จิตติภัทร พูนขำ เรื่อง
ในช่วงสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ เรามักจะหวนกลับมาทบทวนว่าในปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง และคาดการณ์แนวโน้มทิศทางในอนาคตของปีถัดไปว่าจะเป็นเช่นไร
สำหรับเรื่อง ‘การเมืองระหว่างประเทศ’ แล้ว การผลัดปีใหม่คงไม่ได้ทำให้ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ เช่น ภาวะโลกร้อน ปัญหาปาเลสไตน์ หรือกรณีอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี จบสิ้นยุติหรือ “ล้าสมัย” ไปพร้อมๆ กับปีเก่า
เพราะการเมืองระหว่างประเทศนั้น มีทั้งความต่อเนื่อง และพลวัตการเปลี่ยนแปลง
การเมืองระหว่างประเทศมีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ความขัดแย้งและความร่วมมือระหว่างประเทศมีที่มาที่ไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังกำหนดกำกับอนาคตภายหน้า ซึ่งอาจจะไม่ได้ดำเนินไปแบบเส้นตรงเสียทีเดียว บางครั้งอาจจะเป็นวัฏจักร หรือบางครั้งอาจจะเป็นการตัดขาดจากเดิม มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมา
การเมืองระหว่างประเทศมีมิติความสลับซับซ้อน เพราะการเมืองระหว่างประเทศนั้นมีหลากหลายระดับที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน มีหลากหลายตัวแสดงระหว่างประเทศที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีหลากหลายปัจจัยทั้งที่เป็นโอกาสและข้อจำกัด ทั้งที่เป็นปัจจัยเฉพาะหน้าและปัจจัยเชิงโครงสร้างต่างๆ นานา
ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายที่เฝ้าติดตามการเมืองระหว่างประเทศมาโดยตลอดย่อมต้องเกาะติดกระแสสถานการณ์ระหว่างประเทศว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร ไปพร้อมๆ กับการพยายามทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์เบื้องหลังสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้น (ด้วยคำถามว่า “ทำไม”) มิพักต้องพูดถึงการแสวงหาคำอธิบายทางทฤษฎีที่ “พอใช้ได้” หรือ “เข้าท่า” แก่การวิเคราะห์ วิพากษ์ และออกแบบนโยบาย (ว่าควรจะมีทางออกเป็นอย่างไร)
ในช่วงผลัดปีเก่าสู่ปีใหม่ ผมอยากจะลองตั้งคำถามว่า การเมืองระหว่างประเทศในปี 2017 มีประเด็นปัญหาอะไรสิ้นสุดไปแล้วบ้าง ประเด็นเหล่านี้สิ้นสุดแล้วจริงหรือไม่ หรือเป็นโจทย์ที่ยังคงดำเนินต่อไปในปีหน้า (กระทั่งอีกหลายทศวรรษข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ) โดยขอหยิบยกประเด็นมหภาคที่สำคัญมาเพียงสามเรื่อง เพื่อชวนคิดและแลกเปลี่ยนสนทนาในวันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
1. การสิ้นสุดระเบียบโลกแบบเสรีนิยม?
