึ้นโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง แต่ในทางหนึ่ง ก็นำมาสู่ข้อกังวลที่ว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวจะมาซ้ำเติมปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้าไทย ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยหลายรายค่อยๆ ล้มหายไปมาก่อนหน้านี้แล้ว

นอกจากประเด็นสินค้าราคาถูกที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ปัญหาสินค้าไม่ผ่านมาตรฐาน การตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้นอมินีในการดำเนินธุรกิจ หลากหลายเรื่องราวที่เวียนผ่านมาให้เห็นตามหน้าสื่อ ล้วนมีความเชื่อมโยงกับปัญหาคลื่นทุนนอกรุกทุนไทย ที่เมื่อเกิดขึ้นในรัฐที่การกำกับดูแลไม่เข้มแข็ง ย่อมส่งผลกระทบต่อคนทั้งสังคมอย่างถ้วนหน้า ทั้งในมิติเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ การจ้างงาน และความปลอดภัยในการบริโภค

ไม่ใช่แค่เพียงทุนจีนที่กำลังคืบคลานและสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นกับทุนใดก็ได้หากรัฐไทยยังไม่จริงจังกับการแก้ปัญหา เพื่อผลักบทสนทนาไปมากกว่าการเพ่งเล็งทุนสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง และกลับมาโฟกัสที่หลักการพื้นฐานอย่าง ‘การแข่งขันที่เป็นธรรม’ 101 สรุปความจากวงเสวนา ‘Fair game ทุนนอกกินทุนไทย แข่งกันยังไงให้อยู่รอด’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา Thailand’s Future Growth จัดโดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อ 20 กันยายน 2567

มองภาพใหญ่ของปัญหา สนทนากับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายแวดวงเพื่อหาคำตอบว่ารัฐไทยควรจัดการอย่างไร พร้อมนำเสนอโมเดลทางออกที่ควรค่าแก่การขบคิดเพื่อนำไปปฏิบัติใช้ ผลักดันให้สังคมไทยถกเถียงเรื่องทางเลือกเชิงนโยบายมากขึ้น ร่วมเสวนาโดย วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. กรุงเทพฯ เขต 1 (พระนคร ป้อมปราบฯ สัมพันธวงศ์) สาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wisible และ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TARAD.com โดยมี โดยมี พลวุฒิ สงสกุล บรรณาธิการ บรรณาธิการ จาก THE STANDARD เป็นผู้ชวนเสวนา

‘เจ้าของนอมินี สินค้าไม่มี มอก.’ มองภาพใหญ่ทุนนอกเขมือบทุนไทย

ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้าไทยเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์เฉพาะหน้าที่เห็นผลกระทบชัดเจนในปีนี้ ทำให้หลายคนมองว่าจีนคือต้นตอของปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งต้นโดยชวนให้พิจารณาว่าไม่สำคัญว่าต้นทางของสินค้าเหล่านี้จะเป็นประเทศไหน แต่สำคัญว่าไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของการค้าระหว่างประเทศที่มีความหลากหลายอย่างไร

ความท้าทายจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสที่แต่ละประเทศปกป้องตัวเองกันมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าราคาต่ำที่ถูกกีดกันจากหลายประเทศอาจไหลไปประเทศที่ไม่ได้มีนโยบายกีดกัน นั่นหมายความว่าไทยต้องเตรียมรับมือกับสินค้าจากทุกประเทศ ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันนี้ปัญหาสินค้าจากจีนและทุนจีนเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด สิทธิพลจึงชวนมองสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวอย่างลงลึก

ด้านสินค้า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้าจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ของ GDP กล่าวคือไทยนำเข้าจากจีนมากกว่าส่งออกสูงมาก หากเทียบกับประเทศอื่นที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกับไทย เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย พบว่าการส่งออกและนำเข้าจากจีนไม่แตกต่างกันมากนัก หนึ่งในสาเหตุของการขาดดุลที่มากขนาดนี้อาจเป็นเพราะต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยที่แพงกว่าจีน ซึ่งจีนผลิตทีละมากๆ ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นถูกกว่า เมื่อผลิตออกมามากและเจอสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้สินค้าเหล่านี้ล้นตลาดในประเทศ จำเป็นต้องระบายออก เราจะเห็นว่าวัฒนธรรมวันช็อปปิ้งแบบ ‘Double Day’ ตามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง 6.6 7.7 8.8 ถูกส่งออกมายังไทยด้วย

ความน่ากังวลอีกประการของการที่สินค้าต่างชาติทะลักเข้าไทยคือการปล่อยปละละเลยให้มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาถึงมือผู้บริโภค สิทธิพลยกตัวอย่างกรณีที่ตำรวจทางหลวงตรวจจับรถบรรทุกสินค้าจากจีนที่กำลังมุ่งหน้าเข้าจังหวัดกาฬสินธุ์ แล้วพบน้ำยาล้างไต ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมและเกี่ยวข้องกับสุขอนามัย ถ้าผลิตในประเทศก็ต้องมีเลข อย. สินค้าเหล่านี้ถ้านำเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบหรือเฝ้าระวังให้ดีก็นำความอันตรายมาสู่ผู้บริโภคได้

