“วันไหนกองทัพถึงจุดจบ เราก็หวังจะได้กลับบ้าน” ฉากชีวิตผู้หญิงพม่าหลังรัฐประหาร และการประกอบใหม่ของความหวัง

ไม่มีใครอยากจากบ้านไป เว้นแต่บ้านจะไล่ล่าคุณ ไฟร้อนแผดเผาใต้เท้าของคุณ เลือดร้อนในท้องของคุณ

คุณไม่คิดจะจากบ้านจนกว่าใบมีดแหลมร้อนจะจ่อที่คอของคุณ

ส่วนหนึ่งจากบทกวี Home ของวอร์ซาน เชียร์ (Warsan Shire) ที่ถ่ายทอดความเจ็บปวดของผู้พลัดถิ่นซึ่งถูกผลักไสให้ออกจากแผ่นดินเกิดเพราะความรุนแรงและความไม่สงบภายใน คงใช้บอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพม่าตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารขึ้นในพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 พรมแดนไทย-พม่าแทบไม่เคยว่างเว้นไปจากผู้หนีภัยการสู้รบและการประหัตประหารของกองทัพ ทุกครั้งที่มีปฏิบัติการทางอากาศเกิดขึ้นในพื้นที่ติดกับชายแดนไทย โดยเฉพาะบริเวณรัฐกะเหรี่ยง เรามักจะเห็นภาพอันน่าสะเทือนใจที่ผู้คนหอบลูกหลานหนีตายข้ามแม่น้ำเมยมาฝั่งไทย

ท่ามกลางสถานการณ์ที่การปราบปรามประชาชนยังดำเนินไปอย่างรุนแรงและความสูญเสียยังมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ‘ผู้หญิง’ เป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับความเปราะบางยิ่งขึ้นไปอีก สถานการณ์หลังการรัฐประหารทำให้การกระทำความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ (gender-based violence) เพิ่มสูงขึ้น ผู้หญิงที่เข้าร่วมการต่อต้านรัฐบาลทหารจำนวนมากถูกจับกุมและซ้อมทรมาน ผู้หญิงหลายคนต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ปัญหาซ้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาวะที่บ้านเมืองพม่าไร้ขื่อแปเช่นนี้ บีบบังคับให้ผู้หญิงต้องหันหลังจากบ้านและออกมาเผชิญความท้าทายในแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคย

101 สนทนากับสามผู้หญิงพม่าที่จากบ้านเกิดมาอยู่ไทยหลังการรัฐประหาร พูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตที่พลิกผัน พร้อมกับความฝันที่พังทลาย การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในไทยมีความท้าทายอย่างไรบ้าง และพวกเธอมีความหวังต่ออนาคตของพม่าอย่างไรบ้าง

หนึ่งคือนักข่าวมากประสบการณ์ที่จำจากบ้านเพราะการทำอาชีพที่เธอรักกลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต

หนึ่งคือนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีที่รอวันทวงความยุติธรรมคืนสู่ผู้หญิงพม่า

หนึ่งคือนักศึกษาที่อนาคตทางวิชาการหยุดชะงักและต้องจากลาบ้านมาเริ่มต้นใหม่ที่ไทย

นี่คือการรัฐประหารครั้งแรกในชีวิตที่พวกเธอได้สัมผัส เรื่องราวต่อจากนี้ช่วยตอกย้ำว่าการปกครองโดยเผด็จการทำลายชีวิตและความฝันของผู้คนได้มากแค่ไหน

“หลังรัฐประหาร การรายงานข่าวอาจทำให้คุณถึงตายได้” ชีวิตสื่อมวลชนบนปลายกระบอกปืนของ ‘เมี๊ยะ’

