สแกมเมอร์ยังอยู่รอด – ผู้ลี้ภัยถูกทอดทิ้ง: มองชายแดนไทยในเงาวิกฤต กับ กัณวีร์ สืบแสง

ในระยะไม่กี่สัปดาห์มานี้ พื้นที่ชายแดนไทย-พม่าได้กลายเป็น ‘จุดร้อน’ ที่มีสถานการณ์ให้ติดตามกันวันต่อวัน ประเด็นแรกคือปัญหาเครือข่ายสแกมเมอร์ทุนเทาที่สร้างความปั่นป่วนในระดับนานาชาติ จนทำให้รัฐบาลไทยต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดอย่างการตัดน้ำ ตัดไฟ และสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อสกัดกั้นกิจกรรมผิดกฎหมาย และประเด็นที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันคือวิกฤตในค่ายผู้ลี้ภัยหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมขององค์กรด้านมนุษยธรรมที่เป็นเสาหลักในการดูแลผู้ลี้ภัยในไทยต้องหยุดชะงัก

‘อาชญากรรมข้ามชาติยังเดินต่อได้ ขณะที่ผู้ลี้ภัยขาดที่พึ่งพา’ ประเด็นเหล่านี้กำลังพาประเทศไปสู่จุดใดและรัฐไทยควรรับมืออย่างไร? วันโอวันชวน กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเป็นธรรม มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังท้าทายความมั่นคงของชายแดนไทยในขณะนี้

หมายเหตุ : 101 One-on-One EP.356: เรื่องร้อนชายแดนไทย จากแหล่งสแกมเมอร์ถึงวิกฤตค่ายผู้ลี้ภัย กับ กัณวีร์ สืบแสง เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568

YouTube video

ยืดหยุ่นและทุนหนา: โจทย์ยากการปราบปรามสแกมเมอร์

กัณวีร์ตั้งต้นโดยการพาย้อนดูวิวัฒนาการเมืองสแกมเมอร์ในฝั่งพม่าตรงข้ามชายแดนไทย ซึ่งกำลังเป็นประเด็นในขณะนี้ เดิมทีพื้นที่เหล่านี้ดำเนินกิจการคาสิโนมานานหลายปี แต่เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้การข้ามแดนหยุดชะงัก ธุรกิจเหล่านี้จึงปรับตัวโดยเปลี่ยนจากคาสิโนออฟไลน์สู่การพนันออนไลน์แทน ซึ่งต่อมาพัฒนาไปเป็นการหลอกหลวงรูปแบบต่างๆ

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จีนซึ่งเป็นต้นทางของทุนสแกมเมอร์สีเทาได้ใช้มาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้นต่อเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ มาตรการนี้มีโทษหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือแม้แต่ประหารชีวิต สถานการณ์เช่นนี้บีบให้กลุ่มทุนผิดกฎหมายต้องย้ายฐานปฏิบัติการออกนอกประเทศ โดยมีพม่าเป็นปลายทางสำคัญ ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะอยู่ใกล้จีนที่สุด แต่ยังมีสถานะเข้าใกล้คำว่า ‘รัฐล้มเหลว’ (failed state) ที่เอื้อให้ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ขยายตัวได้ง่าย

“ตอนแรกก็หลอกลวงคนแค่ไม่กี่ประเทศในภูมิภาค แต่พอเงินหนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลักแสนล้านบาท ก็อยากขยายเป็นธุรกิจหลอกลวงที่ใหญ่ขึ้น พวกนี้มีธุรกิจคอลเซ็นเตอร์เป็นช่องทางในการหาเงินอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือขาดแคลนแรงงานในการทำงานหลอกลวงคน อาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้จึงเริ่มหันไปมองเรื่องขบวนการนำพา คือการหลอกลวงคนจากประเทศต่างๆ โดยการอ้างว่ามีงานให้ทำ และให้เข้ามาผ่านไทยซึ่งมีฟรีวีซ่าให้กับหลายประเทศ”

