‘มุ่งหวังคะแนนนิยม-ไม่คำนึงผลประโยชน์ของชาติ’ แพทองธารไม่รอด! เปิดคำพิพากษา จุดยืนพรรคการเมือง และความเห็นนักวิชาการ

จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลุดสู่สาธารณะ วันนี้ (29 สิงหาคม 2568) ศาลรัฐธรรมนูญลงมติเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) ให้แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568

ในฝ่ายเสียงข้างมาก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียงเห็นว่าแพทองธารขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) ว่าด้วยเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ (5) ว่าด้วยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขณะที่อีก 2 เสียงเห็นว่าแพทองธารขาดคุณสมบัติจริยธรรมตาม (5) เท่านั้น ส่วนในฝ่ายเสียงข้างน้อย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 3 เสียงเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมไม่ร้ายแรง 

คำพิพากษาส่วนหนึ่งระบุว่าตำแหน่งนายกฯ มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ อธิปไตย และศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของประเทศ จึงมีอำนาจตัดสินใจและบริหารงานเพื่อประโยชน์ขของประเทศและประชาชน อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ศาลเห็น คือแม้การสนทนาระหว่างแพทองธารและสมเด็จฮุน เซนจะกระทำในช่วงเวลาส่วนตัว โดยที่แพทองธารเรียกว่าเป็นการเจรจาส่วนตัว แต่บทสนทนาคุยกันเรื่องการเปิดด่าน ซึ่งเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ 

กรณีที่เอ่ยถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝั่งตรงข้ามนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ และแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองในประเทศให้กัมพูชารับทราบ เป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาอาจแทรกแซงกิจการภายใน

ส่วนกรณีที่เอ่ยว่า “เห็นใจหลานหน่อย คนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ เขมรหมดแล้ว อยากได้อะไรให้บอก…” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการขอให้สมเด็จฮุน เซนเห็นใจและช่วยเหลือ โดยโน้มน้าวให้เปิดด่านพร้อมกันในลักษณะที่เป็นการตกลงพร้อมกัน เพราะหากทำตามข้อเรียกร้องกัมพูชา แพทองธารอาจโดนวิจารณ์หนักขึ้น ซึ่งศาลเห็นว่าแพทองธารแสดงท่าทียอมจำนนล่วงหน้า อันเปิดช่องให้กัมพูชายื่นข้อเรียกร้อง ทั้งยังแสดงท่าทีว่ายินดีจะดำเนินการให้โดยไม่มีเงื่อนไขหรือคำนึงถึงขอบเขตการเจรจาต่อรองโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศชาติ 

ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าแพทองธารมุ่งหวังทำให้คะแนนนิยมในประเทศดีขึ้น เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งเป็นประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติอันเป็นที่ตั้ง 

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุด้วยว่า พฤติการณ์นี้ทำให้สงสัยได้ว่าแพทองธารจะยินยอมทำตามกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ เพราะรู้จักกับสมเด็จฮุน เซนเป็นการส่วนตัว และอาจดำเนินการในทางที่เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา นอกจากนี้ แม้หลังสนทนาจบ แพทองธารจะเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กแจ้งการหารือเรื่องนี้ให้ทราบ แต่ก็ไม่ได้แจ้งรายละเอียดว่าพูดอะไรที่เป็นข้อพิพาทในคดี จึงเห็นว่าเป็นการปกปิดไม่ให้ทราบเจตนาที่แท้จริง 

“การกระทำขอความเห็นใจของแพทองธารจึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่ผู้ถูกร้อง [แพทองธาร] กล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งตามวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควรต้องมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 164 วรรค 1 (1)” 

“เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัว คือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิหรือเกียรติของนายกรัฐมนตรีและประเทศไทย” นี่คือส่วนหนึ่งของคำพิพากษา 

ท้ายที่สุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าพฤติการณ์มีลักษณะไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม 

แม้จะกล่าวอ้างว่าเป็นการเจรจาส่วนตัวและเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมืองโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสาธารณชนเคลือบแคลงว่าแพทองธารอาจกระทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์กับกัมพูชามากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกฯ 

“ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง อันมีลักษณะเป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ”


“ในคลิปเสียงไม่ได้ขออะไรที่เป็นประโยชน์ตนเอง” แพทองธารแถลงหลังคำพิพากษา


ไม่นานหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยจบ แพทองธารแถลงข่าวว่าน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กระนั้นยังเน้นย้ำว่า “ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจและความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะทำเพื่อประเทศตลอดมา ในบทสนทนานั้นที่เป็นคลิปเสียงออกไป ดิฉันไม่ได้ขออะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวดิฉันเองเลย”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันยึดมั่นเสมอคือชีวิตของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือน ดิฉันตั้งใจจริงๆ ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นว่าจะทำอย่างไรเพื่อรักษารักษาชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไว้ให้ได้” แพทองธารกล่าว พร้อมย้ำว่าคลิปเสียงดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์การปะทะในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568

“คำตัดสินของศาลในวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลัน” แพทองธารระบุ โดยเห็นว่าทุกฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชนทุกคน จำเป็นต้องสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับมาเข้มแข็งและไม่ให้มีจุดเปลี่ยนทางการเมืองอย่างฉับพลันเช่นนี้อีก

