วิมุต วานิชเจริญธรรม เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
1.
การพยากรณ์เศรษฐกิจมหภาค คือความพยายามจะมองอนาคตข้างหน้า โดยใช้ข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏในปัจจุบัน มาประมวลเป็นสถานการณ์สมมติของปัจจัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในกาลข้างหน้า และใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ คำนวณค่าตัวเลขที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับอนาคตอันใกล้ออกมา ประหนึ่งเป็นการต่อจุด จากเส้นกราฟที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลจริง โดยจุดต่างๆ ที่ต่อออกไปนั้น คือสิ่งที่คาดการณ์ได้ ณ เวลาปัจจุบัน
ดังนั้นเมื่อปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มที่หักเหจากเดิมหรือมีข่าวสารที่แตกต่างไปจากแต่ก่อนอย่างมีนัยสำคัญ นักวิเคราะห์จำเป็นต้องนำวิวัฒนาการของเหตุการณ์ใหม่นี้มาปรับแก้ค่าพยากรณ์
ดังเช่นเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2563 จากเดิมที่พยากรณ์ไว้ร้อยละ 2.8 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
การระบาดของโรค covid-19 ซึ่งไม่อยู่ในข้อสมมติของการพยากรณ์ในครั้งก่อน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลจนทำให้ ธปท. ต้องปรับประมาณการใหม่ โดยคาดว่า จีดีพีในปีนี้จะหดตัวลงจากมูลค่าในปีก่อน ในอัตราร้อยละ 5.3
การปรับค่าพยากรณ์จากร้อยละ 2.8 เป็น -5.3 นั้นสะท้อนถึงความพลิกผันของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี เมื่อดูในรายละเอียดของแถลงการณ์และเอกสารประกอบ จะเห็นได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ธปท. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวรุนแรงขนาดนี้นั้น มาจากภาคส่งออกและภาคบริการเป็นสำคัญ
กล่าวคือ ธปท. คาดว่าภาคส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีอัตราเติบโตเพียงร้อยละ 0.7 ในปีนี้ โดยที่เศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลักของโลก อาทิสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจะเติบโตในอัตราร้อยละ 0.0 และ -1.9 ตามลำดับ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนี้จะซ้ำเติมธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการที่ต้องสูญเสียนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนไปภายหลังจากที่โรค covid-19 แพร่ระบาดในช่วงตรุษจีน โดย ธปท. คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในปีนี้จะลดลงเหลือเพียงแค่ 15 ล้านคน ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวในปีก่อนหน้าเท่ากับว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงในอัตราร้อยละ 64
อย่างไรก็ดี ข้อสมมติเกี่ยวกับสถานการณ์แวดล้อมที่ ธปท. ใช้คำนวณประมาณการเศรษฐกิจ กลับต้องหมดอายุลงอย่างรวดเร็ว เพราะในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อมา รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สั่งห้ามการดำเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายประเภท ที่นำให้คนจำนวนมากมารวมตัวกันในสถานที่สุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรืองานอีเว้นต์ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (ซึ่งต่อมา ผู้ว่าฯ หลายจังหวัดก็ได้ออกมาตรการในลักษณะเดียวกัน)
จะเห็นได้ว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉินนี้ส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจในเมืองหลวงอย่างมาก และผลกระทบด้านเศรษฐกิจมหภาคนั้นยังไม่ได้ถูกผนวกไว้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของ ธปท.
ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา เจ.พี. มอร์แกน วาณิชธนกิจที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงอีกครั้ง โดยประเมินว่า มาตรการปิดเมืองหรือ lock down ที่หลายมลรัฐประกาศใช้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงอย่างรุนแรงในอัตราร้อยละ 10 ในไตรมาสแรกของปีนี้ และยังจะหดตัวต่อไปอีกร้อยละ 25 ในไตรมาสที่สองของปี นอกจากนี้ยังพยากรณ์ว่าอัตราการว่างงานในปีนี้จะแตะระดับร้อยละ 8.5 ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดนับแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี ค.ศ. 2008 เป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปรับเปลี่ยนรวดเร็วมาก และภาพรวมขณะนี้ได้เลวร้ายลงกว่าข้อสมมติที่ ธปท. ใช้ในการคาดการณ์เศรษฐกิจ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะหดตัวลงมากกว่าร้อยละ 5.3
2.