กัณวีร์ชวนมองว่าการขยายตัวของเครือข่ายการหลอกลวงที่แผ่ขยายไปทั่วโลกอาจดูได้จากกรณีที่กองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army: DKBA) เพิ่งส่งตัวเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ 260 คนให้ทางการไทย ซึ่งในกลุ่มนี้มีมากถึง 20 สัญชาติ และหากรวมทั้งหมดแล้วตัวเลขอาจสูงถึง 30 สัญชาติ

“เราไม่ได้กำลังดีลแค่กับมาเฟียจีน มาเฟียไทย หรือมาเฟียพม่าเท่านั้น แต่เรากำลังดีลกับมาเฟียโลก เห็นได้จากที่มีคนกว่า 30 สัญชาติเป็นเหยื่อ นั่นหมายความว่าขบวนการนำพาและขบวนการค้ามนุษย์ต้องมีต้นตอมาจากประเทศต้นทาง รวมถึงประเทศทางผ่านอย่างไทย เราจึงไม่ได้พูดถึงแค่อาชญากรรมข้ามชาติ (transnational crime) แต่นี่คือองค์กรอาชญากรรม (organized crime) ที่มีการจัดตั้งเป็นระบบและมีเครือข่ายระดับโลก ซึ่งในปัจจุบัน ศักยภาพของเครือข่ายเหล่านี้ถือว่าแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

หลังจากรัฐบาลไทยเริ่มใช้ ‘ยาแรง’ ในการปราบปราม ด้วยการตัดน้ำ-ไฟ น้ำมัน และสัญญาณโทรศัพท์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กัณวีร์มองว่ามาตรการเหล่านี้อาจทำให้ธุรกิจอาชญากรรมสะดุด แต่ไม่ถึงกับล้ม เพราะเครือข่ายเหล่านี้มีทรัพยากรที่ทำให้ปรับตัวและย้ายที่ปฏิบัติการได้อย่างยืดหยุ่น

“อย่าลืมนะครับว่าพวกนี้คือนักธุรกิจ พวกเขาต้องวางแผนเพื่อให้กิจกรรมต่างๆ เดินหน้าต่อไปได้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ในช่วง 13 วันที่รัฐบาลไทยยังโยนกันไปมาว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องการตัดไฟ พวกเขาเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว มีเครื่องปั่นไฟสำรอง หากถูกตัดไฟทั้งหมดก็ยังสามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือน อย่างที่เห็นในชเวก๊กโก่ หลังไทยตัดน้ำตัดไฟ ก็ปรับตัวทันที มีการออมพลังงานโดยตัดไฟบางอาคารที่เคยเปิดสว่าง เพื่อให้การดำเนินงานในส่วนสำคัญยังไปต่อได้

“การตัดไฟ 5 จุดเป็นเพียงพื้นที่ชั้นนอก ยังมีพื้นที่ชั้นในให้สแกมเมอร์ขยับไปได้อีก และอย่าลืมว่ายังมีอีกฐานที่มั่นของเครือข่ายนี้อยู่ที่กัมพูชา ไม่ใช่แค่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ที่สำคัญพวกเขามีต้นทุนพร้อม ทั้งเงินทุน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และซิมการ์ด สามารถย้ายไปที่ไหนก็ได้ สิ่งเดียวที่ต้องการคือกำลังคน” กัณวีร์กล่าว

‘เปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้กำหนดทิศทาง’ บทบาทที่รัฐไทยต้องทำมากกว่านี้

นอกจากความสามารถในการปรับตัวและย้ายฐานปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือเครือข่ายนำเข้าแรงงานให้มาทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ทำให้กระบวนการหลอกลวงดำเนินต่อไปได้ กัณวีร์ชี้ว่าหากต้องการแก้ปัญหานี้อย่างแท้จริง รัฐต้องมองให้เห็นโครงข่ายของขบวนการค้ามนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังการนำพาคนเหล่านี้เข้ามาในระบบ