นอกจากปัญหาเรื่องสินค้า หากมองไปถึงต้นทางคือผู้ประกอบการ ก็จะพบปัญหาการใช้นอมินีที่นับวันจะยิ่งขยายครอบคลุมหลายประเภทกิจการ สิทธิพลกล่าวว่าปัจจุบันนี้มีสำนักงานบัญชีหรือทนายความที่มีลักษณะเป็น ‘one-stop service’ อำนวยความสะดวกให้คนต่างชาติที่อยากเข้ามาทำธุรกิจในไทยสามารถจดทะเบียนตั้งบริษัทได้อย่างรวดเร็ว

“เขาเขียนคำแนะนำให้หมดเลยว่าเพื่อให้ถูกกฎหมาย คุณที่เป็นคนต่างชาติต้องไปหาคนไทยมาสองคน คนต่างชาติมาหนึ่งคน ให้คนไทยคนแรกถือหุ้น 48 เปอร์เซ็นต์ คนไทยคนที่สองถือหุ้น 3 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรวมกันให้ได้ 51 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคุณก็ถือ 49 เปอร์เซ็นต์ เขาคิดให้ครบเลย”

สิทธิพลยกตัวอย่างหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ คือธุรกิจขนส่ง สหพันธ์การขนส่งทางบกได้ยื่นข้อร้องเรียนต่อ กมธ. ว่า ทุกวันนี้มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อบริษัทไทย บ้างก็หานอมินีมาตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการเอง ทั้งที่ธุรกิจขนส่งโดยรถบรรทุกเป็นธุรกิจที่กำหนดให้เฉพาะบริษัทไทยทำ แต่ปัจจุบันนี้มีการประมาณการว่ามีรถบรรทุกวิ่งเข้าออกจากต่างประเทศนับหมื่นคัน ซึ่งสะท้อนการปล่อยปละละเลยในการควบคุม

อีกหนึ่งธุรกิจที่สิทธิพลได้รับรายงานมา คือล้งผลไม้ที่จังหวัดลำพูน ซึ่งมีลำไยเป็นผลผลิตสำคัญ โดยปกติแล้วเมื่อเกษตรกรเก็บผลผลิตเสร็จสิ้นก็จะนำไปขายที่ล้ง แต่ในระยะหลังกลับพบว่าเจ้าของล้งรับซื้อเปลี่ยนมือจากคนไทยเป็นเจ้าของต่างชาติไปแล้ว

“ทุกวันนี้มีล้งในลำพูน 5 เจ้า ใน 5 เจ้านี้ สันนิษฐานว่าเป็นของทุนต่างชาติทั้งหมด และเป็นเครือข่ายเดียวกัน หมายความว่าถ้าปีใดปีหนึ่งเขาอยากจะฮั้วกันกดราคารับซื้อลำไย เกษตรกรลำไยในลำพูนจะรายได้หดหายไป นี่แค่พืชตัวเดียวในจังหวัดเดียว ถ้าสถานการณ์เช่นนี้เกิดกับพืชอื่นและกระจายไปทั่วภูมิภาค สถานการณ์จะน่ากังวลมากยิ่งขึ้น“

เมื่อมองสองกรณีตัวอย่างประกอบกันทำให้เกิดข้อกังวลในแง่ของการผูกขาด เช่น นายทุนต่างชาติที่เป็นเจ้าของล้งอาจขยับขยายไปส่งออกผลไม้เอง ซื้อรถมาขนส่งเองโดยไม่ใช้บริการคนไทย นี่จะเป็นการกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ที่อาจนำไปสู่การผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม

อีกหนึ่งธุรกิจนอมินีที่น่าจับตามองคือกิจการมหาวิทยาลัย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งในไทยมีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นหลักเป็นชาวต่างชาติ และมีการโปรโมตมหาวิทยาลัยเหล่านี้ที่ประเทศต้นทางของเจ้าของอย่างหนักหน่วง อีกทั้งอำนวยความสะดวกในการสมัคร เป็นที่น่าตั้งคำถามว่ามีกรณีที่จ่ายค่าเทอมที่ต่างประเทศแล้วนักศึกษามาแต่ตัว โดยเงินไม่เข้าประเทศไทยหรือไม่

ด้าน ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. กรุงเทพฯ เขต 1 (พระนคร ป้อมปราบฯ สัมพันธวงศ์) สะท้อนปัญหาในระดับพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เนืองแน่นไปด้วยทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ปัญหาที่ปารเมศได้รับการร้องเรียนมามากที่สุดคือปัญหาค่าเช่าอาคาร ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับปัญหานอมินีที่อาจเป็นกลุ่มทุนสีเทา

