Op Global: ปฏิบัติการจองเวรลัทธิต้องห้าม ‘อัล-อาร์กัม’

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในมาเลเซียแล้วว่าบริษัทโกลบอลอิควาน (Global Ikhwan Service and Business Holdings หรือ GISBH) ไม่ธรรมดา และเหตุผลของความไม่ธรรมดาไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จทางธุรกิจ แต่กลับอยู่ที่มิติด้านสังคมศาสนาที่ปั่นป่วนสถาบันอิสลามและสถาบันความมั่นคงในมาเลเซียมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี

โกลบอลอิควานเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ประกาศตัวเป็นบริษัทมุสลิมนานาชาติสัญชาติมาเลเซีย มีสถานประกอบการ 415 แห่งใน 20 ประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และออสเตรเลีย ด้วยสินทรัพย์มูลค่ารวม 325 ล้านริงกิต (ราว 2,535 ล้านบาท) และทำธุรกิจหลากหลาย เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร เบเกอรี ร้านขายยา คลินิก และโรงงาน

โกลบอลอิควานทำธุรกิจอย่างเงียบๆ มานาน แต่แล้วจู่ๆ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจลงมือปฏิบัติการใหญ่ทั่วประเทศในชื่อ ‘ปฏิบัติการโกลบอล’ (Op Global) บุกตรวจค้นบ้านพักเด็กในหลายรัฐและยืนยันว่าพบหลักฐานการล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายเด็กโดยผู้ช่วยครูสอนศาสนาของโกลบอลอิควานในบ้านพักบางแห่งระหว่างปี 2565-2566 การบุกตรวจค้นนี้มีผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงภาพเจ้าหน้าที่บ้านพักทำร้ายเด็กหกคนอายุระหว่าง 6-11 ปีในบ้านพักเด็กแห่งหนึ่งลงในติ๊กต็อก (TikTok) นำไปสู่การร้องเรียนของเอ็นจีโออิสลามและผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลามบางรายให้ตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัท

โกลบอลอิควานมีกิจการบ้านพักเด็กหรือสถานสงเคราะห์เด็ก (welfare home) จำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ โดยรับเด็กชายหญิงอายุ 1-17 ปีนับร้อยคนเข้าพักอาศัย เด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่เด็กกำพร้า แต่เป็นลูกหลานของสมาชิกของโกลบอลอิควานที่พ่อแม่ส่งตัวไปให้บ้านพักดูแล หลังตกเป็นข่าว ผู้บริหารคนหนึ่งของโกลบอลอิควานออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่าองค์กรของตนมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเด็ก แต่คำปฏิเสธนี้ตกไปเมื่อนัสรูดีน โมฮัมหมัด อาลี (Nasrudin Mohd Ali) ประธานและซีอีโอบริษัท ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่ามีเหตุล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นในบ้านพักเด็กบางแห่งจริง 

Op Global: ปฏิบัติการจองเวรลัทธิต้องห้าม ‘อัล-อาร์กัม’
บ้านพักเด็กภายใต้โกลบอลอิควาน ซึ่งถูกทางการสั่งปิดตัวลงหลังพบกรณีล่วงละเมิดเด็ก
ภาพจาก Mohd RASFAN / AFP

ความโกลาหลบังเกิดเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวเด็กกว่า 600 ออกจากบ้านพักและเข้าตรวจร่างกายและตรวจสอบสภาพจิตใจเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม ผู้ช่วยครูทั้งหมดสี่คนถูกจับและดำเนินคดีข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวผู้เกี่ยวข้องกว่า 170 คนเพื่อสอบปากคำ รวมทั้งนัสรูดีนและสมาชิกในครอบครัวรวม 19 คน

เหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของโกลบอลอิควานพังพินาศทั้งในและนอกประเทศ แต่เรื่องเด็กเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเพราะปฏิบัติการโกลบอลมีเป้าหมายที่กว้างขวางและลึกซึ้งกว่านั้น โดยเป้าหมายที่แท้จริงนั้นคือการถอนรากถอนโคนกลุ่มลัทธิอิสลามนอกรีตในสายตาของรัฐและสถาบันอิสลามของประเทศ

