การระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ทำให้นักการเงินอย่างผมต้องรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับ ‘เอเลียนสปีชีส์’ (alien species) หรือที่แปลเป็นไทยว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งผมจำได้แบบงูๆ ปลาๆ ว่าเป็นสัตว์หรือพืชจากประเทศหนึ่งที่ย้ายถิ่นฐานมากตั้งรกรากที่ประเทศหนึ่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด!
ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักธรรมชาติวิทยาอธิบายคำว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไว้ในหนังสือ Anti-Greenwash CSR : คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ โดยชวนให้เราลบเขตแดนประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้น แล้วมองไปที่ความสามารถในการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติแล้วเหล่าสัตว์และพืชจะเผชิญข้อจำกัดต่างๆ ทั้งความสามารถในการเคลื่อนที่ สภาพภูมิอากาศ อาหาร และสิ่งมีชีวิตคู่แข่ง ทำให้สัตว์และพืชมีพื้นที่ในการกระจายพันธุ์ที่จำกัด
“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์เดียวในโลกที่สามารถเดินทางไปแทบทุกแห่งได้ด้วยความรวดเร็วจากยานพาหนะต่างๆ ทั้งรถยนต์ เรือ และเครื่องบิน ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันมนุษย์ได้นำพาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ติดสอยห้อยตามไปด้วย ทั้งที่โดยตั้งใจ เช่น สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ และสัตว์ที่ติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ยุง มด หรือหนู” ดร.นณณ์ กล่าวในหนังสือ
เมื่อพืชหรือสัตว์เดินทางข้ามเขตกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติมาสู่ดินแดนแห่งใหม่ เราจะเรียกพวกมันว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น “แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศใหม่และขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ พร้อมทั้งทำลายสมดุลในระบบนิเวศจนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เราจะเรียกสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ว่า ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน’ (Invasive Alien Species)”
ดร.นณณ์เน้นย้ำว่าต้องแยกแยะชนิดพันธุ์ต่างถิ่นและชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานให้ชัดเจน เพราะพืชหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง มะละกอ และพริก ต่างก็เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งสิ้น แต่ชนิดพันธุ์เหล่านี้ไม่สามารถกระจายพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ จึงไม่สร้างผลกระทบด้านลบในแง่ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
ส่วนปลาหมอคางดำที่กำลังระบาดในปัจจุบันก็ชัดเจนว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เพราะความทนทายาทซึ่งสามารถปรับตัวอยู่ในน้ำได้เกือบทุกประเภท แพร่พันธุ์รวดเร็ว และกินสารพัดอาหารทั้งพืช สัตว์ และลูกปลาต่างๆ ทำให้ปลาหมอคางดำอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สร้างผลกระทบมหาศาลต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ซึ่งในแวดวงวิชาการเรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่า ‘การรุกรานทางชีวภาพ’ (biological invasion)
ด้วยความรู้ทางระบบนิเวศอันน้อยนิดของผู้เขียน ในบทความนี้ผมเลยขอพาผู้อ่านไปพิจารณาด้านมิติทางเศรษฐกิจ ว่าเหล่าเอเลียนผู้รุกรานเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไร และคิดเป็นมูลค่าเท่าไร โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย
ราคาของการรุกรานทางชีวภาพ
รายงานโดยเวทีระหว่างรัฐบาลว่าด้วยนโยบายวิทยาศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศ (Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services หรือ IPBES) เปิดเผยว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานคือภัยคุกคามสำคัญต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วโลก โดยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานรวมกันกว่า 3,500 ชนิดที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ การรุกรานทางชีวภาพโดยรวมแล้วสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 4.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงาน IPBES ยังย้ำอีกว่าการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอาจก่อปัญหาที่หลายคนคาดไม่ถึงคือซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการรุกรานทางชีวภาพคือประชาชนที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติโดยตรง อาทิ ชาวประมง หรือเกษตรกรซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มเปราะบางและรายได้ต่ำ รวมถึงชาติพันธุ์พื้นถิ่นที่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าคนเมือง
อย่างไรก็ตาม IPBES ไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่จับตาปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน เพราะยังมีกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่ริเริ่มโครงการชื่อว่า InvaCost ตั้งแต่ปี 2014 เพื่อรวบรวมข้อมูลและผลการศึกษาที่ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานทั่วทุกมุมโลกเข้ามาวิเคราะห์เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน โดยผลกระทบจากการรุกรานทางชีวภาพอาจแบ่งคร่าวๆ ออกเป็นผลกระทบห้าภาคส่วนดังนี้
- ภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นพืชผลเสียหาย ผลผลิตลดลง หรือต้นทุนในการกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้น
- ภาคป่าไม้ ทั้งปริมาณไม้ที่ผลิตได้ลดลง และต้นทุนในการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น
- โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน อาคาร หรือโครงข่ายสาธารณูปโภคซึ่งได้รับความเสียหายหรือเสื่อมสภาพ
- การท่องเที่ยว ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงย่อมส่งผลให้ตัวเลขรายได้ลดลงตามไปด้วย
- ด้านสาธารณสุข เพิ่มความเสี่ยงจากโรคระบาด จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิต รวมถึงต้นทุนในการควบคุมโรค