“จากการตรวจสอบ เราพบว่ามีการปั่นค่าเช่าเกิดขึ้น เช่น เยาวราชช่วงก่อนโควิด ราคาค่าเช่าตึกแถวในซอยวาณิชย์ 1 อยู่ที่ประมาณ 70,000 บาทต่อหนึ่งตึกแถว แต่ในระยะหลังที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามา มีการปั่นราคาค่าเช่าไปจนถึง 200,000 บาทต่อหนึ่งตึกแถว สูงขึ้นเกือบสามเท่าเลยทีเดียว เจ้าของที่ดินก็เห็นแล้วว่านี่คือโอกาสทอง เพราะนักลงทุนต่างชาติสู้ค่าเช่า พอหมดสัญญากับคนไทยเขาก็ไม่ต่อ แล้วไปหานักลงทุนต่างชาติที่สามารถจ่ายในราคาที่แพงกว่าเดิมสามเท่าได้แทน ผลกระทบคือคนไทยต้องเสียที่ทำกินไป โดยที่แหล่งทุนไม่ถูกตรวจสอบว่าเงินนี้มาแบบถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นเงินสีเทา เท่าที่ผมไปตรวจสอบมาก็ได้รู้ว่าหลายผู้ประกอบการใช้นอมินีอีกด้วย”

นอกจากปัญหาค่าเช่า สินค้าที่ขายตามท้องตลาดก็ถูกแทนที่ด้วยสินค้าจีนต้นทุนต่ำ ที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าสินค้าไทย ปัญหาสินค้าจีนไหลทะลัก เข้ามาซ้ำเติมสภาวะที่คนเดินตลาดน้อยลง พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าผู้ค้ารายย่อยตามท้องตลาดจะไปต่ออย่างไร ปารเมศกล่าวว่าการรุกคืบของทุนต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2564 และปัจจุบันนี้เราก็เห็นแล้วว่าขยายจากปัญหาระดับพื้นที่ไปเป็นปัญหาระดับชาติ สะท้อนว่าสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นและขาดมาตรการรับมือที่มีประสิทธิภาพ

การคืบคลานของทุนต่างชาติดังที่กล่าวไปไม่เพียงแต่ซ้ำเติมปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามาเบียดให้ยอดขายสินค้าไทยตก แต่ยังมีผลกระทบต่อการจ้างงานของคนทั่วไป สิทธิพลกล่าวเสริมว่าบางโรงงานที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไม่ได้จ้างแรงงานต่างชาติเฉพาะแรงงานทักษะสูง แต่จ้างตั้งแต่ระดับนายช่างปกติ ไปจนถึงตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดและพนักงานรักษาความปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ชาวต่างชาติใช้วีซ่านักศึกษาเข้ามาหางานทำ ท่ามกลางสภาวะเช่นนี้ โจทย์ใหญ่ที่สังคมไทยต้องขบคิดกันต่อคือเราจะสามารถรักษางานไว้ให้คนไทยทำได้ต่อไปหรือไม่ในอนาคต

“ไม่กี่เดือนที่แล้ว กมธ. เชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมาหารือ สภาอุตสาหกรรมฯ มีทั้งหมด 46 กลุ่มอุตสาหกรรม เราได้รับข้อมูลมาว่า ณ กลางปี มีกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบไปแล้ว 26 กลุ่ม ถ้าไม่ทำอะไรเลย ปลายปีน่าจะกระทบถึง 30 กลุ่ม สถานการณ์ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เราปิดโรงงานเฉลี่ยเดือนละ 111 โรง หลายโรงงานที่เคยทํางาน 3 กะ วันนี้เหลือแค่กะเดียว นี่คือความหนักหนาของปัญหาที่เราต้องหาทางออกกัน” สิทธิพลกล่าว

‘การกำกับดูแลแพลตฟอร์ม’ เรื่องสำคัญที่ยังไม่ถูกสนใจ (เท่าที่ควร)

ไม่ใช่แค่เรื่องสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดไทย แต่การที่ราคาตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น หรืออินเทอร์เน็ตช้าลง ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘การกำกับดูแลการแข่งขัน’ ทั้งหมด

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ภาพรวมว่าการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเป็นเรื่องสำคัญในเศรษฐกิจโลกใหม่ โดยเฉพาะในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่การค้าขายอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น มีการแข่งขันระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ยิ่งมีการแข่งขัน ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นว่าเราจะกำกับดูแลอย่างไรให้การค้าขายเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมและสร้างบรรทัดฐานที่จะทำให้ทุกภาคส่วนอยู่รอดกันได้

ปัจจุบัน การกำกับดูแลการแข่งขัน โดยเฉพาะผู้ค้าที่เป็นแพลตฟอร์มดูจะทวีความสำคัญและกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในต่างประเทศ เช่น เดือนกันยายนที่ผ่านมา กูเกิลเพิ่งแพ้คดีผูกขาดโฆษณาที่ผู้ซื้อจะได้เห็นรายการแนะนำสินค้าที่เฉพาะเจาะจงของกูเกิลเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของสหภาพยุโรป แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งโลกให้ความสนใจ แต่วีระยุทธมองว่าการถกเถียงถึงการกำกับดูแลการแข่งขันกลับยังไม่ถูกพูดถึงมากเท่าที่ควรในไทย ทั้งที่ไทยเองก็มีกฎหมายกำกับดูแลการแข่งขันที่สามารถบังคับใช้ได้เช่นกัน

วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการที่สนใจการกำกับดูแลการแข่งขันของแพลตฟอร์มดิจิทัล ให้นิยามถึงความเป็นธรรมของการแข่งขันทางการค้าเพื่อขยายไปสู่การทำความเข้าใจการแข่งขันบนแพลตฟอร์มว่า การแข่งขันที่เป็นธรรมคือการปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน กล่าวให้เข้าใจง่ายคือใครขายของหรือบริการในราคาถูก คุณภาพดี ก็จะได้ขาย ส่วนการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อาจอยู่ในรูปแบบการกีดกันหรือขัดขวางการประกอบธุรกิจของผู้อื่น หากพิจารณาการแข่งขันของแพลตฟอร์มที่ไม่เป็นธรรมก็อาจเป็นกรณีที่แพลตฟอร์มมีข้อมูลว่าสินค้าใดขายดีจึงขายสินค้านั้นเหมือนกันในฐานะแพลตฟอร์ม โดยจำกัดหนทางของผู้ขายเดิมที่เคยขายดีบนแพลตฟอร์ม

วรรณวิภางค์เห็นด้วยกับวีระยุทธว่าทุกวันนี้กฎหมายกำกับดูแลการแข่งขันของไทยมีอยู่แล้วและสามารถเอาผิดกับผู้ที่ทำผิดกฎหมายได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้จะสามารถนำมาบังคับใช้ได้ง่าย หากทุกคนแข่งขันอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เช่น ถ้าค้าขายในไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย จ่ายภาษีแบบคนไทย แต่ปัจจุบันนี้ภูมิทัศน์การค้าเปลี่ยนไป ผู้ค้ามีหลากหลายรูปแบบขึ้น และหากพิจารณาปัญหาทุนต่างชาติรุกไทยดังที่ผู้ร่วมอภิปรายหยิบยกมาเล่าตอนต้น ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้แข่งอยู่บนสนามเดียวกัน

วรรณวิภางค์ยกตัวอย่างมาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศที่ใช้กำกับดูแลแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้ไทยปรับใช้ตามได้ อย่างน้อยที่สุดคือการจัดเก็บภาษี ซึ่งปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีในแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน

“สหภาพยุโรปมี Digital Market Act ที่ให้มีการสำรวจแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ว่ามีเจ้าไหนบ้าง และมีแนวโน้มจะทำผิดกฎหมายหรือไม่ ในไทย เราอาจจะขอให้แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ที่ขายของจำนวนมากให้กับประชากรไทยเข้ามาลงทะเบียนกับรัฐ จากนั้นให้แพลตฟอร์มจัดเก็บภาษีและส่งให้รัฐโดยตรง อย่างในอังกฤษ คนที่จะขายของในแพลตฟอร์มจะต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ดังนั้นสรรพากรจะรู้ว่าในแต่ละปีจะเก็บ VAT ได้เท่าไหร่ เพราะผู้ขายจะต้องส่งรายงานอยู่แล้ว และแพลตฟอร์มจะต้องโอนเงินจำนวนเดียวกันไปที่สรรพากร ทำให้ภาระในการจัดเก็บภาษีน้อยลงเพราะทำได้ผ่านแพลตฟอร์มเลย และใช้คนน้อยลงด้วย”

นอกจากนี้ วรรณวิภางค์ยังเสนอให้บรรจุข้อกำหนดด้านการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเข้าไปในกฎหมายที่แพลตฟอร์มต้องปฏิบัติตาม กล่าวคือให้แพลตฟอร์มมีความรับผิดชอบในการ ‘สกรีน’ สินค้าว่าผ่านมาตรฐานต่างๆ หรือไม่ หากพิจารณากลไกที่มีอยู่แต่เดิมของไทย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Development Agency: ETDA) มีข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบังคับใช้กฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์ม เพราะได้เริ่มดำเนินการขอความร่วมมือให้แพลตฟอร์มหรือธุรกิจดิจิทัลต่างๆ มาจดแจ้งและส่งข้อมูลเป็นประจำ ซึ่งทำให้รู้ว่าผู้ค้าเป็นใครและมีใครบ้าง

อย่างไรก็ตาม มาตรการของ ETDA ยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน เป็นเพียงการขอความร่วมมือ แต่ก็สามารถพึ่งพาบทลงโทษจาก พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าได้ ซึ่งตอกย้ำว่าไทยมีกฎหมายรองรับและบังคับใช้ได้หลายประเด็น แต่ไม่ค่อยถูกนำมาใช้

