คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่าเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่บรรยากาศการเมืองไทยร้อนระอุมากที่สุดเดือนหนึ่ง คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญใน 2 คดีสำคัญทางการเมือง อย่างคดียุบพรรคก้าวไกล และคดีคุณสมบัตินายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทำให้นานาชาติต่างจับจ้องการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกล เหตุเสนอแก้ไขมาตรา 112 สร้างความกังวลจากหลายชาติตะวันตกและองค์กรด้านสิทธิฯ ว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเสี่ยงต่อการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตยของไทย
ขณะเดียวกัน การพบปะระหว่างพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนักการทูตจาก 18 ประเทศในสหภาพยุโรปเพื่อพูดคุยถึงคดียุบพรรคก่อนวันตัดสินคดี ก็เป็นตัวจุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษนิยมถึงความไม่เหมาะสมของท่าทีจากต่างชาติให้ค่อยๆ ดังขึ้น บ้างกล่าวว่าผิดมารยาททางการทูต บ้างกล่าวว่านี่คือการ ‘แทรกแซงกิจการภายใน’
ยังไม่นับว่าหลังมีคำตัดสินสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคฯ สถานทูตหลายประเทศได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ประชาธิปไตยในไทย ทำให้การถกเถียงถึงการแทรกแซงขยายวงกว้างยิ่งขึ้น
มาร์ค โคแกน (Mark Cogan) คือหนึ่งในคนที่ติดตามและวิพากษ์การเมืองไทย รวมทั้งถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘คนนอก’ ที่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องภายในของประเทศอื่นอยู่เสมอ
ชื่อของ มาร์ค โคแกน อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูของคนไทยมากนัก เขาเป็นอาจารย์ประจำสาขา Peace and Conflict Studies มหาวิทยาลัย Kansai Gaidai ประเทศญี่ปุ่น และเคยทำงานด้านการสื่อสารองค์กรที่องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) มานานกว่าทศวรรษ บนสื่อสังคมออนไลน์อย่าง X (ชื่อเดิม Twitter) มาร์คเป็นนักวิชาการชาวต่างชาติอีกคนที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง และยังเขียนบทวิเคราะห์ให้กับ The Diplomat แต่ด้วยความที่เป็นชาวต่างชาติ หลายครั้งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย มักจะตามมาด้วยคอมเมนต์ที่ด้อยค่าความเห็นและโจมตีสถานะของเขา
101 จึงชวนมาร์คสนทนา ว่าด้วยวาทกรรมแทรกแซงกิจการภายใน มองจากมุมคนข้างนอกมายังประเทศไทยว่าเห็นอะไรจากข้อถกเถียงกล่าว และในฐานะคนที่มีประสบการณ์ในองค์กรระหว่างประเทศ สถานการณ์การเมืองไทยส่งผลอย่างไรต่อภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติ

คุณเป็นชาวอเมริกันและทำงานในญี่ปุ่น อะไรเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณสนใจติดตามการเมืองไทย
ผมทำงานกับองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ประมาณ 12 ปี ก่อนจะย้ายไปญี่ปุ่น ที่แรกที่ผมไปประจำคือ UNDP ประจำประเทศไทย ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร หน้าที่หลักของผมก็คือการสื่อสารงานของ UN ในมิติต่างๆ ตอนผมมาประจำที่กรุงเทพฯ เป็นช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงพอดี นั่นทำให้ผมต้องทำความเข้าใจภูมิทัศน์การเมืองไทยให้ลึกขึ้น เพราะผมต้องรายงานข่าวสารที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆ ด้วย
งานของผมยังทำให้มีโอกาสได้พบปะกับผู้คนในแวดวงการเมืองและผู้กำหนดนโยบายในไทยอยู่บ่อยครั้ง แม้หลักๆ แล้วเรื่องที่ผมสนทนาด้วยจะเป็นการสนับสนุนประเด็นสำคัญของ UN เช่น การส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในทางการเมือง การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ หรือความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับพลวัตการเมืองของไทย และจุดประกายความสนใจของผมมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้น ผมได้ไปประจำอยู่หลายประเทศในแอฟริกา ปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ที่ผมประจำอยู่ซูดาน ตอนนั้นความขัดแย้งกำลังคุกรุ่น จากนั้นก็ปะทุเป็นสงครามการเมือง แล้วผมก็ย้ายไปที่เลโซโทในปี 2014 ตอนนั้นก็มีเหตุการณ์ที่กองทัพเลโซโทบุกยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีทาบาเน (Tom Thabane) จนทำให้นายกฯ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ จากนั้นเลโซโทก็เข้าสู่ห้วงเวลาที่ไร้ซึ่งเสถียรภาพ ตอนนั้นผมมีบทบาทในการให้คำปรึกษาเพื่อให้มีแผนการจัดการเลือกตั้งทั่วไปด้วย ผมเลยคุ้นเคยกับประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองอยู่มาก