“เราเป็นนักข่าวการเมือง รู้ว่าการรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยครั้งในภูมิภาคนี้ เรายังเคยเขียนข่าวตอนที่ไทยมีรัฐประหารอยู่เลย แต่พอมันเกิดกับประเทศตัวเอง เราเตรียมใจรับมือไม่ทัน เรารู้ดีว่าทหารพม่าโหดร้ายแค่ไหน เราเคยทำข่าวและเห็นมาแล้วว่ากองทัพกวาดล้างชาวโรฮิงญาอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นถ้าคนลงถนนต่อต้าน ทหารจะใช้ความรุนแรงแน่ๆ ตอนนั้นความคิดแรกในหัวคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะมาถึง ฉันเพิ่งได้ทุนไปเรียนการทำข่าวสิ่งแวดล้อมระยะสั้นที่ต่างประเทศด้วย แต่พอเกิดรัฐประหารก็รู้แล้วว่าไปไม่ได้แน่ๆ”

1 กุมภาพันธ์ 2021 เมี๊ยะ (นามสมมติ) ยังเป็นนักข่าวโต๊ะการเมืองของสำนักข่าวชื่อดังแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง เธอเล่าย้อนไปหนึ่งวันก่อนเกิดการรัฐประหารว่ากำลังท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่ใกล้ๆ ย่างกุ้ง แต่พอตกดึกความกังวลก็เข้าปกคลุม มีการส่งข่าวในหมู่นักข่าวว่าทหารจะทำรัฐประหารในวันเปิดสภา รุ่งเช้าที่เธอรู้ว่าปฏิบัติการอันไม่พึงปรารถนาจากกองทัพเกิดขึ้นจริงๆ เธอเอาแต่ร้องไห้ด้วยความโกรธ อนาคตของประเทศ อนาคตของลูกสาว และอนาคตของตัวเธอเองดูจะเลือนหายไปในม่านหมอกของเผด็จการ

12 ปีที่แล้ว เมี๊ยะก้าวเข้าสู่อาชีพนักข่าวแบบจับพลัดจับผลู ตอนนั้นเธอเป็นนักศึกษาปีสามที่พ่วงภาระหน้าที่ลูกสาวคนโตของบ้าน จำเป็นต้องหางานที่สร้างรายได้ในระหว่างที่เรียนไปด้วยได้ เมี๊ยะเล่าว่าเธอเป็นลูกสาวของนักการเมืองที่ไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก ออกจะต่อต้านเสียด้วยซ้ำ เพราะการเป็นนักการเมืองของพ่อไม่ได้ช่วยให้สถานะทางเศรษฐกิจในครอบครัวดีขึ้น แต่การเป็นนักข่าวทำให้เธอสนใจการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เมี๊ยะรายงานข่าวการเมืองพม่ามาตั้งแต่ยุคเต็ง เส่ง สู่รัฐบาลพรรค National League for Democracy (NLD) ของอองซาน ซูจี จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารโดยมิน อ่อง หล่าย ที่สั่นคลอนอาชีพสื่อของเธอ

“ก่อนรัฐประหารก็ใช่ว่าสื่อจะมีเสรีภาพเท่าไหร่หรอก แต่หลังรัฐประหาร การรายงานข่าวอาจทำให้คุณตายได้”

เมี๊ยะย้อนทบทวนความทรงจำตั้งแต่เธอเริ่มก้าวเข้าสู่อาชีพนักข่าวในปี 2012 ในยุครัฐบาลกึ่งพลเรือนที่นำโดยเต็ง เส่ง ตอนนั้นสื่อมีเสรีภาพมากขึ้นเล็กน้อยหลังพม่ากำลังเดินหน้าสู่การปฏิรูป

“ตอนนั้นเราสามารถรายงานได้ตรงๆ แบบไม่โดนจับว่ารัฐบาลชุดนี้ก็แค่ถอดยูนิฟอร์มทหารออกแล้วมาเป็นรัฐบาล”