กลุ่มที่ว่าคือ ‘อัล-อาร์กัม’ (al-Arqam) กลุ่มอิสลามที่มีความเชื่อและวิถีปฏิบัติบางประการแตกต่างกับวิถีของชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในมาเลเซีย เป็นเหตุให้หน่วยงานด้านอิสลามมีคำตัดสินว่ามีความเชื่อที่ผิดหลักอิสลาม และถูกแบนใน พ.ศ. 2537 พลตำรวจเอก ราซารุดดีน ฮูเซน (Razaruddin Husain) ผู้บัญชาการตำรวจกล่าวกับสื่อมวลชนว่าพบหลักฐานที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างอัล-อาร์กัมกับบริษัทโกลบอลอิควาน หรืออีกนัยหนึ่งสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของรัฐนั้น โกลบอลอิควานก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากอัล-อาร์กัมโฉมใหม่นั่นเอง 

บทความชิ้นหนึ่งของศูนย์วิจัยของพรรคพาส (PAS: Parti Islam se Malaysia) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองอิสลามพรรคเดียวในประเทศ กล่าวถึงอัล-อาร์กัมไว้ว่าเป็นกลุ่มที่แยกตัวออกจากพรรคพาสในปี 2511 โดยสมาชิกพาสที่ชื่อว่าอาชารี มูฮัมหมัด (Ashaari Muhammad) ครูสอนศาสนาผู้เข้าร่วมพรรคพาสตั้งแต่ก่อนมาเลเซียประกาศเอกราชจากอังกฤษ มีความไม่พอใจพรรคพาสเพราะเชื่อว่าผู้นำพรรคละเลยความอยู่รอดทางเศรษฐกิจในการต่อสู้ของพรรค เขาจึงแยกตัวไปตั้งกลุ่มเผยแพร่ศาสนาอิสลามในชื่ออุสราห์ รูมาห์ ปูติห์ (Usrah Rumah Putih) พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น อัล-อาร์กัม ซึ่งมาจากชื่อของ Al-Arqam Ibn Abi al-Arqam ผู้ติดตามศาสดาโมฮัมหมัดและเป็นเจ้าของบ้านที่ชุมชนมุสลิมกลุ่มแรกใช้เป็นที่ประชุม

Op Global: ปฏิบัติการจองเวรลัทธิต้องห้าม ‘อัล-อาร์กัม’
ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มอัล-อาร์กัม
ภาพจาก: Alhaqcentremalaysia.com

บุคลิกของอาชารีทำให้ อัล-อาร์กัมเป็นหนึ่งในกลุ่มเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่มีอิทธิพลสูงสุดของประเทศในช่วงทศวรรษ 1970s-1990s และกลายเป็นที่สนใจของชนชั้นกลางและมุสลิมที่มีการศึกษาสูง ก่อนจะกลายเป็นขบวนการอิสลาม (Islamic movement) ที่ขยายจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วทั้งในและนอกประเทศ 

ใน พ.ศ. 2518 อาชารีนำสมาชิกอัล-อาร์กัม ปักหลักตั้งชุมชนที่มีการบริหารจัดการของตนเองที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐสลังงอร์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเป็นชุมชนอิสลามต้นแบบในอุดมคติตามแนวคิดของกลุ่ม และเป็นชุมชนที่มีทั้งมัสยิด หอพัก โรงเรียนสอนศาสนา ที่อยู่อาศัย และร้านค้าของตนเอง ซึ่งดำเนินตามหลักอิสลามทั้งหมด อีกทั้งยังเริ่มออกสิ่งพิมพ์เผยแพร่หลักความเชื่อของตนด้วย

อัล-อาร์กัมเผยแพร่หลักการทางศาสนาด้วยการเปิดสถานศึกษาถึง 257 แห่งทั้งในและนอกประเทศ มีนักเรียนกว่า 9,500 คนและครูนับร้อย อย่างไรก็ตามกลุ่มไม่ได้มีแค่มิติทางศาสนาเท่านั้น แต่ขยายแขนขาสู่การทำธุรกิจที่นำเอาหลักการอิสลามมาใช้ในการดำเนินการ ก่อนที่ในทศวรรษ 1990s ธุรกิจของอัล-อาร์กัม จะขยายตัวไปในหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งในและต่างประเทศ 