ดูเหมือนคุณจะมีประสบการณ์ในประเทศที่มีรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งนั้นเลย ถ้าย้อนมามองไทย คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ผมมีประสบการณ์ในประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยยังไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างเข้มแข็งมาประมาณหนึ่ง แต่พูดได้ว่าหลายประเทศอยู่ในสภาวะที่แย่กว่าไทยมาก อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าไม่เคยมีช่วงไหนเลยที่จะพูดได้เต็มปากว่าไทยเป็นประชาธิปไตย คำที่ใช้อธิบายระบบการปกครองของไทยได้ดีที่สุดคงเป็น ‘Electoral Autocracy’ คือระบอบเผด็จการแบบมีเลือกตั้ง ในระบอบดังกล่าว การเลือกตั้งจะถูกจัดขึ้น ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม (Free and Fair Election) แต่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลมักจะเผชิญกับข้อจำกัดและไม่สามารถบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีสถาบันอันทรงอำนาจอื่นๆ เข้ามาควบคุมอยู่เสมอ
อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคือกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลของไทยค่อนข้างผุพัง ซึ่งกลไกการตรวจสอบเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือฝ่ายบริหารทำงานโดยไม่มีการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ส่วนฝ่ายตุลาการก็ขาดการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพจากฝ่ายนิติบัญญัติ ในระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง ฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกำกับดูแล แต่ในประเทศไทย ความสมดุลนี้ถูกทำลายลงด้วยรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยกองทัพและได้รับการรับรองโดยสถาบันกษัตริย์ ดังนั้น แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ระบบโดยรวมกลับขาดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอย่างที่ควรจะเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย
กลับมาที่ปัจจุบัน คุณมองอย่างไรกับการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และสัปดาห์ต่อมาก็ตามมาด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกฯ
สำหรับกรณีคำตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ผมเชื่อว่าใครๆ ก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ส่วนกรณีนายกฯ เศรษฐาหลุดจากเก้าอี้ เอาจริงๆ ไม่ได้คาดไว้แบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในการเมืองไทย แนวคิดที่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิชาการที่ศึกษาการเมืองไทยอย่าง ‘รัฐพันลึก’ (Deep State) ที่ Eugénie Mérieau นำมาวิเคราะห์การเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ 2540 และ แนวคิด ‘เครือข่ายกษัตริย์’ (Network Monarchy) ที่ถูกนำเสนอโดย Duncan McCargo ยังใช้ในการทำความเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันได้
ผมมองว่าสถาบันทางการเมืองอย่างศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการรักษาเครือข่ายรัฐพันลึก ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของเครือข่ายกษัตริย์และมีอิทธิพลมากกว่าสถาบันอื่นๆ ในประเทศไทย แต่ถ้าจะให้เจาะลึกไปถึงสายสัมพันธ์อันทับซ้อนของเครือข่ายเหล่านี้ผมคงไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้เท่านักวิเคราะห์ไทย
คุณค่อนข้างแอคทีฟในการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยในโซเชียลมีเดียอย่าง X ซึ่งมักจะมีความคิดเห็นทำนองว่าคุณเป็นชาวต่างชาติ เป็นคนนอก ทำไมมายุ่งกับการเมืองไทย คุณมองความเห็นเหล่านี้อย่างไร
มีคนบอกว่าผมก็แค่นักวิจารณ์ต่างชาติ บางคนก็บอกว่าผมเข้ามายุ่งเรื่องภายในของประเทศไทย ก็ไม่ปฏิเสธนะ เขาก็พูดถูก (หัวเราะ) แต่ในมุมมองของผม ในสังคมที่มีเสรีภาพและเปิดกว้าง อย่างสังคมอเมริกาที่เป็นบ้านเกิดของผม และสังคมญี่ปุ่นที่ผมทำงานอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำหรือรัฐบาลต่างชาติถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเสรี คุณต้องยอมรับสิ่งนี้ให้ได้ ผมไม่สนว่าพวกเขาจะชอบหรือเกลียด จะหัวร้อนหรือเดือดกับคำพูดผมแค่ไหน แต่ตราบใดที่มีเสียง ผมก็จะพูด ผมกำลังใช้เสรีภาพในการแสดงออกอยู่ และนี่เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการใช้ชีวิตในสังคมประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ
ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แค่เพราะเป็นชาวต่างชาติ คุณต้องตั้งคำถามแล้วนะว่ากำลังอยู่ในสังคมแบบไหน
คุณได้อ่านเอกสารที่รัฐบาลไทยตอบกลับรายงานของผู้รายงานพิเศษของ UN กรณีข้อกังวลต่อการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งมีส่วนที่ระบุถึงข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมาย ม.112 แล้วหรือยัง? ในฐานะที่คุณมีประสบการณ์ใน UN มามากกว่าทศวรรษ คุณมองท่าทีของรัฐบาลไทยที่สะท้อนผ่านตัวอักษรเหล่านี้อย่างไรบ้าง
จริงๆ ไม่ต้องอ่านก็รู้ได้เลยว่าจะตอบแบบไหน ถ้าไปดูตามเอกสารที่เคยมีมา โดยเฉพาะรายงาน UPR (Universal Periodic Review) ซึ่งไทยในฐานะประเทศสมาชิกของ UN มีพันธะที่จะต้องให้หน่วยงานของ UN ตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศของตน ในทุกๆ สี่ปีครึ่ง ในรายงาน UPR ครั้งล่าสุดและครั้งก่อนหน้า ประเทศไทยใช้ ‘ภาษาเดียวกัน’ ในการปกป้องการมีอยู่ของมาตรา 112 โดยให้เหตุผลว่ากฎหมายนี้จำเป็นต่อการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าไทยจะได้รับข้อเสนอแนะหรือข้อกังวลใดก็ตาม หากประเด็นที่ถูกหยิบยกมารายงานเกี่ยวกับมาตรา 112 นักโทษทางการเมือง การจับกุมนักกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น หรือข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ภาษาที่ใช้ในการตอบกลับข้อกังวลเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย คุณลองไปค้นดูรายงาน UPR ปีก่อนๆ ได้เลย ก็จะเห็นเซ็ตคำตอบสำเร็จรูปที่รัฐไทยเอาไว้ตอบข้อเสนอแนะ จะอีกกี่เอกสารก็เดาได้หมดแล้วว่าจะตอบแบบไหน
เอาเข้าจริงแล้ว UN ถือว่ามีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการส่งเสริมประชาธิปไตย
อันที่จริงบทบาทของสหประชาชาติคือการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ซึ่งในร่มเงาของเรื่องสิทธิมนุษยชนก็จะมีเรื่องสิทธิที่จะโหวต สิทธิในการแสดงออก สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และอื่นๆ ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นรากฐานของประชาธิปไตย การส่งเสริมสิทธิเหล่านี้เลยเหมือน UN ส่งเสริมประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
แต่การตีความแบบตีขลุมไปว่า UN ส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ เป็นประชาธิปไตยนั้นนำมาซึ่งปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะหลายประเทศอ่อนไหวกับคำว่าประชาธิปไตย อดีตเพื่อนร่วมงานผมเคยเล่าว่าเขาถูก ‘เลกเชอร์’ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในประเทศหนึ่งว่าคุณไม่เข้าใจระบบของเรา จะมาบอกให้เราเป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ล้ำเส้น ซึ่งไม่มีใครปรารถนาให้เกิดการเผชิญหน้าแบบนี้แน่ เพราะมันจะทำลายสายสัมพันธ์ในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน เมื่อไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายจะตีความว่าเป็นคุณค่าแบบประชาธิปไตย ที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือเข้าใจไปว่าหมายถึงประชาธิปไตยที่เป็นรูปแบบการปกครอง คุณต้องพยายามวางตัวเป็นกลาง หลีกเลี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสายสัมพันธ์ นี่คือสิ่งที่ผมเคยได้ยินมา
สำหรับผม การผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในระบอบประชาธิปไตยนั้นท้าทายกว่ามาก เพราะถ้าพูดถึงสิทธิมนุษยชน รัฐมักเลือกที่จะส่งเสริมสิทธิบางประการและเลือกที่จะหลับหูหลับตากับบางเรื่องได้ เช่น ในประเทศไทย สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกค่อนข้างถูกจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับประเด็นสถาบันฯ แต่ในทางกลับกัน สิทธิที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม การบรรเทาความยากจน การเข้าถึงน้ำ อาหาร และที่อยู่อาศัย มักได้รับการตอบสนองมากกว่า ดังนั้นผมขอสรุปว่าการสนับสนุนประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน คุณอาจสร้างความร่วมมือได้ในบางประเด็น แต่ก็อาจเผชิญกับการต่อต้านหรือการไม่ร่วมมือได้ในประเด็นอื่นๆ