แต่หลังจากการเลือกตั้งในปี 2015 ที่พรรค NLD ของอองซาน ซูจีคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย เสรีภาพสื่อในรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งที่ควรจะเดินหน้าสู่สังคมประชาธิปไตยและเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ความนิยมอย่างถึงขีดสุดของรัฐบาล NLD ทำให้การรายงานข่าวใดที่เป็นการตรวจสอบหรือตั้งคำถามต่อรัฐบาลถูกกระแสโต้กลับจากประชาชน ที่มองว่านักข่าวขัดขวางการการทำงานของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็มีการใช้กฎหมายโทรคมนาคมมาปิดปากสื่อและประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและกองทัพอยู่บ่อยครั้งมากขึ้น

ส่วนสถานการณ์หลังการรัฐประหารในปี 2021 เมี๊ยะเล่าว่าการรายงานข่าวที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์กองทัพนั้นทำไม่ได้เลย แม้แต่คำว่ารัฐบาลรัฐประหารก็ไม่สามารถกล่าวถึงได้ นักข่าวจำนวนมากถูกจับกุม ข่มขู่ และคุกคามถึงชีวิต อีกทั้งมีการออกกฎหมายที่มีโทษหนักเพื่อปิดกั้นการรายงานข่าวของสื่อมากขึ้น หลังนักข่าวอาวุโสในสำนักข่าวที่เมี๊ยะทำงานอยู่ถูกจับกุม เธอก็เริ่มไม่มั่นใจถึงความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว

ในฐานะนักข่าว เมี๊ยะอยากอยู่ในพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วงเพื่อรายงานข่าวอย่างเจาะลึก แต่สี่เดือนหลังการรัฐประหาร เพื่อนของเธอส่งข่าวว่ามีชื่อของเมี๊ยะปรากฏอยู่ในรายชื่อของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะถูกบุกจับกุมวันไหน เมี๊ยะจึงจำใจหนีจากย่างกุ้งไปอยู่ในพื้นที่ของกองกำลังชาติพันธุ์ในป่าใกล้ชายแดน เธอยังคงทำหน้าที่นักข่าวต่อไปแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน การสู้รบในบริเวณที่เธออาศัยอยู่มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัญญาณอินเทอร์เน็ตมาๆ หายๆ อีกทั้งบางกฎระเบียบของกองกำลังชาติพันธุ์ยังทำให้เธอไม่สามารถรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระได้ เมื่อบวกกับความกังวลถึงอนาคตทางการศึกษาของลูกสาววัยสามขวบและสุขภาพแม่ที่มีอายุมากแล้ว เมี๊ยะจึงตัดสินใจข้ามชายแดนมาอยู่ไทยในปลายปี 2022

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในไทยของเมี๊ยะเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนักเมื่อนายจ้างผู้ชักชวนและช่วยเหลือให้เธอย้ายมาอยู่ไทยเลิกจ้างเธอกะทันหันในเดือนที่สามหลังย้ายมา นั่นเป็นช่วงเวลาที่เธอรู้สึกมืดมนที่สุดเพราะเธอมีแม่และลูกต้องดูแล เมี๊ยะใช้เวลาหลายเดือนในการตั้งหลักและหางานใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับ ‘บุคคลไร้สถานะ’ อย่างเธอ

“ตอนมาถึงแรกๆ เราไม่มีเอกสารอะไรเลย สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนั้นคือการซื้อ ‘บัตรตำรวจ’ ต้องจ่าย 300 บาทต่อเดือนแลกกับกระดาษเล็กๆ หนึ่งใบที่เขียนเบอร์ตำรวจไว้ แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะเคลียร์ให้ได้ทุกครั้งที่โดนจับ ฉันโดนจับแบบนับครั้งไม่ถ้วนเลย สุดท้ายเราก็ต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทอยู่ดีถ้าโดนจับ”

เมี๊ยะพยายามจะทำเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเริ่มจากการขอ CI (Certificate of Identity คือเอกสารที่แสดงว่าบุคคลผู้นั้นได้รับการรับรองสัญชาติพม่า มีสิทธิอยู่และขออนุญาตทำงานในไทยได้) ซึ่งต้องไปดำเนินการที่สถานกงสุลพม่าในจังหวัดเชียงใหม่ แต่แล้วก็พบว่าเธอไม่สามารถขอ CI ได้เพราะมีบันทึกในระบบว่าเธอเผยแพร่และรายงานข้อมูลอันถือเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐหรือความสงบเรียบร้อย โดยมีสาเหตุมาจากน้องชายแท้ๆ ของเธอ