“การที่เราหละหลวม หรี่ตาข้างเดียว ไม่ค่อยบังคับใช้กันเองมาโดยตลอด จนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหา กระทั่งเราเจอคลื่นสินค้าต่างชาติไหลบ่าเข้ามายิ่งเพิ่มปัญหาให้ซับซ้อนเข้าไปใหญ่ เพราะเราไม่บังคับใช้กับต่างชาติด้วยเหมือนกัน แม้ในหลายๆ เรื่อง เรามีกฎหมายที่บังคับใช้ได้ แต่ผู้บังคับใช้หรือฝ่ายราชการก็กังวลว่าถ้าฝ่ายนโยบายไม่สนับสนุน เขาจะไปบังคับใช้ได้หรือไม่ ดังนั้น อยากเริ่มต้นว่าเราต้องบังคับใช้กันภายในอย่างจริงจัง แล้วมันจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้เราสู้กับต่างชาติ” วีระยุทธกล่าวเสริม

แม้จะยืนยันว่ากฎหมายที่มีอยู่สามารถบังคับใช้ได้ แต่เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันมากขึ้น กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจมี 6 ข้อเสนอที่ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติม ได้แก่

  1. ปรับนิยามธุรกิจและบุคคลให้ครอบคลุม เนื่องจากปัจจุบันมีวิธีการลงทุนหลากหลายมาก เช่น บริษัท start-up ระดมทุนโดยการร่วมทุน (Venture capital) แต่กฎหมายยังตามไม่ทัน จึงต้องปรับเพื่อให้ธุรกิจทั้งหมดอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.แข่งขันฯ
  2. ปรับนิยามคำว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การกำกับดูแลพฤติกรรมผู้ประกอบธุรกิจที่ชัดเจน ลดปัญหาการตีความที่สับสน
  3. เพิ่มสมการผู้บริโภค ทั้งด้านการมีส่วนร่วมในการคัดเลือกคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า รวมถึงสิทธิในการฟ้องคดี
  4. ยกเลิกโทษอาญาในบางมาตรา เพิ่มเติมมาตรการส่งเสริมการบังคับใช้ วีระยุทธขยายความเพิ่มเติมว่า “การที่กฎหมายแข่งขันทางการค้ามีลักษณะเป็นโทษอาญา ในแง่หนึ่งดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ความยากคือต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าเกิดการฮั้วกัน เราจะไปสืบสวนเหมือนตำรวจก็ไม่ได้ ข้อเสนอของเราคือการนำโทษวินัยมาบังคับใช้ เพื่อทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนสอดคล้องกับความผิด ถ้าค้าขายไม่เป็นธรรมก็ควรจะมีโทษปรับ”
  5. แก้ปัญหาภาระงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับภารกิจหลัก ยกระดับองค์กรให้มีความสามารถมากขึ้น รวมถึงมีการเผยแพร่คำวินิจฉัยและผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ วีระยุทธยกตัวอย่างองค์กรของเกาหลีใต้ อย่าง Korea Fair Trade Commission (KFTC) ซึ่งมีงบประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท (งบ กขค. ไทยอยู่ที่ราว 200 ล้านบาทต่อปี) โดย KFTC มีการหักรายได้ส่วนหนึ่งจากค่าปรับกรณีที่มีบริษัทละเมิดกฎหมายมาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น ค่าปรับจากกรณีที่บริษัทเหล็กฮั้วกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในประเทศหรือต่างชาติก็บังคับใช้อย่างถ้วนหน้า วีระยุทธเสนอว่าไทยควรนำแนวทางดังกล่าวมาใช้และนำงบที่ได้มาไปลงทุนกับระบบซอฟต์แวร์เพื่อมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวในตลาด
  6. แก้ไขที่มาและคุณสมบัติของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้ยึดโยงกับประชาชนผ่านสภาฯ

ทางออกไหน ใช่ที่สุด?

ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่ถาโถมเศรษฐกิจไทย เมื่อมีการถกเถียงถึงแนวทางแก้ปัญหา มักจะมีกระแสสุดโต่งสองเพียงสองทาง คือ ไม่ทำอะไรเลย เพราะอาจเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ และอีกทางคือปกป้องผู้ประกอบการไทยให้ถึงที่สุด หากคิดบนฐานความเป็นจริง คงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะเลือกเดินไปทางใดทางหนึ่งเพียงแนวทางเดียว วงเสวนาจึงเสนอ 6 โมเดลการแก้ปัญหาที่ไล่ระดับจากไม้อ่อนไปจนถึงไม้แข็ง เพื่อจุดประกายให้เกิดการถกเถียงถึงแนวทางแก้ไขที่หลากหลายมากขึ้น

6 โมเดลแก้ปัญหา | ที่มา: เฟซบุ๊ก Veerayooth Kanchoochat – วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

โมเดล 1 ใช้ห้ามาตรการล่าสุดของรัฐบาล

เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ 5 มาตรการป้องกันสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามายังประเทศไทย ได้แก่ (1) ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น (2) ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าในอนาคต (3) ใช้มาตรการภาษีที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ผู้ค้าออนไลน์จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (4) ช่วยเหลือ SMEs ไทยให้แข่งขันได้ และ (5) ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพื่อพาไปบุกตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น โดยโมเดลแรกนี้เสนอให้ใช้ 5 มาตรการที่มีอยู่อย่างเข้มข้น