ประการแรก การขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อต้นปี 2017 สั่นสะเทือนการเมืองระหว่างประเทศอย่างมหาศาล หลายคนพูดถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเสรีนิยมที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ซึ่งแต่เดิมอย่างน้อยตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ มีบทบาทในการส่งเสริมระเบียบโลกทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง รวมทั้งระบบพันธมิตรในภูมิภาคต่างๆ ของโลก เช่น NATO
วาทศิลป์และพฤติกรรมของทรัมป์ในการถอนตัวออกจากการเมืองโลกและให้ความสำคัญกับ “การสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ดูเหมือนจะบั่นทอนอำนาจนำและความชอบธรรมของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าเราค่อนข้างเน้นย้ำความแตกต่างโดยสิ้นเชิงของรัฐบาลทรัมป์มากจนเกินไป โดยละเลยความต่อเนื่องของนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ กล่าวคือ นโยบายภายในประเทศของทรัมป์ก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากนโยบายกระแสหลักของพรรครีพับลิกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีคนรวยและบรรษัท หรือการลดกฎเกณฑ์ (deregulation)
ในด้านนโยบายต่างประเทศ สหรัฐฯ นั้น “ส่งเสริมพหุภาคีเมื่อเป็นไปได้ และดำเนินนโยบายแบบเอกภาคีเมื่อจำเป็น” มาโดยตลอด เราเห็นทรัมป์นำสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ในช่วงก่อนสมัยทรัมป์ สหรัฐฯ ก็ไม่ได้เข้าร่วมกติการะหว่างประเทศต่างๆ เช่น ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court (ICC) ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ยังคงดำเนินตามลัทธิทหารนิยม (militarism) ในระดับโลกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบประมาณกลาโหม การส่งทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานเพิ่มขึ้น (โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาของการถอนทหารอย่างชัดเจน) การประกาศสนับสนุนระบบพันธมิตรอย่าง NATO อย่างชัดเจนในการประชุมที่วอร์ซอเมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 หรือการป้องปรามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือด้วยการขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้อย่างรุนแรง รวมทั้งการส่งเสริมความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิม โดยไม่สนใจว่าประเทศนั้นจะมีระบอบการเมืองแบบใดก็ตาม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ไม่ได้ “ถอนตัว” ออกจากการเมืองโลก หรือไม่ได้กลับสู่ “หลักการการโดดเดี่ยว” แต่ยังคงแพร่กระจายลัทธิทหารนิยม และคงระบบพันธมิตรเอาไว้
กระนั้น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคลิกและวาทศิลป์ของทรัมป์มีส่วนสำคัญในการลดทอนอำนาจนำของสหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศ เช่น กรณีปาเลสไตน์ หรือกรณีข้อตกลงปารีสว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ระเบียบโลกแบบเสรีนิยมที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำนั้นกำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนหน้าทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ทรัมป์เป็นแค่เพียง “อาการ” มากกว่า “สาเหตุ” ของสภาวะตกต่ำของระเบียบดังกล่าว
ระเบียบโลกแบบเสรีนิยมที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำยังถูกท้าทายด้วยปัจจัย ประการที่สอง นั่นคือ การผงาดของจีนอย่างแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร ถ้าจะกล่าวว่า ปี 2017 เป็นปีของสีจิ้นผิง ผู้นำทรงอิทธิพลของจีน ก็คงจะไม่ผิดฝาผิดตัวมากนัก
ในการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเมื่อเดือนตุลาคม 2017 สัญญาณของการรวมศูนย์อำนาจภายในพรรคของสีจิ้นผิงเป็นไปอย่างชัดเจน โดยไม่มีการวางตัวทายาทผู้นำรุ่นต่อไปเหมือนเช่นเคย ความเป็นไปได้ที่สีจิ้นผิงจะอยู่ในอำนาจต่อไปหลังหมดวาระอีกห้าปีต่อจากนี้ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกที กล่าวคือ การเมืองภายในของจีนจะยิ่งมุ่งเน้นความเป็นอำนาจนิยมเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้น ผู้สังเกตการณ์การเมืองระหว่างประเทศต่างดูจะเห็นพ้องต้องกันว่า จีนภายใต้สีจิ้นผิงมีนโยบายต่างประเทศแข็งกร้าวมากขึ้น
