ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ในวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ภาพของเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งที่บินออกจากประเทศบังกลาเทศมุ่งหน้าไปยังประเทศอินเดีย ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าประเทศเล็กๆ ในเอเชียใต้อย่างบังกลาเทศเข้าสู่จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย เพราะเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นมีผู้โดยสารคืออดีตนายกรัฐมนตรี ชีค ฮาสินา (Sheikh Hasina) และน้องสาว ที่จำต้องลี้ภัยออกนอกประเทศหลังยื่นใบลาออกจากตำแหน่งไม่นาน ถือเป็นการปิดฉากระบอบฮาสินาที่กินเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 15 ปี
การก้าวลงจากอำนาจของฮาสินาในวันนั้นมีเหตุปัจจัยจากการชุมนุมประท้วงใหญ่ของประชาชนบังกลาเทศ สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลประเทศสงวนโควตาในการสอบรับราชการให้กับลูกหลานของบรรดานักต่อสู้เพื่ออิสรภาพของบังกลาเทศในสงครามปี 1971 ถึงกว่าร้อยละ 30 ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เป็นธรรม การประท้วงจึงก่อตัวขึ้นก่อนลุกลามบานปลายไปสู่การใช้ความรุนแรงของทางการในการปราบปรามประชาชน แต่ที่สุดแล้วรัฐบาลฮาสินาก็ไม่อาจต้านทานแรงโกรธเกรี้ยวของประชาชนได้ จนนำไปสู่การลาออกและหนีออกนอกประเทศในที่สุด
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ไม่ใช่เพราะแค่มันเป็นชัยชนะของประชาชน หรือเพราะเป็นการสิ้นสุดของระบอบอันยาวนานเท่านั้น หากแต่เหตุการณ์นี้ยังถูกขนานนามว่าเป็น ‘การปฏิวัติโดยคน Gen Z ครั้งแรกของโลก’ (The World’s First Gen Z Revolution)
ในยุคปัจจุบันที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในหลายมุมของโลกยังไปไม่ถึงความสำเร็จ แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ในบังกลาเทศถึงสามารถคว้าชัยชนะ และสามารถก้าวขึ้นไปมีบทบาทกำหนดอนาคตประเทศได้? วันโอวันพาย้อนรอยชัยชนะแห่งการปฏิวัติของหนุ่มสาว Gen Z ในบังกลาเทศ พร้อมพูดคุยกับหนึ่งในนักเคลื่อนไหวแนวหน้าของการชุมนุมประท้วงในครั้งนั้น

ภาพโดย: Wasiul Bahar / Wikipedia
ย้อนรอยชัยชนะแห่งการปฏิวัติ Gen Z ครั้งแรกของโลก
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาเมื่อหนึ่งปีที่แล้วไม่ใช่แค่เหตุการณ์ๆ หนึ่งเท่านั้น แต่มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ หลังจากที่ประชาชนต้องอัดอั้นตันใจอยู่กับระบอบอำนาจนิยม ปัญหาการว่างงาน คอร์รัปชัน และการกดปราบเสียงของเยาวชนคนรุ่นใหม่ มายาวนานหลายปี” ชีมา อัคเทอร์ (Shima Akhter) นักศึกษาสาววัย 24 ปี จากมหาวิทยาลัยธากา (Dhaka University) และสมาชิกสมาพันธ์นักศึกษาบังกลาเทศ (Bangladesh Student Federation) เล่าสรุปให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของการออกมาเคลื่อนไหวของพลังนักศึกษาบังกลาเทศในตอนนั้น
นโยบายกำหนดโควตาสอบรับราชการจึงไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่นำไปสู่การลุกฮือของประชาชน หากแต่มาจากหลายปัจจัยที่สั่งสมกันมาตลอด 15 ปีภายใต้ยุคสมัยของฮาสินาที่พาบังกลาเทศออกห่างจากประชาธิปไตยเข้าสู่อำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน การปราบปรามคนเห็นต่าง การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน การทุจริตเอื้อพวกพ้อง ไปจนถึงการจัดการเลือกตั้งที่ไม่ได้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ประกอบกับบริบทเศรษฐกิจโดยเฉพาะนับตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด-19 เป็นต้นมา ที่อยู่ในสภาวะสิ้นหวังจากอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานที่พุ่งสูง ก่อนที่การประกาศสงวนโควตาสอบรับราชการจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกว่ากำลังถูกจำกัดโอกาสในตลาดแรงงานและโอกาสเศรษฐกิจให้ตีบแคบลง ส่งผลให้พวกเขาออกมายืนแถวหน้าของการชุมนุมประท้วงไล่รัฐบาลในที่สุด