โมเดล 2 ใช้กฎหมายแข่งขันสร้างกติกาใหม่

เนื่องจากโมเดลแรกไม่ได้พูดถึงการแข่งขันทางการค้า ในโมเดลนี้จึงต้องการสร้างสนามแข่งขันให้เท่าเทียมมากขึ้นผ่านการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันฯ โดยแบ่งบทบาทให้การกวดขันตรวจสอบนอมินีเป็นของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ด้านการกวดขันสินค้าเป็นบทบาทของกรมศุลกากร สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ด้านการมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวในตลาดเป็นหน้าที่ของ กขค. ตามอำนาจ พ.ร.บ.การแข่งขันฯ และด้านการปรับปรุงการกำกับดูแลดิจิทัลแพลตฟอร์ม เป็นบทบาทของ กขค. ร่วมด้วยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

โมเดล 3 ตรวจมาตรฐานเชิงรุก

ขยายขอบเขตและบทบาทของ 3 หน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานที่สำคัญ ได้แก่ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สิทธิพลขยายความว่า ปัจจุบันนี้เรามี มอก. บังคับใช้ได้เพียง 144 มาตรฐาน แต่มีพิกัดศุลกากร หรือ HS Code ถึง 1,984 พิกัด ไม่นับว่ายังมีช่องโหว่ในการแจ้งจด มอก. นั่นสะท้อนว่ามาตรฐาน มอก. ตอนนี้ยังไม่ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ซึ่งถ้านับ 3 มาตรฐานรวมกันควรจะปรับแก้ให้ครอบคลุม

โมเดล 4 มี one-stop service กำกับดูแล

โมเดลนี้เสนอโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TARAD.com เป็นการใช้แพลตฟอร์มที่ภาวุธตั้งชื่อไว้ว่า COOKIE (Coordination Office for Offenders and Illegal Enterprises) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของ กทม.

แพลตฟอร์ม COOKIE จะเปิดให้ประชาชนแจ้งปัญหาเข้ามาได้สองประเภท คือ ปัญหาธุรกิจ เช่น เจอร้านหม่าล่าที่ใบเสร็จไม่มีเลขภาษี และ ปัญหาสินค้า เช่น เจอสินค้าที่ไม่แน่ใจว่าเข้ามาอย่างถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถถ่ายรูปแล้วแจ้งได้เลย ปัญหาทั้งหมดจะวิ่งผ่านแพลตฟอร์มไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมี Public Dashboard ให้เห็นว่าปัญหาไหน หน่วยงานไหนรับไป เมื่อไหร่ หน่วยงานไหนช้าหรือเร็ว ภาวุธเชื่อว่าโมเดลนี้จะทำให้เกิดความโปร่งใสในการแก้ปัญหามากขึ้น

“โมเดลนี้เกิดขึ้นจากการที่เราไม่เชื่อภาครัฐ เราเห็นว่าแต่ละหน่วยงานมีศูนย์รับแจ้ง แต่พอแจ้งปัญหาไปแล้ว ปัญหากลับไม่ถูกแก้ เคยมีกรณีที่มีคนแจ้งเรื่องซูเปอร์มาร์เก็ตจีนที่รัชดา ซึ่งมีสินค้าจีนทั้งร้านโดยไม่มีสติกเกอร์ระบุข้อมูลการนำเข้า และเลข มอก. หมายความว่าสินค้านี้อาจจะส่งตรงจากจีนและผ่านเข้ามาโดยไม่เสียภาษีและไม่ถูกตรวจสอบคุณภาพ พอคนไปเจอร้านนี้ปุ๊บ ก็แจ้งไป พอแจ้งแล้ว อย.มาตรวจ ก็นำไปสู่การปิดร้าน พอผ่านไปอีกสองวัน ร้านกลับมาเปิดใหม่ โดยของทุกอย่างเหมือนเดิม กลายเป็นว่าพอภาคประชาชนแจ้งไปแล้ว เราไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้ว่าเกิดซ้ำหรือเปล่า ผมจึงหยิบเทคโนโลยีแบบ Traffy FONDUE มานำเสนอ”  

โมเดล 5 ทำตามจีน

เนื่องจากจีนเป็นคู้ค้าที่สำคัญของไทยและเป็นต้นทางของแหล่งทุนและสินค้าที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ส่วนนโยบายของจีนเองก็มีการกำกับดูแลสินค้านำเข้าและการซื้อขายในแพลตฟอร์มที่เข้มข้น สาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wisible จึงเสนอโมเดลนี้เพื่อหาแนวทางที่เราอาจปรับใช้ได้