“ตอนยังอยู่ที่ย่างกุ้ง น้องชายของฉันสนับสนุนฝั่งทหารอย่างสุดกำลัง เขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร ตรงกันข้ามกับฉันและแม่ นั่นทำให้บรรยากาศในบ้านเราแย่มากๆ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฉันย้ายออกมาด้วย พอเราออกมา พวกเขาพยายามบอกทางการว่าเราอยู่ไหน เขาถึงกับแขวนป้ายที่มีชื่อเก่าของฉันและชื่อปัจจุบันไว้หน้าบ้านแล้วบอกว่าฉันเป็นนักข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เขาไปแจ้งหลายหน่วยงานว่าฉันทำงานแบบนี้จนมีบันทึกไว้ในระบบ แน่นอนว่าฉันตัดพี่ตัดน้องกับเขาไปแล้ว”

ปัจจุบัน เมี๊ยะมีใบอนุญาตทำงาน แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ได้ นั่นทำให้เธอพลาดหลายโอกาสที่จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ในอาชีพนักข่าวของเธอ ตอนนี้ลูกสาวของเมี๊ยะได้เข้าเรียนในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ อีกทั้งเธอยังรับลูกของเพื่อนผู้เป็นนักข่าวที่โดนจับกุมและถูกคุมขังอยู่ในพม่ามาเลี้ยงดูด้วย แม้ดูเหมือนว่าเธอเริ่มจะลงหลักปักฐานที่ผืนแผ่นดินไทยได้แล้ว แต่เธอก็มีความหวังจะได้กลับบ้านเสมอ บ้านในวันที่พม่าได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา

“ฉันรักอาชีพนักข่าวมากนะ เป็นนักข่าวก็ต้องอยากรายงานจากพื้นที่อยู่แล้ว วันไหนกองทัพถึงจุดจบฉันก็หวังจะได้กลับบ้าน ฉันหวังว่ามันจะเป็นวันที่ไม่ต้องรายงานข่าวว่ามีผู้คนถูกจับขังคุกหรือเสียชีวิตเพราะพูดหรือคิดเห็นต่างไปจากใครอีกแล้ว” เธอกล่าวทิ้งท้าย

“การปฏิวัติทางความคิดควรผลักดันไปพร้อมกับการปฏิวัติทางการเมือง” ว่าด้วยสิทธิสตรีและชีวิตนักเคลื่อนไหวของ ‘ดา’

“ก่อนรัฐประหาร เราเคลื่อนไหวยากในแง่ที่ว่าคนเชื่อมั่นในรัฐบาล NLD สูงมากจนต่อต้านภาคประชาสังคม พอหลังรัฐประหาร คนเข้าใจและสนับสนุนเรามากขึ้น แต่เคลื่อนไหวได้ยากเพราะคนที่เรากำลังสู้ด้วยคือทหาร ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงเท่าชีวิต”

ดา (นามสมมติ) เป็นนักเคลื่อนไหวจากย่างกุ้งวัย 27 ปี เธอเริ่มมีบทบาทในการเรียกร้องประเด็นทางสังคม ตั้งแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เธอเริ่มต้นจากการรวมกลุ่มนักศึกษาที่มองว่าสังคมพม่าสนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าที่ควร ขยับขยายการดำเนินงานไปสู่ระดับประเทศโดยร่วมมือกับภาคประชาสังคมต่างๆ เพื่อเรียกร้องในประเด็นที่หลากหลายมากขึ้น เส้นทางนักกิจกรรมของดาพาดผ่านยุคสมัยรัฐบาลพรรค NLD ที่นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘พวกหัวรุนแรง’ ไม่ต่างจากเรื่องราวของเมี๊ยะ กลุ่มใดก็ตามที่กล้าตั้งคำถามกับรัฐบาลที่ได้รับความนิยมสูงเช่นนั้นย่อมถูกจัดว่าเป็นการสร้างความแตกแยก

จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารขึ้นในปี 2021 ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดหรือเคลื่อนไหวในประเด็นใดมาก่อน นักกิจกรรมและประชาชนชาวพม่าทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าภัยคุกคามของชาติคือกองทัพ ผู้คนต่างลงถนนประท้วงเพื่อแสดงเจตจำนงในการต่อต้านการรัฐประหาร

“ตอนที่เเรายังเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศ แต่ละเมืองแต่ละพื้นที่จะมีการออกแบบการประท้วงแตกต่างกันไป มีทั้งที่ประท้วงแบบไม่มีอาวุธและจับอาวุธ แต่พอเวลาผ่านไป ทหารยิ่งใช้ความรุนแรงมากขึ้น เพื่อนของเราถูกจับกุมมากขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติที่เราเก็บตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงกันยายน สองในสามของคนที่ออกมาประท้วงถูกจับกุมและตั้งข้อหาโดยฝ่ายความมั่นคง ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพราะเราตอบไม่ได้ว่าโดนจับไปแล้วจะถูกทรมานแบบไหน การสอบสวนในมือทหารไม่ใสสะอาดอยู่แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าในมือทหารตอนนี้มีรายชื่อใครบ้าง เรามีลูกยังเล็กมาก เลยตัดสินใจว่าต้องไปจากที่นี่”

ดาและครอบครัวเดินทางจากย่างกุ้งและข้ามชายแดนมาสู่แผ่นดินไทยได้อย่างราบรื่นในปลายปี 2021 เธอต้องรอหลายเดือนกว่าจะมีมติ ครม. เปิดลงทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ระหว่างรอดำเนินการเรื่องเอกสาร ดาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าจะโดนจับวันไหน แม้จะมีบัตรตำรวจติดตัวไว้ก็ไม่ช่วยป้องกันจากการถูกจับกุมได้ เธอถูกจับและเรียกสินบนอยู่ราว 4 ครั้ง สิ่งที่น่าเจ็บปวดใจคือลูกชายของเธออยู่ในเหตุการณ์ด้วยถึง 3 ครั้ง

“ทุกครั้งที่โดนจับเราจะรู้สึกเหมือนไปทําความผิดที่ร้ายแรงยิ่งใหญ่มา ตำรวจปฏิบัติกับเราไม่ดีนัก ทั้งน้ำเสียงและท่าทีแบบข่มขู่ มีครั้งหนึ่งที่เราโดนสุ่มจับตอนขับมอเตอร์ไซค์ไปข้างนอก ตอนนั้นเรามีชื่ออยู่ใน name list (บัญชีรายชื่อการขอขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ) แล้ว แต่ตำรวจก็จับเราไปที่สถานีฯ ตอนนั้นลูกก็อยู่ด้วย หลังจากนั้นเขากลายเป็นคนกลัวผู้ใหญ่ไปเลย เวลาจะพาออกไปข้างนอกเราจะไม่ใส่หน้ากากอนามัยให้เพราะกลัวเขาหายใจไม่ออกตอนนั่งรถ มีวันหนึ่งเขาพูดว่า ‘แม่ต้องใส่ให้หนู ถ้าไม่ใส่ตำรวจจะเห็นแล้วเราจะโดนจับไปอีก’ เราปวดใจมากที่เหตุการณ์แบบนี้สร้างแผลใจให้ลูก เราต้องค่อยๆ ปรับความคิดเขาว่าตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว เรามีเอกสารแล้ว เราจะไม่โดนจับอีก”