ภาพโดย: Rayhan Ahmed / Wikipedia
ขบวนการนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนั้นแบ่งแยกย่อยเป็นหลายกลุ่ม เช่น ขบวนการนักศึกษาต่อต้านการเลือกปฏิบัติ (Student Against Discrimination) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อต่อต้านระบบโควตารับราชการ และถือเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของการประท้วง ขณะที่ Bangladesh Student Federation ซึ่งชีมาเป็นสมาชิกก็เป็นอีกกลุ่มที่มีความโดดเด่น อีกทั้งยังมีกลุ่มก้อนองค์กรอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์หลากหลาย ทั้งกลุ่มนักศึกษาที่ขับเคลื่อนสิทธิสตรีและกลุ่มที่ขับเคลื่อนสิทธิของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ซึ่งที่สุดแล้ว แม้แต่ละกลุ่มก้อนจะอยู่ภายใต้เฉดแนวคิดที่หลากหลาย แต่ก็สามารถรวมตัวกันต่อสู้จนประสบความสำเร็จ
“มันเป็นการประท้วงที่มีผู้คนมาจากหลากหลายชนชั้นทางสังคมและวิชาชีพแตกต่างหลากหลายมาเข้าร่วม โดยส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นมาได้นั้นก็คือความเป็นปึกแผ่นของพวกเราที่เห็นเป้าหมายร่วมกันในการขุดรากถอนโคนระบอบฟาสซิสต์ และสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ในฐานะประเทศที่ไร้ซึ่งการเลือกปฏิบัติ โดยที่พลเมืองทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม มีศักดิ์ศรี และได้รับความเป็นธรรม ตามเจตจำนงของสงครามปลดแอกบังกลาเทศในปี 1971” ชีมากล่าว
ชีมาเล่าด้วยว่าการที่ทางการตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามนักศึกษาผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คนนั้นก็ถือเป็นชนวนสำคัญที่ยิ่งโหมไฟให้ความโกรธเกรี้ยวของประชาชนรุนแรงขึ้นจนเป็นเหตุให้การประท้วงขยายใหญ่
“คนที่ถูกฆ่าตายในตอนนั้นมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนักศึกษา คนขับสามล้อ และคนอื่นๆ แต่ทุกคนก็ยังออกมาบนท้องถนน โดยมีเพียงชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน เรียกว่าพวกเขายอมสู้จนตัวตาย” ชีมาเล่า
ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามกีดกันการรวมตัวและการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนด้วยการตัดอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศอยู่ต่อเนื่องเกินกว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่ผู้ชุมนุมก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะออกมาเคลื่อนไหวให้ได้ ซึ่งชีมาเล่าว่าต้องใช้ทั้งวิธีการโทรบอกปากต่อปาก และต้องกำหนดสถานที่นัดหมายเป็นที่เดิมๆ ทุกครั้งเพื่อไม่ให้สับสน และนอกจากการต่อสู้บนท้องถนนแล้ว ประชาชนคนรุ่นใหม่ก็ยังเคลื่อนไหวผ่านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทั้งการสร้างมีม การแต่งเพลง การจัดกิจกรรมทางศิลปะ และการใช้โซเชียลมีเดียเปิดเผยอาชญากรรมของรัฐให้นานาชาติได้รับรู้ จนการเคลื่อนไหวได้รับการสนับสนุนในวงกว้าง
ความเจ็บแค้นของประชาชนที่เข้าสู่ภาวะสุกงอมภายใต้การเมืองและเศรษฐกิจที่ไร้ความหวัง บวกกับความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและความเป็นอันหนึ่งเดียวของประชาชนผู้ออกมาเคลื่อนไหว กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนให้ระบอบฮาสินาต้องพังครืนลงในที่สุด ก่อนที่บังกลาเทศจะเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยความหวังว่าประเทศจะเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น

นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่
ภาพจาก: Facebook – সীমা আক্তার (পদপ্রার্থী-সমাজসেবা সম্পাদক)
หนึ่งปีหลังชัยชนะ กับเส้นทางปฏิรูปที่ยังขลุกขลัก
เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ฮาสินาลงจากอำนาจ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2024 แกนนำผู้ชุมนุมได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อบริหารประเทศและฟื้นฟูประชาธิปไตยในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยได้เชิญ มูฮัมหมัด ยูนุส (Muhammad Yunus) เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพผู้โด่งดังจากการก่อตั้งธนาคารกรามีนเพื่อต่อสู้กับความยากจน ขึ้นเป็นหัวหน้าที่ปรึกษารัฐบาลชั่วคราว
ขณะเดียวกันบทบาทของเยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้จบลงแค่บนท้องถนนและโลกออนไลน์ แต่พวกเขายังมีตัวแทนเข้าร่วมกับรัฐบาลชั่วคราวในการกำหนดอนาคตของประเทศ ได้แก่ นาฮีด อิสลาม (Nahid Islam) หนึ่งในแกนนำของกลุ่ม Student Against Discrimination ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ และอาซีฟ มาห์มูด (Asif Mahmud) อีกหนึ่งแกนนำ Student Against Discrimination ซึ่งได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬา
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 นาฮีดก็ได้ลาออกจากรัฐบาลชั่วคราว เพื่อออกมาตั้งพรรคพลเมืองแห่งชาติ (National Citizen Party: NCP) ซึ่งได้กลายเป็นพรรคการเมืองที่นำโดยกลุ่มนักศึกษาพรรคแรกในประวัติศาสตร์บังกลาเทศ ด้วยเป้าหมายหลักคือการสร้าง ‘สาธารณรัฐบังกลาเทศที่ 2’ (Second Republic) ที่มีการเมืองแบบใหม่และเป็นประเทศที่ปลอดการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้คนต่างกลุ่ม โดยพรรค NCP

ผู้นำรัฐบาลรักษาการบังกลาเทศ
ภาพจาก: Flickr – University of Salford Press Office
นอกจากกลุ่ม Student Against Discrimination แล้ว กลุ่มนักศึกษาหรือกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่อื่นๆ ต่างก็มีบทบาทในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศนี้ในรูปแบบที่หลากหลาย และมีวาระเป้าประสงค์เฉพาะที่แตกต่างกัน ดังเช่นชีมาที่ก็ยังคงเคลื่อนไหวส่งเสียงถึงอนาคตประเทศร่วมกับกลุ่มเธอเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระเรื่องการส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยในสังคม
อย่างไรก็ตาม ชีมาเล่าให้เราฟังว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาภายใต้ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมืองนี้ เส้นทางของบังกลาเทศก็ไม่ได้ราบรื่นสวยหรู เพราะโครงสร้างสังคมและการเมืองที่ระบอบเก่าทิ้งมรดกไว้ยังคงฝังรากแน่นจนไม่อาจรื้อได้ง่าย
“แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการเปลี่ยนผ่านออกจากรัฐบาลอำนาจนิยมที่อยู่มายาวนานเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เพราะกลุ่มอำนาจเก่าก็ยังคงมีพลังที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและยังอยากจะกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง” ชีมากล่าว
นอกจากนี้ ชีมายังชี้ว่าแม้กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่จะมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนในช่วงเวลาที่พวกเขารวมพลังกันขับไล่ฮาสินา แต่หลังจากพวกเขาโค่นรัฐบาลลงจากอำนาจสำเร็จแล้ว ปรากฏว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่แต่ละกลุ่มต่างก็มีรายละเอียดอุดมการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย จึงเกิดความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองในหลายประเด็น ขณะเดียวกันก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากลุ่มเยาวชนบางกลุ่มประนีประนอมต่อกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวทางอนุรักษนิยมมากเกินไป จนทำให้อุดมการณ์หลายเรื่องถูกลดทอน ทั้งยังมีการกล่าวหากันว่าตัวแทนกลุ่มคนรุ่นใหม่บางส่วนนั้นได้ฉวยโอกาสจากการปฏิวัติในการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองแก่ตัวเอง ทำให้เริ่มเกิดความเคลือบแคลงกังวลในหมู่ประชาชนและคนรุ่นใหม่บังกลาเทศว่าการปฏิวัติอาจไปไม่ถึงฝัน และทำให้กลุ่มเยาวชนแต่ละกลุ่มเกิดความบาดหมางและความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