“จะมีอะไรดีไปกว่าการเรียนรู้จากคนที่ทำกับเรา เหมือนเกลือจิ้มเกลือ ผมสรุปประโยคเดียวคือให้เอามนุษย์ออกจากระบบ ถ้าดูอย่างจีน เขามีประชากรเยอะ และปริมาณสินค้าก็เยอะมาก เขาจึงไม่ใช้มนุษย์ ทุกนโยบายของไทยที่พูดมาก่อนหน้านี้ จุดตายคือตรงที่เรามีมนุษย์ เมื่อไหร่มีมนุษย์ ที่นั่นมีดุลพินิจ เมื่อไหร่มีดุลพินิจ ที่นั่นมีคอร์รัปชัน” สาโรจน์กล่าว

หากพิจารณาลงลึกถึงแนวทางของจีน สาโรจน์กล่าวว่าเงื่อนไขลำดับแรกๆ ในการค้าขายคือ “ต้องรู้หัวนอนปลายเท้าก่อนว่าเป็นใคร ทำอะไร บ้านอยู่ไหน” และหากทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มก็ต้องมีนิติบุคคลจดทะเบียนที่จีน เพื่อที่เมื่อมีปัญหาจะได้ตามตัวถูก ปรับได้ และมีการวางเงินประกันในการจดทะเบียน หากผู้ประกอบการละเมิดกฎหมาย จะหักเงินประกันเป็นส่วนหนึ่งของค่าปรับ และดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ประการต่อมาคือจีนมีเอไอตรวจทุกธุรกรรมการเงิน และมีข้อมูลเชื่อมถึงสรรพากร ทำให้การค้าขายในจีนต้องเสียภาษีที่จีนทุกเม็ด สาโรจน์มองว่าระบบข้อมูลที่เชื่อมกันเป็นปัจจัยสำคัญในการกำกับดูแล และการพัฒนาระบบดังกล่าวก็ไม่ได้ยากเกินมือคนไทย

ด้านปารเมศ ซึ่งเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟู่ตัน ประเทศจีน กล่าวเสริมว่าจีนมีกฎหมายอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ และมีมาตราที่ระบุไว้ชัดเจนว่าแพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบต่อสินค้าที่ขายในแพลตฟอร์ม ต่างจากไทยที่กฎหมายคลุมเครือ เอาผิดใครได้ยาก

โมเดล 6 ช่วยธุรกิจภายในแบบอินโดนีเซีย

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่เผชิญปัญหาคล้ายๆ กับไทย แต่มีวิธีการตอบโต้ที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากชัดเจนในจุดยืนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศ อาจเรียกว่าเป็นนโยบายแบบ ‘Protectionism’ ก็ย่อมได้ เช่น เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 200 เปอร์เซ็นต์ในสินค้าบางรายการ ปิดบริการ TikTok Shop เพราะอินโดนีเซียมีกฎห้ามการช็อปปิ้งออนไลน์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

แนวทางไหน ทำได้จริง

จากหลากโมเดล หลายแนวทางที่ได้นำเสนอไป การเลือกใช้เพียงทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งอาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน เพราะในโลกของการกำหนดนโยบายมีประเด็นละเอียดอ่อนให้คำนึงถึงมากมาย เช่น แนวทางแบบอินโดนีเซียอาจไม่เหมาะกับไทย เนื่องจากไทยมีอำนาจต่อรองในตลาดโลกน้อยกว่า

วีระยุทธมองว่าสาเหตุที่อินโดนีเซียกล้าชนเพราะมีหลายอย่างที่ไทยไม่มี เช่น อินโดนีเซียมีแร่นิกเกิล ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับแบตเตอรียานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นวัตถุดิบที่สร้างอำนาจต่อรองให้อินโดนีเซีย ไม่นับว่าอินโดนีเซียมีประชากรหลายร้อยล้านคน ตลาดกำลังเติบโต เรียกได้ว่า ‘ผู้ประกอบการต่างชาติต้องง้อ’ ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ขณะที่ไทยไม่มีวัตถุดิบยุทธศาสตร์ไปต่อรอง ตลาดการบริโภคก็เติบโตแบบไม่สดใสเท่าอินโดนีเซีย ประเด็นเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญในการคิดคำนวณถึงความเป็นไปได้

ด้านภาวุธมองว่าทุกสามารถนำมาใช้อย่างผสมผสานกันได้ แต่ควรแบ่งมาตรการแก้ปัญหาเป็นสามระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งโมเดลแพลตฟอร์มร้องเรียนปัญหาที่เขานำเสนอถือว่าเป็นแนวทางที่นำมาทำได้เร็วที่สุด ภาวุธยังเสนอว่าการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องมีการนำเทคโนโลยีมาช่วย หากไทยสามารถผนวกเทคโนโลยีไปกับกับการแก้ปัญหาทุกอย่าง เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาใดๆ จะเปลี่ยนทั้งองคาพยพ