ความเป็นแม่และความเป็นนักกิจกรรมหญิงทำให้ดาเข้าใจดีถึงความยากลำบากของผู้หญิงที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลทหาร ตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร มีผู้หญิงพม่าที่ถูกจับในข้อหาทางการเมืองแล้วกว่า 5,000 คน มีผู้หญิงเสียชีวิตจากการปราบปรามการชุมนุมและการสู้รบมากกว่า 400 คน และมีผู้หญิงจำนวนมากถูกข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศจากกองทัพ ความเป็นจริงเหล่านี้สะท้อนว่าผู้หญิงตกเป็นเป้าในการกดปราบ ไม่นับว่าผู้หญิงต้องกลายเป็นเสาหลักของบ้านหากมีสมาชิกผู้ชายซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวตามขนบถูกจับกุมหรือสังหาร

ปี 2023 ดาจึงเข้าร่วมกับ Sisters 2 Sisters องค์กรสิทธิสตรีที่ก่อตั้งขึ้นหลังการรัฐประหารเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้หญิงพม่าและสร้างความตระหนักรู้เรื่องความรุนแรงทางเพศ พวกเธอให้การสนับสนุนสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงซึ่งหนีภัยสงครามอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทำแคมเปญรณรงค์บนโลกออนไลน์ รวมถึงเก็บหลักฐานและให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่เผชิญความรุนแรงทุกรูปแบบ

“ความรุนแรงทางเพศ ทางร่างกาย และจิตใจสามารถเกิดกับผู้หญิงได้ทุกที่ และผู้กระทำไม่ใช่แค่ทหารจากกองทัพ แต่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน น่าเศร้าที่พอมีกรณีความรุนแรงเกิดขึ้น คนจะบอกว่าตอนนี้สิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือเราต้องล้มกองทัพให้ได้ เรื่องสิทธิหรือความเท่าเทียมทางเพศเป็นเรื่องรอง ทั้งที่การปฏิวัติทางความคิดมันผลักดันไปพร้อมกับการปฏิวัติทางการเมืองได้

“ในสภาวะที่บ้านเมืองไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ และหลายกรณีเกิดขึ้นในไทยแต่กระทำโดยคนพม่าด้วยกันเอง เราจึงทำได้เพียงการคว่ำบาตรทางสังคมต่อผู้กระทำ เก็บหลักฐานและปากคำรอวันที่สามารถเอาผิดคนเหล่านั้นได้ เราทำงานร่วมกับทีมกฎหมายไทยเพื่อหาแนวทางในการคืนความยุติธรรมให้ผู้ถูกกระทำทุกคน”

แม้ดาจะยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของความขัดแย้งในพม่า แต่เธอเชื่อมั่นว่าอำนาจการปกครองจะหวนคืนสู่ประชาชนพม่าในสักวันหนึ่ง เมื่อการสู้รบยังดำเนินต่อไปและการเคลื่อนย้ายของผู้คนออกจากพม่ายังมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธออยากให้หน่วยงานไทยเข้าใจความยากลำบากที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะตำรวจซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดแต่กลับฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้หนีภัยมากที่สุด ดาคาดหวังว่าจะได้เห็นความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่จริงใจจากรัฐบาลไทย ประเทศที่อาจกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนพม่า

“การรัฐประหารมันแย่เกินกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก” เรื่องของ ‘ตาน’ ที่ถูก(รัฐ)ประหารความฝัน

“ฉันรับรู้ว่าประเทศเราเคยอยู่ใต้การปกครองของเผด็จการทหารผ่านหนังสือและคำบอกเล่าของปู่ ฉันรู้ว่าตอนที่กองทัพกุมอำนาจ ประเทศของเราอยู่ในยุคตกต่ำแค่ไหน พอได้เห็นการรัฐประหารเกิดขึ้นจริงๆ ฉันก็คิดไว้แล้วว่ามันต้องแย่แน่ๆ แต่มันแย่เกินกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก”