ต้นทุนส่วนเพิ่มในทางเศรษฐศาสตร์จากการเผชิญกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานจึงแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก คือความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการศึกษาของ InvaCost พบว่าต้นทุนทั้งสองประเภทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเสียทางทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ภาพจาก InvaCost
ไม่น่าแปลกใจนักที่ตัวเลขของ IPBES และ InvaCost จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก เพราะหากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าที่มาของตัวเลขจากทั้งสองงานวิจัยนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย IPBES จะเน้นมูลค่าของบริการจากระบบนิเวศ เช่น น้ำสะอาด อากาศดี ที่ช่วยหนุนเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ แต่ในทางกลับกันงานวิจัยส่วนใหญ่ในฐานข้อมูลของ InvaCost เน้นเรื่องต้นทุนในการบริหารจัดการของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช
แต่อย่างน้อยที่สุด ความพยายามแปลงผลกระทบดังกล่าวให้เป็นตัวเลขก็อาจทำให้ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายพอจะมองเห็น ‘ขนาด’ ของผลกระทบ รวมถึงความเร่งด่วนและจำเป็นในการแก้ไขปัญหานั่นเอง
เหล่า ‘เอเลียน’ ที่รุกรานไทย
ประเทศไทยเองก็เผชิญชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานอยู่อย่างเนืองๆ ในฝั่งพืชก็มีชนิดพันธุ์ที่เรารู้จักกันดีอย่างผักตบชวา (Eichhornia crassipes) พืชประจำถิ่นอเมริกาใต้ที่ระบาดเรื้อรังในไทยมาอย่างยาวนาน สร้างปัญหากีดขวางการจราจรทางน้ำอีกทั้งยังบดบังแสงอาทิตย์และลดออกซิเจนในน้ำอีกด้วย ส่วนอีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจไม่รู้จักแพร่หลายมากนักคือขี้ไก่ย่าน (Mikania micrantha) พืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาที่มาพร้อมกับความสามารถพิเศษในการปล่อยสารพิษยับยั้งการงอกและการเจริญเติบโตของพืชที่อยู่ข้างเคียง
ส่วนฝั่งสัตว์ก็มีตัวชูโรงอย่างเหล่าอดีตสัตว์เลี้ยงที่หลายคนอาจคุ้นเคยแต่ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวในระบบนิเวศอย่างเช่น เต่าแก้มแดง (Trachemys scripta elegans) และปลาซักเกอร์ (Pterygoplichthys pardalis) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้เป็นสัตว์ที่กินเก่ง ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม ขยายพันธุ์เร็ว และค่อนข้างดุร้าย โดยเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรของเหล่าปลาและเต่าท้องถิ่นของไทย ส่วนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานซึ่งสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เช่น หอยเชอรี่ (Pomacea canaliculata) ที่ชื่นชอบต้นอ่อนข้าว และหอยทากยักษ์แอฟริกัน (Achatina fulica) ศัตรูพืชตัวร้ายที่กินอาหารเป็นพืชกว่า 500 ชนิด
การคำนวณโดยนักเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลจาก InvaCost ระบุว่าการรุกรานทางชีวภาพของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในไทยคิดเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจของไทยราวปีละ 30,000 ล้านบาท ซึ่งผู้เขียนขอย้ำสักหน่อยว่าตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมมูลค่าของความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และการสูญเสียชนิดพันธุ์พื้นถิ่นซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะแปลงเป็นตัวเลข
การระบาดของปลาหมอคางดำ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานชนิดใหม่ของไทย อาจสร้างความเสียหายมหาศาลต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำ จึงจำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม มาตรการต่างๆ ที่นำมาใช้อาจต้องมองอย่างรอบด้านเพื่อป้องกันผลกระทบที่คาดไม่ถึง เช่น การตั้งราคารับซื้อที่สูงกว่าตลาดอาจกลายเป็นแรงจูงใจที่นำไปสู่การเพาะเลี้ยง การปล่อยชนิดพันธุ์นักล่าอาจเกินกำลังรองรับของระบบนิเวศเดิม หรือการปล่อยปลาตัดแต่งพันธุกรรมอาจส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ท้องถิ่น ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอบอกตามตรงว่าอย่าคาดหวังเยอะว่ามาตรการใดๆ จะใช้แก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะการศึกษาที่ผ่านมาบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าความพยายามควบคุมชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานซึ่งเริ่มแพร่ระบาดในทางน้ำเปิดซึ่งเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำอื่นๆ นั้นส่วนใหญ่ไม่ประสบผลสำเร็จ
นี่คือเหตุผลที่รายงาน IPBES ระบุอย่างชัดเจนว่าทางเลือกที่ต้นทุนต่ำและมีประสิทธิผลมากที่สุดคือ ‘ป้องปรามและเตรียมพร้อม’ รับมือภัยคุกคามจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน ทั้งความเข้มงวดเรื่องการนำเข้า การควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพบริเวณชายแดน รวมถึงการกำกับดูแลการเพาะเลี้ยงชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในทางน้ำเปิดอย่างเคร่งครัด
ปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีกฎหมายโดยตรงที่กำกับดูแลเรื่องชนิดพันธุ์ต่างถิ่น แต่เป็นการควบคุมแบบกระจัดกระจายในกฎหมายฉบับต่างๆ อาทิ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562, พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ความตื่นตัวของประชาชนเรื่องชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในตอนนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะรื้อโครงสร้างการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ปิดช่องโหว่ที่หละหลวมจนนำไปสู่การรุกรานทางชีวภาพ โดยการสร้างมาตรฐานกลางเพื่อการป้องปรามและจัดการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เอกสารประกอบการเขียน
IPBES Invasive Alien Species Assessment: Summary for Policymakers
InvaCost, a public database of the economic costs of biological invasions worldwide
InvaCost: Economic cost estimates associated with biological invasions worldwide
Global Costs of Biological Invasions: Living Figure
Ecosystem under siege: Tackling invasive species in Thailand
มาตรการทางกฎหมายในการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น