ถึงจุดหนึ่ง อัล-อาร์กัมเข้มแข็งถึงขั้นที่ว่าสมาชิกจำนวนมากเชื่อว่าอาชารีมีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีความมั่นใจถึงขั้นที่เชื่อว่ากลุ่มตนสามารถเข้าบริหารศูนย์อิสลามแห่งชาติ (Islamic Center) ที่ทรงอิทธิพลต่อกิจการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามในประเทศ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นฝ่ายพัฒนาศาสนาอิสลามสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (Islamic Development Department) หรือ JAKIM ได้

แต่อาจเป็นโชคร้ายของอาชารี และอัล-อาร์กัม ที่มีมาอิทธิพลสูงสุดในยุคมหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) เป็นนายกรัฐมนตรีและประธานพรรคอัมโน (UMNO: United Malays National Organisation) มหาเธร์ในฐานะผู้นำเปรียบเสมือนเสือร้ายที่ย่อมไม่ยอมให้เสือตัวอื่นอยู่ในถ้ำเดียวกับตน ในขณะที่มหาเธร์เปิดศึกรอบด้านต่อกรกับอุปสรรคทางอำนาจของตน ก็ไม่น่าแปลกใจที่อิทธิพลและความทะเยอทะยานของอัล-อาร์กัม อาจสร้างความไม่สบายใจให้แก่ทั้งรัฐบาล หน่วยงานทางศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศที่มีบทบาทเป็นองค์อุปถัมภ์ของอิสลามอยู่ไม่น้อย

อัล-อาร์กัม มีคำสอนตามลัทธิ Aurad Muhammadiyah ตามแนวทางของ Muhammadiyah Sufi ที่ถือว่าเป็นคำสอนที่ผิดหลักอิสลามในมาเลเซีย โดยผู้เริ่มเผยแพร่ลัทธิ Aurad Muhamadiyah ในมาเลเซียคือ ชีก สุฮัยมี (Sheikh Suhaimi) ชาวชวาที่เดินทางมาตั้งหลักแหล่งที่พื้นที่คลาง (Klang) ของมลายา (มาเลเซียในปัจจุบัน) และเสียชีวิตใน พ.ศ. 2468 

ในยุคของชีก สุฮัยมี นั้น เขาอ้างว่าศาสดาโมฮัมหมัดปรากฏตัวขึ้นและสอนเขาให้ท่องบทสวด Aurad Muhammadiyah ผู้ติดตามชีก สุฮัยมี เชื่อว่าเขาเป็นนักบุญ (Wali) ผู้ยิ่งใหญ่และเป็น Mahdi หรือศาสดา (messiah) คนสุดท้ายที่คำทำนายกล่าวว่าจะปรากฏตัวก่อนวันแห่งการพิพากษา 

ใน พ.ศ. 2531 เจ้าหน้าที่ศาสนามีคำตัดสิน (Fatwa) ให้ลัทธิ Aurad Muhamadiyah เป็นลัทธิต้องห้าม (haram) ก่อนที่ใน พ.ศ. 2537 ขบวนการ อัล-อาร์กัม จะถูกสั่งแบนโดยสภาฟัตวาแห่งชาติ (National Fatwa Council) ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดในการออกคำพิพากษาตามกฎหมายอิสลาม  

ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน อาชารีพร้อมด้วยผู้นำอาวุโสของอัล-อาร์คาม ถูกจับในประเทศไทยและส่งตัวกลับมาเลเซีย เขาและพวกยินยอมสารภาพผิดต่อสาธารณะ ประกาศว่าตนเป็นผู้แตกแยกออกจากแนวทางของอิสลามและได้กลับใจแล้ว การประกาศยอมรับผิดครั้งนั้นถูกถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ รัฐบาลมาเลเซียใช้อำนาจตามกฎหมายความมั่นคงภายใน (Internal Security Act) ในเวลานั้น สั่งจำกัดบริเวณให้เขาในที่พักของตนเอง (house arrest) เป็นเวลา 10 ปี ก่อนที่อาชารีจะเสียชีวิตใน พ.ศ. 2553 ด้วยอาการติดเชื้อในปอด