ในด้านหนึ่ง การที่จีนขยายบทบาทและอิทธิพลทางการทหารของตนในบริเวณทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก นำมาซึ่งความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
งานวิจัยของ David C. Kang แห่งมหาวิทยาลัย Southern California ให้ภาพที่แตกต่างออกไป ในหนังสือ “American Grand Strategy and East Asian Security in the Twenty-First Century” (Cambridge University Press, 2017) เขาเสนอว่า ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยรวม (ยกเว้นกรณีคาบสมุทรเกาหลี) การใช้จ่ายด้านกลาโหมโดยรวมของภูมิภาคไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับลดลง แต่ละประเทศไม่ได้ส่งสัญญาณคุกคามประเทศอื่นอย่างชัดเจน
แม้จะมีกรณีพิพาททะเลจีนใต้ที่ร้อนระอุ แต่ Kang เสนอว่าประเทศต่างๆ ไม่ได้ต้องการจะเข้าแข่งขันกันสะสมอาวุธในภูมิภาค และต้องการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับทั้งสหรัฐฯ และจีน ยุทธศาสตร์หลักของประเทศในภูมิภาคคือการประกันความเสี่ยง (hedging) กับมหาอำนาจ โดยมุ่งหวังที่จะมีส่วนในผลประโยชน์จากการพึ่งพาซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมความมั่นคงอย่างรอบด้าน โดยอาศัยเครื่องมือทั้งทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหารมากกว่า
ในอีกด้านหนึ่ง การผงาดขึ้นมาทางการทหารของจีนยังสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจนำอย่างเช่นสหรัฐฯ ในทางทฤษฎีมีการคาดการณ์กันถึง “กับดัก Thucydides” หรือสถานการณ์ที่การก้าวขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจเดิมของมหาอำนาจใหม่มักจบลงด้วยสงครามระหว่างประเทศ แต่ Graham Allison ก็เสนอว่าแนวโน้มความขัดแย้งนั้นมีความเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากพวกเราเรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์
นอกจากนั้น การสร้างพันธมิตรระหว่างจีนกับมหาอำนาจต่างๆ เช่น รัสเซีย ทำให้นักวิเคราะห์หลายท่านคาดการณ์ถึง “การผงาดขึ้นมาของเอเชีย” “ระเบียบโลกแบบอเสรีนิยม” หรือแม้กระทั่งการหวนคืนของอำนาจนิยม ที่จะท้าทายระเบียบโลกแบบเสรีนิยมอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ในความเป็นจริง ทั้งจีนและรัสเซียต่างสนับสนุนหลักการ/ปทัสถานแบบเวสต์ฟาเลีย (Westphalian norms) ได้แก่ การเคารพอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน และต่างได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงจากระเบียบระหว่างประเทศแบบเสรีนิยม กล่าวคือ มหาอำนาจเหล่านี้ยังอาศัยกลไกของสหประชาชาติในการปกป้องผลประโยชน์ และธำรงรักษาปทัสถานแบบดั้งเดิมเอาไว้
เพียงแต่ทั้งสองรัฐนั้นต่อต้านระเบียบโลกที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ และพยายามส่งเสริมระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจ ที่มหาอำนาจเช่นจีนและรัสเซียมีสถานะและบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจต่างๆ ในการเมืองโลก
ในปัจจุบัน เราเห็นมหาอำนาจเหล่านี้รวมทั้งมหาอำนาจใหม่เข้าร่วมการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น จนค่อยๆ กลายเป็นระเบียบโลกชุดใหม่ที่ดำรงอยู่คู่ขนานกับระเบียบดั้งเดิมที่กำลังอ่อนล้าลงทุกทีๆ ระเบียบใหม่เหล่านี้ ได้แก่ BRICS หรือข้อเสนอ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ของจีน ซึ่งเป็นโครงการเงินกู้เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดมโหฬารแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเชื่อมโยงเครือข่ายการค้าคมนาคมในยูเรเชียทั้งทางบกและทางทะเล
ระเบียบโลกแบบเสรีนิยมได้รับการท้าทายมาโดยตลอด อย่างน้อยก็กว่าสามทศวรรษแล้ว แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าพลวัตการเปลี่ยนแปลงในปี 2017 ทั้งการขึ้นมาของทรัมป์และบทบาทของจีนภายใต้สีจิ้นผิงนั้น ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่มีต่อระเบียบโลกแบบเสรีนิยมเด่นชัดมากขึ้น
2. การสิ้นสุดของยุโรป?