กรณีของไทย ทุกครั้งที่ UN องค์กรด้านสิทธิจากต่างประเทศ หรือทูตจากประเทศต่างๆ แสดงความกังวลต่อประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนหรือหลักการประชาธิปไตย วาทกรรมว่าด้วยการแทรกแซงจากต่างชาติดูจะถูกขับเน้นอย่างหนักหน่วงในหมู่อนุรักษนิยมไทย คุณมองประเด็นนี้อย่างไร
อันดับแรกคุณต้องแยกแยะให้ได้ระหว่างการสนับสนุนกับการแทรกแซง มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว สหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรปสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยเพราะเขาเชื่อในค่านิยมนี้ และค่านิยมนี้ก็ค้ำจุนผลประโยชน์ของประเทศ การสนับสนุนไม่เท่ากับการแทรกแซงอยู่แล้ว ตราบใดที่สหรัฐฯ ไม่ได้ส่งทหารเข้ามา CIA ไม่ได้ส่งคนมาแทรกซึมในรัฐบาลหรือศาล การกระทำนั้นย่อมไม่ถือเป็นการแทรกแซง ถามว่าการแสดงความกังวลหรือการพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้านที่กำลังจะถูกยุบมันนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นนั้นเหรอ ก็ไม่ คุณจะเอาอะไรมาบอกว่าเป็นการแทรกแซง
อีกอย่าง คนที่หยิบยกวาทกรรมการแทรกแซงมาปลุกปั่นดูจะไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับบทบาทของทูต หรืออาจจะเข้าใจแต่จงใจบิดเบือนให้เป็นการแทรกแซงให้ได้ ผมมองว่านี่เป็นปฏิกิริยาของคนที่ยอมรับไม่ได้ว่าบ้านเมืองตัวเองกำลังมีปัญหาบางอย่างอยู่ และแค่อยากใช้วาทกรรมปลุกความชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคำวิพากษ์วิจารณ์
แล้วข้อวิจารณ์ที่บอกว่าชาติตะวันตกไม่รู้จักมารยาททางการทูตนั้นฟังขึ้นไหม
คนที่บอกว่าการที่กลุ่มทูต 18 ประเทศ พูดคุยกับคุณพิธาก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลเป็นเรื่องผิดมารยาทน่าจะไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของทูตคืออะไร บทบาทของทูตไม่ใช่แค่เพียงเป็นตัวแทนรัฐในการดำเนินนโยบายทางการทูตเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือประเทศอื่นใดในไทย ทูตยังมีบทบาทในการทูตสาธารณะ (Public Diplomacy) คือพูดคุย หารือ และสื่อสารในประเด็นที่รัฐทั้งสองมีความกังวลหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี รวมไปถึงการสื่อสารคุณค่าและหลักการที่ประเทศของตนส่งเสริมไปยังประเทศที่ไปประจำการ ในกรณีนี้ของทูต 18 ประเทศนี้คือการส่งสารว่าเรากำลังจับตามองอยู่
การทูตสาธารณะเป็นการสื่อสารอย่างเปิดเผยและโปร่งใส และทำได้หลายรูปแบบ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ จัดงานเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพ ทุกวันที่ 4 กรกฎาคมของปี แม้งานเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นงานเฉลิมฉลองธรรมดาๆ แต่ก็เป็นอีกพื้นที่ในการถ่ายทอดค่านิยมประชาธิปไตย ซึ่งหยั่งรากในประวัติศาสตร์การสร้างชาติของสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้คนจากหลายแวดวง สื่อสารความเชื่อในประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนแก่สาธารณชน คนที่วิจารณ์ว่าผิดมารยาทน่าจะไม่รู้ว่าทูตก็แสดงบทบาทนี้ได้ด้วย
ถ้าไทยยังเพิกเฉยต่อข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนต่อไปเรื่อยๆ จะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
คำถามว่าผลที่ตามมาคืออะไร ไม่สำคัญเท่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจะส่งผลต่อเสรีภาพและการแสดงออกคนในชาติอย่างไร สำหรับผม มองว่าชนชั้นนำไทยไม่ได้สนใจสายตานานาชาติขนาดนั้นอยู่แล้ว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของชนชั้นนำคือความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์และการรักษาผลประโยชน์ของเครือข่ายไว้ให้ได้ ดังนั้น ข้อกังวลหรือการตอบโต้จากต่างชาติจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าเป้าหมายทางการเมืองเหล่านี้ แม้การกดปราบผู้เห็นต่างจะเป็นการบ่อนทำลายหลักการประชาธิปไตยและอาจนำมาสู่ความวุ่นวายทางการเมือง แต่ผมมองว่าชนชั้นนำคิดคำนวณแล้วว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา
แต่มีบางคนหยิบยกประเด็นที่ว่าหากไทยไม่อยู่ในร่องในรอยของประชาธิปไตยจะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับชาติอื่น โดยเฉพาะชาติตะวันตก และอาจส่งผลต่อการเจรจาทางการค้าด้วย