“ความเป็นเอกภาพของพวกเราได้แตกสลายลงแล้ว นักเคลื่อนไหวที่มีบทบาทนำบางคนได้กลายเป็นคนฉ้อฉล แต่ละกลุ่ม แต่ละพรรคมีความแตกแยกกัน ทั้งที่นี่คือช่วงเวลาที่ประเทศเราต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกันมากที่สุด” ชีมากล่าว
ชีมาพูดต่อว่า “หลังการลุกฮือในเดือนกรกฎาคม 2024 เราทุกคนต่างฝันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เมื่อปรากฏว่าความจริงนั้น การปฏิรูปไม่ได้ถูกให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ ความรู้สึกของพวกเราจึงเต็มไปด้วยความผิดหวัง”
หนึ่งในประเด็นที่ทำให้ชีมารู้สึกผิดหวังกับการปฏิรูปคือการที่บทบาททางการเมืองของผู้หญิงยังไม่ได้รับความสำคัญ แม้ว่าตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมาที่บังกลาเทศหลุดจากระบอบทหารเข้าสู่ระบอบรัฐสภานั้น จะมีผู้หญิงนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฮาสินา หรือคาเลดา เซีย (Khaleda Zia) แต่หากมองการเมืองในภาพรวมนั้น พบว่าสัดส่วนของผู้หญิงที่มีบทบาททางการเมืองยังมีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่ยังฝังรากลึก
ดังนั้นหลังการปฏิวัติโค่นล้มฮาสินาปีที่แล้ว จึงเกิดความพยายามผลักดันในการปฏิรูปการเมืองให้ผู้หญิงได้มีตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองมากขึ้น และขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้แก้กฎหมายเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้หญิงมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีผู้ตกเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรง ทว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้ต้องเผชิญแรงเสียดทานจากกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มศาสนาในประเทศ และยังเป็นที่ถกเถียงแม้กระทั่งในกลุ่มเยาวชนด้วยกัน จึงเป็นภาพสะท้อนว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจสลัดหลุดจากโครงสร้างสังคมปิตาธิปไตย

อดีตนายกฯ บังกลาเทศ
ภาพจาก: Russell Watkin / Department for International Development
“หลังจากเหตุการณ์เคลื่อนไหวในเดือนกรกฎาคม 2024 นักเคลื่อนไหวหญิงที่ต่อสู้ในแนวหน้าอย่างแข็งขันกลับถูกละเลย พวกเราไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกต่อไป แถมยังมีคนพยายามปิดปากพวกเราด้วยการข่มขู่คุกคามและเหยียดหยามทางออนไลน์” ชีมาเล่า
นอกจากประเด็นผู้หญิงแล้ว ชีมายังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนสิทธิคนกลุ่มน้อยอื่นๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ต่างและกลุ่มศาสนาต่างๆ แต่ก็ต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนักเช่นกัน ด้วยเหตุจากรากทางประวัติศาสตร์ที่นำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจกันและกัน ขณะเดียวกันการผงาดขึ้นมาของพรรคการเมืองและกลุ่มที่นิยมอิสลามที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลฮาสินามาก่อน ก็ยิ่งทำให้แนวคิดกีดกันชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนาเติบโตขึ้น จนนำไปสู่การก่อเหตุรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ นับจากการโค่นล้มของระบอบฮาสินา
สำหรับเยาวชนบางส่วน รวมถึงชีมา การเคลื่อนไหวขับเคลื่อนวาระปฏิรูปการเมืองจึงไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดไว้ แต่พวกเขาก็ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าสู้ต่อไป
“เราจะยังคงสู้เพื่อสิทธิของพวกเรา และฉันต้องการให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าเราจะไม่เสียโอกาสของช่วงเวลาสำคัญนี้ไปเปล่าๆ” ชีมากล่าว
ไฟหวังแห่งอนาคต และการส่องสว่างสู่พื้นที่อื่นของโลก