ตาน (นามสมมติ) เป็นนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เธอจากบ้านเกิดที่รัฐกะเหรี่ยงมาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในไทยเมื่อปี 2024 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธออยู่ในสถานะนักศึกษา เพราะก่อนเกิดการรัฐประหาร เธอเป็นนักศึกษาสาขาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง การประท้วงที่มีขึ้นทุกหนแห่ง เสียงการสู้รบที่ดังขึ้นรายวันทำให้การเรียนมหาวิทยาลัยของเธอขาดตอนเพราะมหาวิทยาลัยไม่สามารถทำการเรียนการสอนได้เหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าการสู้รบคงไม่จบสิ้นในเร็ววัน เธอก็เริ่มมองหาหนทางในการศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุด

เมื่อครั้งอายุ 18 หมาดๆ ตานเคยข้ามด่านชายแดนมาไทยเพื่อมาทำงานหาเงินช่วยพ่อแม่ แต่แล้วปู่ของเธอก็ล้มป่วยทำให้เธอต้องกลับบ้านเกิดเพื่อไปดูแลปู่ ฐานะของครอบครัวเธอไม่ได้มั่งมีมากนัก ทำให้พ่อและแม่ต้องทำงานอยู่ไทย ส่วนเธอกลับไปรัฐกะเหรี่ยงคนเดียว ตานต้องดูแลปู่ หางานพาร์ตไทม์ทำ และเรียนหนังสือ อาจเรียกได้ว่าเธอต้องเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวที่พม่า เมื่อเกิดการรัฐประหาร ตานไม่เคยเข้าร่วมการประท้วง เพราะมันเสี่ยงเกินไปที่หลานสาวผู้มีปู่ให้ต้องดูแลจะเอาชีวิตไปเสี่ยง แต่เธอได้รับผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและการศึกษา

“ฉันไม่เคยคิดว่าจะออกจากประเทศทั้งที่ยังเรียนไม่จบเลย อยากทำงานในบ้านเกิดด้วย แต่การรัฐประหารดับฝันนั้นไปแล้ว พอเห็นสถานการณ์ตั้งแต่ปีแรกๆ ก็เริ่มวางแผนแล้วว่าจะต้องย้ายมาเรียนที่ไทย แต่ปัญหาคือมหาวิทยาลัยที่พม่าไม่ยอมออกใบรับรองเพื่อโอนย้ายหน่วยกิตและผลการเรียนให้ ฉันยื่นคำขอไปหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ ตอนนั้นรู้แล้วว่าต้องมาเริ่มต้นใหม่ ฉันเลยต้องใช้เวลาเก็บเงินเพราะค่าเทอมหลักสูตรอินเตอร์ที่ไทยค่อนข้างสูง ครอบครัวฉันไม่ได้ร่ำรวยและการรัฐประหารก็ทำให้เศรษฐกิจแย่ขึ้นไปอีก กว่าจะได้มาก็ปี 2024 แล้ว”

ตานเล่าว่าตอนนี้เริ่มปรับตัวกับชีวิตในไทยได้บ้างแล้ว แม้ระยะแรกจะมีอุปสรรคทางภาษา แต่เธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์และเพื่อนๆ เป็นอย่างดี เมื่อถามถึงความคาดหวังต่ออนาคต เธอไม่มีอาชีพในฝันที่แน่ชัด แต่เธอแน่วแน่ว่าจะเติบโตไปเป็นผู้หญิงที่พึ่งพาตัวเองได้ นำความรู้และทักษะที่มีไปพัฒนาบ้านเกิด

“ประเทศของเราตกอยู่ในสภาวะไร้เสถียรภาพมาโดยตลอดก็เพราะทหาร การรัฐประหารปี 2021 ยิ่งทำให้เห็นชัดเลยว่าประชาชนพม่าเกลียดทหาร ตอนนี้กองทัพกำลังล่าถอย ฉันหวังว่าจะได้เห็นจุดจบของเผด็จการในเร็ววัน ถึงวันนั้นฉันจะกลับบ้านอย่างแน่นอน” ตานกล่าวทิ้งท้าย


หมายเหตุ: ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสื่อมวลชนหญิงในไทย พม่า และอินเดีย จัดโดย Borders & Broader Conversations Initiative

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save