อีกแนวทางที่อาจทำได้ตอนนี้เลยคือการปิด ‘รอยรั่ว’ การไหลเข้าของสินค้าเถื่อน

“จุดที่รั่วในไทยมี 2 จุด หนึ่งคือศุลกากร ถ้าศุลกากรไม่ปล่อยให้รั่วไหล สินค้าผิดกฎหมายก็จะเข้ามาในไทยไม่ได้เลย จุดที่สองคือแพลตฟอร์ม ที่ปล่อยให้สินค้าไม่มีคุณภาพทะลักเข้ามาและส่งถึงมือผู้บริโภค ฉะนั้น จัดการสองจุดนี้ได้ ปัญหาจะหายไปเกินครึ่ง

“หลังรัฐบาลออก 5 มาตรการแก้ปัญหา เราเห็นข่าว อย. บุกจับจับสินค้า เห็นข่าวศุลกากรจับสินค้าผิดกฎหมายได้ คำถามคือแล้วทำไมแต่ก่อนไม่จับ ดังนั้น อยากเน้นย้ำถึงมาตรการที่จริงจังและทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่นโยบายที่เหมือนปลูกสวนผักชีไว้โรยหน้า” ภาวุธกล่าว

สาโรจน์ให้อีกแง่มุมต่อมาตรการปิดรอยรั่วว่าประเทศไทยมีช่องทางธรรมชาติเยอะมาก ถ้าคิดแบบจีนที่ทุกโกดังหรือตามชายแดนมีกล้องวงจรปิด และมีระบบมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของสินค้า ไทยต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้  “มองจากคนในวงการเทคโนโลยี แนวทางเหล่านี้คนไทยก็ทำได้ เรามีศักยภาพ เราต้องเริ่มที่ทัศนคติว่าเราทำได้” สาโรจน์กล่าว

มองจากมุมของนักวิชาการอย่างวรรณวิภางค์ ทุกนโยบายมีจุดแข็งที่สามารถทำไปได้พร้อมๆ กัน แต่รากฐานที่สำคัญคือผู้ค้าทุกรายต้องแข่งขันอยู่ภายใต้กฎกติกา สำหรับการสร้างกติกาให้แพลตฟอร์ม เราสามารถผ่านกฎหมายแข่งขันทางการค้าที่มีแนวทางว่าแพลตฟอร์มต้องทำอะไรบ้าง เช่น คัดกรองว่าสินค้ามีมาตรฐาน รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีผ่านแพลตฟอร์ม ส่วนโมเดลอื่นอยากให้คำนึงว่า “มาตรการกำกับดูแลจะต้องทำให้ประเทศของเราพัฒนาไปอย่างยั่งยืน ไปด้วยกันกับคู่ค้าของเรา”

เช่นเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างปารเมศที่ย้ำว่าไทยต้องทำตัวเองให้แข็งแร่งโดยการเร่งยกร่างกฎหมายที่ตรงประเด็นและทันยุคสมัย

“กฎหมายหลายๆ ฉบับบังคับใช้มานานกว่า 50 ปี คำนิยามควรจะเปลี่ยนให้เท่าทันยุคสมัยได้แล้ว และควรมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ถ้าเราทำตัวเองให้แข็งแกร่ง แล้วหลังจากนั้น เมื่อเราไปเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ เราจะสามารถคุยหรือขอความร่วมมือประเทศอื่นให้ช่วยสนับสนุนได้ อย่างทุนสีเทา รัฐบาลจีนก็ไม่ได้สนับสนุน เอกชนมาเอง แล้วเราก็ดันอ่อนแอ ปัญหาเลยขยายตัว”

สิทธิพลกล่าวสรุปว่าแก่นแกนของปัญหาทั้งหมดที่ถกกันมาคือความปล่อยปละละเลยของไทย ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และมีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น ส่วนนี้เป็นหน้าของรัฐที่ต้องทบทวนแก้ไขและหามาตรการกำกับที่เข้มงวด ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ควรมีบทบาทในการรับผิดชอบไปไม่น้อยกว่ากัน

“ถ้ามองแบบนักเศรษฐศาสตร์ ก็จะบอกว่าไม่อยากให้ภาครัฐไปกำกับมาก เพราะมันสร้างอุปสรรคและเพิ่มต้นทุนให้เอกชน แต่สิ่งที่เราขอผู้ประกอบการคือคุณต้องกำกับตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย คุณจะปล่อยให้สินค้าไม่มี อย. มอก. มากขึ้น มีการโฆษณาเกินจริง แล้วส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ดังนั้น ภาคเอกชนต้องเร่งมือในการควบคุมกันเอง และภาครัฐก็ต้องเข้าไปดูและบังคับใช้อย่างเอาจริงเอาจังด้วย

“เวลาพูดถึงการแข่งขันทางการค้า เราไม่ได้พูดว่าต้องทำให้ไทยได้เปรียบคนอื่น แต่จะทำอย่างไรให้สินค้าต่างประเทศกับสินค้าไทยแข่งกันอย่างเป็นธรรม ทำอย่างไรให้ให้ผู้ค้าออฟไลน์กับออนไลน์แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม นี่คือโจทย์หลักที่ต้องทำในระยะยาว” สิทธิพลทิ้งท้าย

MOST READ

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save