อันที่จริงประเทศไทยเคยผ่านเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน ซึ่งในครั้งนั้น ประเทศสหรัฐฯ ประสบกับวิกฤตการเงินที่เรียกกันว่า Subprime crisis หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั่นเอง
วิกฤตในครั้งนั้นสร้างสึนามิทางเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเศรษฐกิจไทยนั้นได้รับผลกระทบผ่านทางภาคส่งออก (เพราะประเทศปลายทางประสบวิกฤตเศรษฐกิจ) และผ่านทางห่วงโซ่การผลิต (เนื่องจากประเทศไทยเราอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของธุรกิจในประเทศที่ประสบวิกฤต)
บทเรียนจากอดีตบอกให้เราทราบว่า ผลกระทบจากวิกฤตในประเทศอุตสาหกรรมที่ส่งผ่านช่องทางทั้งสองนั้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนแตกต่างกัน ภูมิภาคใดที่มีโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างรายได้ที่โยงใยกับเศรษฐกิจโลกมาก ภูมิภาคนั้นก็จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตมากตามไปด้วย
จากข้อมูลผลผลิตประชาชาติระดับภูมิภาคในช่วงเวลาปี พ.ศ. 2551-2552 (ปี ค.ศ. 2008-2009) เราสามารถคำนวณการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าผลผลิตที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในแต่ละภูมิภาคได้ ดังที่แสดงให้เห็นในตารางด้านล่างนี้
พ.ศ. 2551 | พ.ศ. 2552 | |
ทั้งประเทศ | 1.73 | -0.69 |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | -0.91 | 6.34 |
ภาคเหนือ | 0.82 | 1.91 |
ภาคใต้ | -0.03 | 2.19 |
ภาคตะวันออก | 2.85 | -2.83 |
ภาคตะวันตก | -0.22 | 0.48 |
ภาคกลาง | 14.71 | -5.40 |
กทม. และปริมณฑล | 0.76 | -1.57 |
จากตารางจะเห็นได้ว่า ภาคกลางและภาคตะวันออกได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในปี ค.ศ. 2008-2009 มากกว่าภูมิภาคอื่น กล่าวคือ มูลค่าผลผลิตของภาคกลางในปี พ.ศ. 2552 ลดลงจากปีก่อนหน้าในอัตราร้อยละ 5.4 ในขณะที่มูลค่าผลผลิตของภาคตะวันออกลดลงในอัตราร้อยละ 2.83
เมื่อพิจารณาลงในระดับกลุ่มจังหวัด จะพบว่ามูลค่าผลผลิตที่ปรับลดรุนแรงนั้นกระจุกตัวอยู่ในภาคกลางตอนบน อันได้แก่จังหวัด สระบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ส่วนภาคตะวันออกนั้น จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา มีมูลค่าผลผลิตที่หดตัวลงในอัตราร้อยละ 3.25
หากโครงสร้างการผลิตในปัจจุบันไม่แตกต่างจากอดีตเมื่อ 12 ปีก่อน เราสามารถต่อจุดไปห้วงเวลาข้างหน้าได้ และคาดเดาได้ว่ากลุ่มจังหวัดเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้อีกเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ภัยคุกคามเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ได้มีเพียงปัจจัยจากภายนอก เพราะประเทศไทยเองก็พบการแพร่ระบาดของ covid-19 เช่นกัน อีกทั้งมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศพร้อม พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้นก็มีผลทางเศรษฐกิจไม่แพ้มาตรการปิดประเทศที่ใช้กันในประเทศอื่นๆ
มาตรการการสร้างระยะห่างทางสังคมในขณะนี้ทำให้ปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างคนในระบบเศรษฐกิจหดหายไปมาก การค้าขายในรูปแบบที่คุ้นเคยกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้ประกอบการหลายรายต้องตัดสินใจหยุดกิจการ บ้างเลือกที่จะลดเวลาทำงานของคนงานลง บ้างก็ต้องปลดคนงานออก เหตุการณ์ในปีนี้อาจเทียบเคียงได้กับเมื่อครั้งที่ประเทศไทยประสบกับวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 ที่ธุรกิจต้องล้มละลายและมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นมาก
หากย้อนอดีตกลับไปดูข้อมูลผลผลิตรายภาค ณ ช่วงเวลานั้น จะเห็นได้ว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนั้นแผ่เป็นวงกว้าง ส่งผลให้แทบทุกภาคมีมูลค่าผลผลิตและรายได้ที่ลดลงต่ำกว่าปีก่อนหน้า และถดถอยติดต่อกันหลายปี
พ.ศ. 2540 | พ.ศ. 2541 | |
ทั้งประเทศ | -2.75 | -7.63 |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | -1.13 | -4.97 |
ภาคเหนือ | 0.89 | -6.35 |
ภาคใต้ | -0.91 | 1.02 |
ภาคตะวันออก | 6.43 | -9.11 |
ภาคตะวันตก | -2.32 | -7.02 |
ภาคกลาง | -0.20 | -8.47 |
กทม. และปริมณฑล | -6.53 | -9.5 |
จากการคำนวณในตารางข้างบนนี้ จะพบว่าบางพื้นที่เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือ มีการหดตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรง คือหดตัวในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 6 ต่อปี ในปี 2541 หรือหนึ่งปีหลังวิกฤต
ข้อสังเกตจากอดีตเตือนเราถึงผลกระทบที่รุนแรงและยืดเยื้อ ทั้งยังครอบคลุมทั่วทั้งประเทศอีกด้วย
เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเทียบเคียงได้กับวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลจึงควรมองถึงอัตราการหดตัวของจีดีพีที่สูงกว่าร้อยละ 5.3 ที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ และควรเตรียมรับมือกับเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างแรงในทุกภูมิภาคเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสองปี
3.