ข้อกังวลนี้ฟังขึ้น เพราะรัฐบาลเพื่อไทยหมายมั่นจะเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) กับสหภาพยุโปให้สำเร็จ ซึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าประมงอาจได้รับผลกระทบทางอ้อม เพราะข้อตกลงเหล่านี้มักเรียกร้องให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานและหลักการประชาธิปไตย แม้จะดูเป็นคนละส่วนกับการเมืองภาพใหญ่ แต่ไม่มากก็น้อย ความถดถอยของประชาธิปไตยในไทยย่อมส่งผลกับการเจรจา
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าไทยจะไม่มีทางเลือกเสียทีเดียว หากการเจรจากับประเทศที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตยเข้มงวดสร้างอุปสรรคในการเจรจา ไทยอาจเปลี่ยนไปเจรจากับประเทศที่มีเงื่อนไขน้อยกว่า ที่ผ่านมาเราเห็นแล้วว่าไทยมีความยืดหยุ่นสูงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และปรับเปลี่ยนทิศทางได้ทันท่วงทีเสมอเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
เดือนหน้า (ตุลาคม 2024) จะมีการเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) วาระปี 2025-2027 แล้ว ซึ่งไทยก็ลงชิงตำแหน่งด้วย ข้อกังวลจากต่างชาตินับตั้งแต่มีการยุบพรรคก้าวไกลจะส่งผลต่อการได้รับเลือกไหม
ผมไม่คิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดของไทยจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่กำลังจะมีขึ้น มันอาจจะเป็น unpopular opinion อยู่หน่อย แต่ประเทศ เช่น จีน คิวบา หรือซาอุดิอาระเบียที่เคยได้รับเลือก ต่างก็มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอยู่หลายมิติ และที่ได้รับเลือกก็ไม่ใช่เพราะประเทศเหล่านี้ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย แต่เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีและพหุภาคีที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถดึงคะแนนเสียงจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ได้
ดังนั้น การเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนขึ้นอยู่กับการล็อบบี้และการสนับสนุนทางการทูตมากกว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศนั้นๆ เพียงปัจจัยเดียว ดังนั้น แม้ว่าชาติตะวันตกหรือประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ จะมองสถานการณ์ล่าสุดของการเมืองไทยในแง่ลบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะถูกกีดกันออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเสมอไป
สิ่งที่น่าจับตามองคือไทยจะใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ทางการทูตได้ดีเพียงใด ส่วนคำวิจารณ์จากภาคประชาชนหรือผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนในเรื่องคุณสมบัติของไทย ที่หลายฝ่ายบอกว่าอยากให้ไทยถอนตัว คำวิจารณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริง แต่หากพูดบนฐานของความเป็นจริง ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะตัดสินว่าไทยไม่ควรเข้าร่วม
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่หลายคนจะบอกว่าระบบแบบนี้ไม่ยุติธรรม เพราะประเทศที่มีประวัติไม่ดีในด้านสิทธิมนุษยชนยังเข้าไปนั่งได้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ผมมองว่าหาก UN กลายเป็นสโมสรในอุดมคติ ที่เป็นการรวมตัวกันของประเทศประชาธิปไตยหรือประเทศที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนเท่านั้น ประสิทธิภาพการทำงานคงลดลงและคงไม่สามารถผลักดันหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมได้ การมีอยู่ของ UN จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกประเทศ เพื่อคงไว้ซึ่งช่องทางติดต่อสื่อสารที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง ผมเชื่อว่า UN หรือหน่วยย่อยอย่างคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสามารถปรับปรุงมาตรฐานสิทธิมนุษยชนของประเทศที่ยังขึ้นชื่อว่าประวัติไม่ดีได้ ทีละเล็กละน้อยผ่านการหารือและการมีส่วนร่วม
อย่าลืมว่าระบบของ UN มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการสนทนาและแก้ไขปัญหาผ่านการมีส่วนร่วมมากกว่าการแยกออก มันอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่ก็เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการคงไว้ซึ่งระบบที่เปิดกว้างและการรวมกลุ่มของประเทศที่หลากหลาย แน่นอน การวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือทุกชาติได้มีปากมีเสียงในระบบที่ไม่เป็นไปตามอุดมคติแบบนี้