ประเด็นแห่งปีของการเมืองยุโรปย่อมหลีกหนีไม่พ้นกรณี Brexit ซึ่งสหราชอาณาจักรลงประชามติถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป (EU)
Brexit สั่นคลอนการบูรณาการของยุโรป จนบางคนกล่าวว่า นี่เป็นการสิ้นสุดของยุโรปในแบบที่เรารู้จักกันมา แม้ว่าประเทศสมาชิกใน EU จะพยายามเน้นย้ำความมีเอกภาพภายในยุโรปก็ตาม แต่การหยิบยกประเด็นการบูรณาการที่ไม่จำเป็นต้องมี “ระดับความเร็ว” แบบเดียวกันภายใน EU ดูเหมือนจะสะท้อนความไม่มีเอกภาพของ EU อย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณี Brexit แม้ว่าในช่วงแรกจะมีความตึงเครียดระหว่างคณะผู้เจรจาของฝ่ายสหราชอาณาจักรกับ EU หลังการลงประชามติ แต่ภายในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กระบวนการเจรจา Brexit ระยะที่หนึ่งได้บรรลุข้อตกลงพื้นฐานด้านต่างๆ แล้ว เช่น สิทธิการอยู่อาศัย/ทำงานของคนชาติอังกฤษใน EU และคนชาติ EU ในสหราชอาณาจักร ประเด็นปัญหาพรมแดนกับไอร์แลนด์ รวมทั้งเงินสนับสนุน EU
ในปีหน้าเราคงจะเห็นกระบวนการเจรจา Brexit เข้าสู่ระยะต่อไป นั่นคือ การเจรจาด้านข้อตกลงทางการค้า ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบใด
อย่างไรก็ดี รัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ลงมติที่จะมีสิทธิออกเสียงรับรองหรือคัดค้านต่อกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวกับ Brexit น่าสนใจว่าครั้งนี้ ส.ส.พรรครัฐบาลจำนวนหนึ่งก็ร่วมโหวตเข้ากับฝ่ายค้านอย่างพรรคแรงงาน กล่าวคือ รัฐสภาขอมี “เสียง” ในการเจรจา Brexit ที่รัฐบาลไปตกลงกับ EU นี่เป็นกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลปกติภายในการเมืองของสหราชอาณาจักร แต่พลวัตและเกมการเมืองภายในดังกล่าวย่อมทำให้กระบวนการเจรจากับ EU ไม่ง่ายดายอย่างที่รัฐบาลเทเรซา เมย์ คิด
หากมองในภาพรวมของยุโรป สถานการณ์ด้านอื่นๆ เช่น ประเด็นปัญหาผู้อพยพ ดูเหมือนจะคลี่คลายลงไป แต่โจทย์ว่าด้วย “การปฏิรูป EU” จะเป็นความท้าทายสำคัญมากที่สุดประการหนึ่งตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เช่น การปฏิรูประบบยูโรโซน (Eurozone) เพื่อหากลไกในการรับมือวิกฤตการเงินในอนาคต ขณะนี้แม้ว่าจะมีกลไกการ “อุ้ม” หรือ bailout สถาบันการเงินอย่างเช่น European Stability Mechanism (ESM) แต่ยังไม่มีนโยบายร่วมทางด้านการคลังแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ในปีหน้าเราคงจะเห็นการถกเถียงเค้าโครงของคณะกรรมาธิการยุโรปในเรื่องงบประมาณของ EU ในช่วงระยะ 7 ปี (จนถึงปี 2020) รวมทั้งการถกเถียงว่าด้วยการบูรณาการทางเศรษฐกิจโดยรวมว่าจะดำเนินไปแบบสองระนาบตามขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกหรือไม่
แม้กระทั่งความท้าทายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิกภายใน EU โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก ซึ่งมีรัฐบาลอย่างน้อยสองประเทศดำเนินนโยบายต่อต้าน EU และหลักนิติรัฐ
ในกรณีของโปแลนด์ การที่รัฐบาลของประธานาธิบดี Andrzej Duda ใช้อำนาจเข้าแทรกแซงสถาบันตุลาการ นำมาสู่การตอบโต้จาก EU ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนในกรณีของฮังการี รัฐบาลประชานิยมฝ่ายขวาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Victor Orban (จากพรรค Fidesz) ก็ดำเนินนโยบายปฏิปักษ์ EU และนโยบายแบบอเสรีนิยมที่ต่อต้านผู้อพยพต่างๆอย่างชัดแจ้ง
ประเด็นเหล่านี้เชื่อมโยงกับคำถามที่สามคือ ปี 2017 เป็นการสิ้นสุดของประชานิยมขวาจัดหรือไม่?
3. การสิ้นสุดของประชานิยมฝ่ายขวา?