“ตอนนี้สังคมยังไม่ตระหนักว่าขบวนการนำพาเลวร้ายแค่ไหนและเราจะตัดตอนมันได้อย่างไร ไทยเองก็ยังไม่ใช้กลไกระดับระหว่างประเทศจัดการกับเครือข่ายเหล่านี้อย่างจริงจัง พอปัญหามาเกี่ยวข้องกับไทย เรากลับมองไม่ออกว่ากระบวนการนำพาเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ความจริงแล้ว คนที่เข้าสู่ขบวนการเหล่านี้เดินทางเข้ามาถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านนโยบายฟรีวีซ่าหรือใช้พาสปอร์ตที่ถูกต้อง สามารถอยู่ในไทยได้ 60 วัน และขอต่อวีซ่าเพิ่มได้อีก 30 วัน ซึ่งทำให้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย”

กัณวีร์เสนอว่ารัฐบาลไทยควรดำเนินมาตรการในสองประเด็นหลักเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ประการแรก ควรมีมาตรการกำกับดูแลนโยบายฟรีวีซ่า เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายอาชญากรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการนำพาเหยื่อผ่านไทย ก่อนถูกส่งต่อไปทำงานให้กับแก๊งสแกมเมอร์ ประการที่สอง ควรจัดระบบโซนนิ่งบริเวณชายแดนทั้งหมดเพื่อดูแลจุดผ่านแดนให้รัดกุมยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้จะได้ผลจริงก็ต่อเมื่อไทยสามารถผลักดันความร่วมมือในระดับนานาชาติ โดยใช้กลไกจากเวทีระหว่างประเทศเพื่อติดตามและสกัดกั้นขบวนการนำพา กัณวีร์ย้ำว่าไทยควรเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลไทยยังคงอยู่ในฐานะผู้ตามและขาดแนวทางเชิงรุก

“ที่ผ่านมา ผมยังไม่เห็นนโยบายเชิงรุกที่มองไปข้างหน้า เรามักจะดำเนินนโยบายแบบ situational driven คือรอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยตอบสนอง แทนที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มคิดล่วงหน้า ที่สำคัญคือเราต้องแสดงบทบาทนำ ต้องคิดว่ามีตัวละครอะไรบ้าง มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเวทีระหว่างประเทศที่ควรดึงเข้ามาไหม ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามี 30 ประเทศที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนำพา แต่เราได้ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีกลไกจัดการกับการค้ามนุษย์บ้างหรือยัง

“สิ่งที่เห็นคือเรายังปล่อยให้จีนเป็นฝ่ายนำอยู่ ตอนนี้ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนทำงานประหนึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไทย สามารถเดินข้ามไปยังฝั่งนู้นแล้วทำกลไกคัดแยก ใครเป็นหรือไม่เป็นเหยื่อ พอกลับมาบอกไทย ไทยก็เชื่อ สิ่งนี้สะท้อนว่าเราช้าและตามหลัง”

กัณวีร์ชี้ว่าการแสดงบทบาทนำในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคจำเป็นต้องอาศัย ‘วิทยายุทธทางการทูต’ ของกระทรวงการต่างประเทศในการโน้มน้าวและดึงตัวแสดงที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนบทบาทของไทย

“การต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งอย่างเป็นรูปแบบในระดับหว่างประเทศต้องมีจุดยืนทางการทูตที่ชัดเจน ไทยต้องประกาศว่าเราจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ใช้มันสมอง ใช้โอกาสที่ตอนนี้ปัญหามันมาถึงเราแล้ว หลายคนมองว่าไทยโชคร้ายที่มาอยู่ตรงกลางระหว่างขบวนการเหล่านี้ แต่แทนที่จะมองเป็นโชคร้าย เราต้องใช้จังหวะนี้พิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง”

ทางออกที่ยั่งยืนของโจทย์ผู้ลี้ภัย

นอกเหนือจากประเด็นการปราบปรามเครือข่ายคอลเซนเตอร์ที่กำลังเป็นที่จับตามองบริเวณชายแดน อีกหนึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือการยุติการดำเนินงานของโครงการด้านมนุษยธรรมในค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดงบประมาณความช่วยเหลือของสหรัฐฯ กัณวีร์อธิบายว่า ค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งในประเทศไทยถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยงบประมาณในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ที่พัก หรือการศึกษา ไม่ได้มาจากภาษีของประชาชนไทย แต่พึ่งพาเงินสนับสนุนจากประเทศผู้บริจาคผ่านองค์กรภาคประชาสังคมที่เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ ทำให้เกิดการพึ่งพาที่สร้างความท้าทายต่อรัฐไทยตามมา