หลังการสารภาพผิดของเขา สังคมมาเลเซียก็เข้าใจโดยทั่วกันว่า al-Arqam ได้ถึงจุดจบแล้ว ทว่าในระดับรากหญ้า อัล-อาร์คามยังคงมีชีวิตอยู่ โดยในขณะที่อาซารียังมีชีวิตอยู่หลังจากสารภาพผิดนั้น สมาชิกอัล-อาร์กัมกลุ่มหนึ่งได้จัดตั้งบริษัทรูฟากา (Rufaqa’ Corporation Sdn Bhd) ขึ้นโดยมีเขานั่งเก้าอี้ประธานบริษัท รูฟากามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐสลังงอร์ ทำธุรกิจหลากหลายและเติบโตขยายตัวไปในหลายประเทศ   

ในขณะที่กิจการของรูฟากาเติบโดด้วยดี เหตุใหญ่ก็เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2549 เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านกิจการอิสลามของรัฐสลังงอร์ หรือ Selangor Islamic Religious Department (JAIS) บุกตรวจค้นสำนักงานใหญ่ของรูฟากา จับกุมตัวผู้บริหารหลักของบริษัทและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องราว 100 คน และตั้งข้อหาพยายามเผยแพร่ลัทธิต้องห้าม อัล-อาร์กัม ผู้ถูกจับกุมบางรายถูกตั้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดี ประเด็นเกี่ยวกับ อัล-อาร์กัมจึงจางหายไปอีกครั้ง 

แต่ดูเหมือนว่า อัล-อาร์กัม จะเป็นชุมชนที่ตายยากเย็น ใน พ.ศ.2551 กลุ่มบริษัทโกลบอลอิควานได้ถูกตั้งขึ้นโดยอดีตผู้บริหาร อัล-อาร์กัม ที่ผ่านการสารภาพผิดมาพร้อมๆ กับอาชารี และมีนัสรูดีน โมฮัมหมัด อาลี บุตรชายคนหนึ่งของอาชารีผู้ล่วงลับ ควบเก้าอี้ประธานบริษัทและซีอีโอ โดยมีรูปแบบการทำธุรกิจแบบเดียวกับบริษัทรูฟากาที่ขยายตัวตัวออกนอกประเทศเช่นเดิม

การเข้าตรวจค้นบ้านพักเด็กและสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโกลบอลอิควาน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นการฉายหนังซ้ำที่ไม่ผิดอะไรกับกรณีบริษัทรูฟากาใน พ.ศ. 2549 โดยในการตรวจค้นสถานที่ของบริษัทโกลบอลอิควานทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงว่าพบหลักฐานเบื้องต้นที่เชื่อมโยงกับลัทธิ อัล-อาร์กัม นับร้อยชิ้น เช่น หนังสือ แผ่นพับ รูปภาพ และวัตถุบูชา ซึ่งได้ถูกยึดเอาไว้ทั้งหมด และในการค้นบ้านพักสามหลังของประธานบริษัทและครอบครัวในรัฐกลันตัน ก็พบหนังสือและเอกสารหลายลักษณะถูกฝังอยู่ริมแม่น้ำ ขณะที่เอกสารบางชิ้นมีร่องรอยถูกเผา ซึ่งเชื่อว่าเป็นความพยายามที่จะทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับลัทธิอัล-อาร์กัม

Op Global: ปฏิบัติการจองเวรลัทธิต้องห้าม ‘อัล-อาร์กัม’
อาคารสำนักงานโกลบอลอิควาน หรือ GISB Holdings
ภาพจาก: Facebook – GISB HOLDINGS SDN BHD