คำถามที่ตามมาคือ หากวิกฤตครั้งนี้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้มากกว่าวิกฤตในอดีต รัฐบาลมีความพร้อมมากเพียงใดในการรับมือ และลดผลกระทบที่ทั้งรุนแรง ยืดเยื้อ และครอบคลุม
รัฐบาลสามารถเรียนรู้จากมาตรการที่นานาประเทศนำมาใช้รับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้ เพราะทุกประเทศต่างเผชิญกับปัญหาแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถถอดบทเรียนจากต่างประเทศ คัดเลือกมาตรการทางเศรษฐกิจที่ใช่และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับบ้านเรา
แนวทางของการใช้นโยบายสาธารณะในยามวิกฤตนี้ คือภาครัฐไม่ควรใช้มาตรการทางด้านการเงินหรือการคลังเพื่อกระตุ้นอุปสงค์มวลรวมในลักษณะของการหว่านเม็ดเงิน เพราะช่องทางที่เม็ดเงินจะหมุนวนให้เกิดการจับจ่ายเป็นทวีคูณในระบบเศรษฐกิจ ได้ถูกตัดตอนลงด้วยการสร้างระยะห่างทางสังคม และการปิดพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในเศรษฐกิจ ดังนั้นประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงินจึงลดลงจากเดิมมาก
รัฐควรเก็บกระสุนไว้เพื่อใช้กับมาตรการที่กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ของมาตรการได้ชัดเจนกว่าคือ การบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งวิธีที่รัฐบาลไทยได้เริ่มต้นทำไปบ้างแล้วคือการจ่ายเงินรายเดือนให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท นาน 3 เดือน อย่างไรก็ดี จากตัวเลขในอดีต (ตารางที่ 1 และ 2 ข้างต้น) ชี้ให้เห็นว่า ความเสียหายจากวิกฤตครั้งนี้ใช่ว่าจะจบลงได้ภายในเวลาเพียงสามเดือน แต่อาจยืดเยื้อออกไปยาวจนส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยนานนับปี ดังนั้นรัฐบาลควรเตรียมจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับการดูแลความเดือดร้อนในกรอบเวลาที่ยาวนานขึ้น และครอบคลุมประชาชนในทุกภูมิภาค เพื่อมิให้มีใครถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง
และสุดท้ายคือ รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีโดยเร็ว เพราะวิกฤตในครั้งนี้ได้ทำให้ภาพเศรษฐกิจที่ผู้ร่างยุทธศาสตร์ฯ ได้จินตนาการไว้เมื่อสองปีก่อน เป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ในชั่วพริบตา
การทำงานจากบ้านหรือ work from home กำลังจะกลายเป็น new normal และแรงงานไทยจำเป็นต้องพัฒนาทักษะให้สอดรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใต้วิกฤตครั้งนี้
วิสัยทัศน์ยาวไกลถึง 20 ปี ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สังคมต้องการในช่วงเวลาเช่นนี้ หากแต่เป็นความตระหนักรู้แท้ถึงความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ไป ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า มีความรู้และความสามารถพอที่จะจัดการกับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้
เส้นที่เราลากต่อจากเส้นกราฟในวันนี้ อาจหักหัวลงหนักตามความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เมื่อผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว เส้นทางเศรษฐกิจไทยจะสามารถเชิดหัวขึ้นได้เร็วแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้เป็นสำคัญ