ด้วยระยะเวลาเพียงหนึ่งปีที่ยังนับว่าสั้น การปฏิรูปการเมืองของบังกลาเทศจึงยังคงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นและยังไกลเกินไปนักที่จะบอกว่าสำเร็จหรือล้มเหลว เพราะฉะนั้นบนเส้นทางการปฏิรูปที่ยังตะกุกตะกักและล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวบังกลาเทศจึงยังไม่ได้หมดความหวังไปเสียทีเดียว
“อย่างไรก็แล้วแต่ พลังการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้จินตนาการวาดภาพประเทศกันใหม่ และยังเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามานี้ต้องเดินตามเป้าประสงค์ของประชาชน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดฉันเชื่อว่าพวกเขาจะไม่กล้าพาประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการได้ง่ายๆ และที่สำคัญ ถ้าหากการปฏิรูปครั้งนี้เกิดขึ้นได้ภายใต้การทำฉันทามติร่วมกันของประชาชน ฉันก็หวังว่าประเทศเราจะเดินหน้าไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ” ชีมาให้ความเห็น
บังกลาเทศยุคใหม่จะเดินหน้าไปทางไหนนั้น อีกหมุดหมายสำคัญอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์ 2026 นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำรัฐบาลรักษาการ มูฮัมหมัด ยูนุส ได้ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น และการเลือกตั้งที่จะมีเป็นครั้งแรกหลังสิ้นสุดระบอบฮาสินานี้เองที่อาจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าบังกลาเทศจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแบบอย่างของโลกในฐานะประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การก้าวขึ้นมามีบทบาทนำของคน Gen Z

ภาพโดย: Luis TATO / AFP
นอกจากบังกลาเทศแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมีอีกหลายประเทศในโลกที่เจอปรากฏการณ์เยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นกัน ทว่าโดยส่วนใหญ่ยังไม่อาจไปถึงความสำเร็จ หรือกระทั่งถูกดับมอดความหวังลงไป แต่ที่สุดแล้วบังกลาเทศก็ได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่าการปฏิวัติโดยคนรุ่นใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขณะที่นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่อย่างชีมาก็มองว่าความสำเร็จของคนรุ่นใหม่บังกลาเทศอาจให้บทเรียนแก่เพื่อนเยาวชนในประเทศอื่นๆ ที่กำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงได้
“การที่พวกเราประสบความสำเร็จในการโค่นล้มระบอบฟาสซิสต์ได้ ก็เป็นเพราะเราประสบความสำเร็จในการสร้างแนวร่วมขนาดใหญ่ (broad alliance) ที่รวบรวมคนหลายกลุ่ม รวมถึงคนรุ่นเก่า และเรายังพยายามไม่ทำให้การต่อสู้ของเราถูกด้อยค่าเหลือเพียงแค่คำว่า ‘การก่อจลาจลของนักศึกษา’ นอกจากนี้สิ่งที่ขบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ สามารถเรียนรู้จากพวกเราได้ ก็คือหลังของการเคลื่อนไหวอย่างอดทน พลังของการปลูกฝังให้ความรู้ทางการเมือง และการสร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างคนหลายกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกอัตลักษณ์” ชีมากล่าว
ที่สุดแล้ว ชีมาย้ำว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของการเคลื่อนไหวถือเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ และขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ของแต่ละชาติยังต้องเรียนรู้ระหว่างกันต่อไป ภายใต้ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ซึ่งชีมาเชื่อว่าความสำเร็จของบังกลาเทศจะจุดไฟหวังให้กับการเคลื่อนไหวในที่อื่นๆ ของโลกได้เช่นกัน
“ฉันเชื่อว่าประชาธิปไตยที่ผลิบานขึ้นในที่หนึ่ง จะเป็นพลังหนุนเสริมให้ประชาธิปไตยในทุกที่แข็งแกร่งขึ้น” ชีมาทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม
https://www.the101.world/what-is-happening-in-bangladesh/
https://thediplomat.com/2025/08/one-year-after-sheikh-hasinas-fall-how-is-bangladesh-holding-up