บทเรียนจากอดีตอาจทำให้โกลบอลอิควานพยายามอยู่เงียบๆ เพื่อความอยู่รอด แต่บางครั้งก็ไม่ง่ายนักเพราะสมาชิกบางกลุ่มก็อดไม่ได้ที่จะประกาศความเชื่อของตนแบบค่อนข้างจะโฉ่งฉ่าง เช่น ระหว่าง พ.ศ. 2554-2555 กลุ่มสตรีนำโดยนาง คาดีจะห์ อาม (Khadijah Aam) ภรรยาคนหนึ่งของอาชารี ร่วมกับภรรยาของผู้นำและสมาชิกโกลบอลอิควานกลุ่มหนึ่งประกาศจัดตั้งกลุ่มชื่อว่า The Obedient Wives Club (กลุ่มภรรยาผู้เชื่อฟัง) ซึ่งต่อมาได้ตกเป็นข่าวฮือฮาเมื่อรณรงค์ภายใต้คำขวัญ “Fight against Illicit Sex: Be Loyal to Husband” (ต่อต้านเพศสัมพันธ์ที่ผิด: ซื่อสัตย์ต่อสามี) สนับสนุนให้เหล่าภรรยาปรนนิบัติสามีของพวกเธอประดุจดั่ง “โสเภณีชั้นสูง” จนเป็นที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในมาเลเซีย นอกจากนั้นยังตีพิมพ์หนังสือ ‘Islamic Sex; Fighting against Jews to Return Islamic Sex to the World’ (แปลได้คร่าว ๆ ว่า ‘เพศสัมพันธ์ตามหลักอิสลาม; ต่อสู้กับยิวเพื่อคืนเพศสัมพันธ์แบบอิสลามให้แก่โลก’) โดยหนังสือเล่มนี้ถูกประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้ามใน พ.ศ. 2554   

เรื่องของกลุ่มภรรยาผู้เชื่อฟังอาจทำให้หลายคนเห็นว่าอัล-อาร์กัมมีทัศนะแปลกๆ แต่ในช่วงเวลารุ่งเรือง อัล-อาร์กัมก็มีดีไม่น้อย โดยโลกศิลปะและสื่อสารมวลชนสามารถสนับสนุนให้มีการตั้งวงดนตรีอิสลาม (nasyid) เช่นวง Nada Murni, The Zikr ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่มุสลิมหนุ่มสาว แต่หลังจากอัล-อาร์กัมถูกแบน วงดนตรีอิสลามเหล่านี้ก็สลายตัวไป แต่อดีตสมาชิกบางรายก็ตั้งวงดนตรีของตนใหม่ต่อไป ซึ่งก็ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอัล-อาร์กัม เช่น วง Raihan, Rabbani และ Hijjaz ที่ออกอัลบั้มจนเป็นกระแสโด่งดังในโลกดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวง Raihan ที่ได้รับหลายรางวัล มียอดขายอัลบั้มสูงสุดในประเทศ และยังได้รับความนิยมในต่างประเทศ 

เวลานี้โกลบอลอิควานตกที่นั่งลำบากเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศชัดเจนว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาหาหลักฐานเพื่อใช้กฎหมายทุกรูปแบบในการตั้งข้อหาที่ไม่ใช่เพียงเรื่องทำร้ายและละเมิดทางเพศเด็ก แต่ยังมีข้อหาค้ามนุษย์ ฟอกเงิน และสนับสนุนแนวคิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติตามมา เพื่อถอนรากถอนโคนอิทธิพลทางความคิดแบบอัล-อาร์กัมให้สิ้นซาก พลตำรวจเอก นาซารูดดีน ผู้บัญชาการตำรวจเองก็แสดงความมั่นใจว่าครั้งนี้อัล-อาร์กัมคงหนีไม่รอด เขาบอกว่าในสมัยที่อัล-อาร์กัมถูกแบนครั้งแรกๆ นั้น มาเลเซียไม่มีกฎหมายเพียงพอที่จะจัดการ ทำให้กลุ่มนี้กลับมาในร่างใหม่ในรูปของบริษัท แต่ครั้งนี้ต่างกับในอดีต และเจ้าหน้าที่ก็ต้องการจะกำจัดกลุ่มนี้ให้หมดไปโดยตั้งใจปฏิบัติการอย่างระมัดระวัง

ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระงับการทำธุรกรรมบัญชีเงินฝาก 153 บัญชีมูลค่ารวม 882,795 ริงกิต (กว่า 6.8 ล้านบาท) พร้อมมีการยึดยานพาหนะแปดคันมูลค่ารวม 3.94 ล้านริงกิต (ราว 30.7 ล้านบาท) และยึดอสังหาริมทรัพย์ 14 รายการที่ยังไม่ระบุมูลค่า และยังได้เริ่มกระบวนการสืบสวนเกี่ยวกับทรัพย์สินนอกประเทศ

เวลานี้อนาคตของโกลบอลอิควานอยู่ในมือของสถาบันหลักด้านศาสนาของประเทศสองแห่ง นั่นคือสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ (National Council for Islamic Religion Affairs) ซึ่งมีสมาชิกคืออูลามาแห่งรัฐทุกรัฐของประเทศ และสภาสุลต่าน (the Conference of Rulers) ซึ่งมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นองค์ประธานและมีสุลต่านทั้งเก้ารัฐเป็นองค์สมาชิก

สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติมีหน้าที่ตีความเพื่อตัดสินว่าโกลบอลอิควานมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิต้องห้าม และสมควรแก่การออกฟัตวาตัดสินอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ก่อนจะถวายข้อตัดสินให้องค์ประธาน ซึ่งคือสุลต่านนาซริน ชาห์ (Nazrin Shah) แห่งรัฐเปรัก เพื่อนำเสนอต่อสภาสุลต่านในวาระการประชุมที่จะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนจะประกาศคำตัดสินต่อสาธารณะ

ความเห็นต่อกรณีโกลบอลอิควานระหว่าง ‘เจ้า’ กับอูลามาชั้นผู้ใหญ่บางรายยังไม่ตรงกันนัก โดยสุลต่านนาซริน ชาห์ แห่งเปรัก และสุลต่าน ชาราฟุดดีน ไอดริส ชาห์ (Sharafuddin Idris Shah) แห่งรัฐสลังงอร์ ทรงมีพระราชดำริตรงกันว่าสมควรระงับกิจกรรมของโกลบอลอิควานเพราะเป็นกลุ่มที่บิดเบือนคำสอนของอิสลาม ขณะที่โมฮัมหมัด อัสรี ไซนุล อาบีดีน (Mohamad Asri Zainul Abidin) ประธานมุฟติแห่งเปอร์ลิซกล่าวหาสมาชิกโกลบอลอิควานว่าเชิดชูผู้นำของตนเทียบเท่าศาสดา และเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ประหนึ่งว่าเป็นนักบุญ ซึ่งเป็นความเชื่อที่บิดเบี้ยวผันแปรจากอิสลาม

ในขณะเดียวกัน อูลามาจากบางรัฐแสดงความเห็นที่ต่างออกไป เช่น ทากิยุดดีน อัสซัน (Takiyuddin Hassan) เลขาธิการพรรคพาส กล่าวว่าไม่ควรลงโทษสมาชิกที่ไม่ได้กระทำความผิด และว่าโกลบอลอิควานยังมีแง่มุมบวกคือเครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวางที่สมควรรักษาไว้และควรได้รับคุ้มครองจากมาตรการที่เร่งร้อน ขณะที่โมฮัมหมัด ซาบรี ฮารุน (Mohamad Sabri Harun) ประธานมุฟติจากตรังกานู กล่าวว่าปัจจุบันไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับคำสอนของโกลบอลอิควานในตรังกานู แต่ทางรัฐจะรอการตัดสินใจของสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ และถ้าหากมีหลักฐานที่ชัดเจน ทางรัฐจะประกาศคำสอนของโกลบอลอิควานว่าเป็นสิ่งต้องห้าม

นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ผู้เป็นอดีตนักกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาอิสลามในยุค 1970s เองก็ให้ความเห็นแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็เร่งให้ตำรวจหาข้อสรุปให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะหากว่าข้อกล่าวหาเป็นจริง กรณีนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่เชื่อมโยงกับการบิดเบือนทางศาสนาและการกระทำผิดต่อเด็ก   

สำนักข่าวแห่งชาติเบอร์นามา (Bernama) รายงานล่าสุดว่าเวลานี้ ร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านซักรีด ของโกลบอลอิควานในรัฐต่างๆ อย่างน้อยห้ารัฐทั่วประเทศ ปิดให้บริการเงียบกริบ รอคำตัดสินอนาคตตน

แต่ไม่ว่าคำตัดสินจะเป็นอย่างไร อัล-อาร์กัมจะยอมตายง่ายๆ หรือ?


เอกสารประกอบ

https://www.malaysiakini.com/news/720562

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2024/10/11/as-gisbh-probe-hits-one-month-authorities-vow-to-prevent-return-of-groups-beliefs/153224

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2024/10/11/police-probe-gisbhs-rm52m-overseas-assets-across-10-nations/153228

https://themalaysianreserve.com/2024/10/10/op-global-23-global-ikhwan-assets-worth-of-over-rm52m-in-10-countries-identified/#google_vignette

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save