“เราคิดเสมอว่าเราจะปิดแคมป์เหล่านี้ตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว พอเราไม่เปลี่ยนสมการความคิด ทุกอย่างก็ถูกปล่อยให้ดำเนินไปด้วยเงินบริจาคจากต่างประเทศ แค่เงินบริจาคจากสหรัฐฯ ก็คิดเป็น 40-50% ของงบประมาณในค่ายแล้ว ที่สำคัญผู้หนีภัยหรือผู้ลี้ภัยในค่ายไม่เคยต้องทำงาน พวกเขารอเงินบริจาคและอาหารที่มาถึงทุกเดือนตลอด 40 ปี ไม่นับว่าบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา และกิจกรรมต่างๆ ในค่ายก็พึ่งพาเงินเหล่านี้ พอทรัมป์เข้ามาและสั่งตัดงบ 90 วัน ทุกอย่างก็ล้มทันที เพราะการพึ่งพาที่สร้างไว้นานหลายสิบปีถูกตัดขาดอย่างฉับพลัน”

หากมองถึงทางออกที่เป็นไปได้ ในขณะที่เหตุการณ์ในพม่ายังไม่สงบ ทางเลือกในการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศคงเป็นไปไม่ได้ และทางเลือกในการส่งต่อไปยังประเทศที่สามก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด เนื่องจากจำนวนโควตารับผู้ลี้ภัยมีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนที่อยู่ในไทย หนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการบูรณาการเข้ากับสังคมไทย (local integration) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย

“ตอนนี้ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานทักษะต่ำ เช่น ก่อสร้าง ประมง และอื่นๆ กระทรวงแรงงานมีข้อมูลทั้งหมดว่ามีอัตราตำแหน่งงานว่างกี่แสนตำแหน่งที่คนไทยไม่ทำ ถ้ากังวลว่าผู้ลี้ภัยจะมาแย่งอาชีพของคนไทย กระทรวงแรงงานสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาช่วยพิจารณาได้

“ปัจจุบัน มีผู้ลี้ภัยกว่า 50,000 คนในค่ายที่อยู่ในวัยทำงาน หากพวกเขาสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างแรงงานของประเทศไทยแทนที่จะอยู่โดยไร้ทางเลือก ก็ควรให้พวกเขาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อทำงานได้ถูกต้องแล้ว พวกเขาก็จะเสียภาษีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยเช่นกัน”

ส่วนประเด็นที่โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยต้องปิดตัวลง ซึ่งมาพร้อมกับเสียงจากคนไทยหลายคนว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้คนไทย กัณวีร์มองประเด็นนี้ว่า

“สมการของผมคือ เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง ตอนนี้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บในค่ายยังพอหาทางรักษาได้ แต่หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปอีกปีทุกอย่างจะยิ่งลำบากขึ้น ดังนั้น เราต้องมีความกล้าหาญในการตัดสินใจเชิงบริหารโดยเร็ว หากเรากล้าตัดสินใจในตอนนี้ให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พวกเขาก็จะมีรายได้เพียงพอที่จะซื้อสวัสดิการและประกันสุขภาพของตัวเองซึ่งจะเข้าสู่ระบบไปโดยอัตโนมัติ พอเขามีเงินและอยู่ด้วยตัวเองได้ก็ไม่ต้องกลับเข้ามาในค่ายอีกแล้ว”

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

Social Issues

19 Jan 2023

เปิดสถิติเรียนพิเศษนักเรียนไทย: เมื่อโรงเรียนไม่อาจพาเด็กไปถึงฝั่ง

คิด for คิดส์สำรวจสถิติการเรียนพิเศษของนักเรียนไทย จำนวน 12,999 คน จากข้อมูลการสำรวจเยาวชนไทย 2022 ที่มุ่งสำรวจความรับรู้ คุณค่า และทัศนคติของเยาวชนไทย ซึ่งรวมไปถึงประเด็นด้านการศึกษาและการเรียนพิเศษ

สรวิศ มา

19 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save