แม้ปี 2017 เริ่มต้นด้วยชัยชนะของ Trump และ Brexit แต่โดยรวมแล้ว ปี 2017 ดูเหมือนจะเป็นความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งใหญ่ของพรรคการเมืองประชานิยมฝ่ายขวาทั่วโลก หรืออย่างน้อยก็ในยุโรป โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ของพรรค National Front ภายใต้การนำของ Marine Le Pen ในฝรั่งเศส และพรรค Party for Freedom นำโดย Geert Wilders ในเนเธอร์แลนด์ ในเวลาเดียวกัน กระแสประชานิยมฝ่ายซ้ายเองก็ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ Syriza ในกรีซ หรือ Podemos ในสเปน
อย่างไรก็ดี เรายังเห็นนโยบายของประชานิยมฝ่ายขวาในรัฐบาลที่ยังอยู่อำนาจขณะนี้ เช่นในกรณีของรัฐบาลจากพรรค Fidesz ภายใต้นายกรัฐมนตรี Victor Orban ในฮังการี เป็นต้น พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดยังคงได้รับความนิยมอยู่พอสมควร และได้ที่นั่งในรัฐสภาเกินความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นพรรค Alternative for Germany (AfD) ในเยอรมนี Freedom Party ในออสเตรีย ANO 2011 ในสาธารณรัฐเช็ก หรือพรรค Law and Justice (PiS) ในโปแลนด์ เป็นต้น
ในปี 2018 พรรคการเมืองและขบวนการขวาจัดคงมีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งสำคัญๆ ในยุโรปไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสาธารณรัฐเช็กและฟินแลนด์ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไปในฮังการี อิตาลี และสวีเดน โดยเฉพาะในกรณีของอิตาลี พรรคประชานิยมขวาจัด เช่น Five-Star Movement น่าจะเป็นบททดสอบสำคัญต่อระบบการเมืองของยุโรปได้ดีทีเดียว
แต่สิ่งที่เราอาจจะไม่ค่อยได้พิจารณากันมากนักก็คือ การหวนคืนของประชานิยมเสรีนิยมใหม่ “ปรากฏการณ์ Macron” เป็นปรากฏการณ์ของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานทางการเมืองในแบบ “หลังการเมือง” ซึ่งลดทอนการตัดสินใจทางการเมืองให้เป็นเรื่องทางเทคนิคการบริหารจัดการและผู้เชี่ยวชาญ แต่ในเวลาเดียวกันก็ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ต่อไปอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการลดกฎเกณฑ์ (deregulation) หรือการทำลายระบบสวัสดิการต่างๆ เช่น เงินบำนาญ การประกันสุขภาพ เป็นต้น
แนวโน้มแบบหลังไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริงในการเมืองโลก เพราะเราไม่ได้มีทางเลือกใหม่ในระนาบอุดมการณ์ทางการเมืองจริงๆ ความล้มเหลวหรือล่มสลายทางอุดมการณ์ทางการเมืองอาจจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนหันไปเลือกพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ทั้งนี้เพราะพรรคการเมืองหลักต่างมีนโยบายที่แทบไม่แตกต่างกันเลย โดยเฉพาะการส่งเสริมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่
หากไม่มีทางเลือกใหม่อื่นใด นอกจากพรรคกลาง-ซ้ายและพรรคกลาง-ขวา เราคงได้เห็นการกลับมาของพรรคแนวประชานิยมฝ่ายขวาอีกครั้งอย่างแน่นอน
สรุป
จริงๆ แล้วยังมีประเด็นสำคัญอีก 2-3 เรื่องที่เราอาจจะตั้งคำถามว่าจบสิ้นไปพร้อมการเมืองระหว่างประเทศปี 2017 แล้วหรือไม่ ได้แก่ การสิ้นสุดของ ISIS และการสิ้นสุดของระบอบการไม่แผ่ขยายอาวุธนิวเคลียร์หรือ non-proliferation (ดังเช่นกรณีการทดลองและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ) แต่ผมขอเก็บไว้เขียนถึงในโอกาสต่อไป
กล่าวโดยสรุป ผมคิดว่าการเมืองระหว่างประเทศหรือประเด็นปัญหาระหว่างประเทศหลายประการไม่ได้สิ้นสุดไปพร้อมกับวันสิ้นปี และไม่สามารถที่จะคาดหวังอย่าง “โลกสวย” ว่า ในปีใหม่ อะไรๆ ในโลกก็จะดีขึ้นตามไปด้วย โดยส่วนมากแล้ว ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ถอดด้าม หากแต่เป็นโจทย์ที่มีความต่อเนื่อง หรือเป็นคำถามค้างคาที่ดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศต่างหาก
เช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราจะได้เห็นในการเมืองโลกปี 2018 คือ “การหวนคืนของประวัติศาสตร์” มากกว่า “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์”