นอกจากนี้ แพทองธารยังกล่าวขอบคุณประชาชนว่า “ดิฉันต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทยที่ให้โอกาสดิฉันทำงานเพื่อประเทศชาติมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ดิฉันมีความภาคภูมิใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้” พร้อมทิ้งท้ายว่าตนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำโอกาสกลับมาให้ประชาชน เพราะการที่พี่น้องลืมตาอ้าปาก กินดีอยู่ดี คือพื้นฐานของการพัฒนาประเทศให้มีเสถียรภาพ

แพทองธารยังย้ำอีกว่า “ดิฉันในฐานะคนไทยคนหนึ่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สุดหัวใจเท่าที่คนไทยคนหนึ่งจะทำได้ ยังขอยืนยันเรื่องนี้ตลอดไป”

ท้ายที่สุด แพทองธารกล่าวขอบคุณประชาชนไทย คณะรัฐมนตรี และสื่อมวลชนที่ให้โอกาสได้ปฏิบัติหน้าที่ และยืนยันว่าหากมีสิ่งใดที่สามารถทำให้ประเทศชาติดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ตนยินดีที่จะทำ และต่อจากนี้จะส่งกำลังใจ คอยติดตามอย่างใกล้ชิด และเป็นพลังที่ดีให้กับประเทศชาติต่อไป

ต่อมามีการแถลงจุดยืนพรรคร่วมรัฐบาลเดิม โดยภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยังจับมือกัน พร้อมระบุด้วยว่า “คิดว่าจะร่วมมือกันทำงานได้ต่อไป” 

ภูมิธรรมกล่าวว่าถัดจากนี้พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการต่อไปโดยจะเลือกนายกฯ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งมีแนวโน้มอาจเสนอชื่อชัยเกษม นิติสิริขึ้นดำรงตำแหน่งด้วย พร้อมเน้นย้ำด้วยว่าพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และจะใช้เวลาดำเนินการให้เร็วที่สุด 

ท้ายที่สุด ภูมิธรรมทิ้งท้ายว่า “สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตย พวกเราก็พร้อมจะสนับสนุนสิ่งนั้นได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้มีการใช้ดุลพินิจพิจารณา เพราะยังต้องมีรายละเอียดต่อไป” 


‘นายกฯ ต้องยุบสภา – ครม.ต้องทำประชามติ’ เปิดเงื่อนไขสำคัญพรรคประชาชน


ด้านพรรคประชาชนเผยว่า คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในประเด็น ‘ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ และ ‘มาตรฐานจริยธรรม’ เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายชัดเจน แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ คุณสมบัตินี้จึงไม่ควรถูกวินิจฉัยชี้ขาดโดยศาลรัฐธรรมนูญ 

ด้วยสถานการณ์ของประเทศในตอนนี้ พรรคประชาชนเห็นว่ารัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะต้องมีเสถียรภาพ มีความชอบธรรมทางการเมือง และตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ด้วยเงื่อนไขที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบของ สส. ชุดปัจจุบัน 

“ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศจึงเป็นการสรรหานายกรัฐมนตรีที่มาทำหน้าที่ยุบสภา และจัดให้มี ‘การเลือกตั้งใหม่’ โดยเร็ว” คือข้อความจากแถลงการณ์ของพรรคประชาชน 

พรรคประชาชนเผยว่าในฐานะพรรคที่เสียงมากสุดในสภา จึงมีภารกิจผ่าทางตันด้วยการเลือกนายกฯ คนใหม่เพื่อทำหน้าที่ยุบสภา และป้องกันไม่ให้นายกฯ ที่เคยเป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือนายกฯ คนนอก 

โดยพรรคประชาชนเสนอว่า สส.ของพรรคจะเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ ภายใต้เงื่อนไขสามข้อ ได้แก่ 

1. นายกฯ คนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายในสี่เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

2. คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกินไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

3. พรรคประชาชนยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

ภายหลังจากแถลงการณ์ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน มองเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “ไม่คิดว่าเป็นบวกหรือเป็นลบต่อพรรคประชาชน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ณ เวลานี้ คือการทำให้ประเทศเดินหน้าผ่านการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชอบธรรมเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ”

ส่วนประเด็นเรื่องการตกลงกับพรรคการเมือง ณัฐพงษ์เผยว่า “เวลานี้ยังไม่มีการตกลงใดๆ อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจากพรรคการเมืองใดก็ตาม” ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคประชาชนแถลงว่าจะไม่ร่วมรัฐบาล และพร้อมใช้กลไกทุกอย่างเพื่อฝ่าทางตันของประเทศ 

ต่อกระแสข่าวที่อนุทิน ชาญวีรกูลเดินทางไปที่พรรคประชาชน ณัฐพงษ์ระบุว่ายังไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการใดๆ และไม่ทราบว่าความตั้งใจของอนุทินจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อพรรคแถลงเงื่อนไขแล้ว หากพรรคใดต้องการรวมเสียงกับพรรคประชาชน ก็จะต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว 

ทั้งนี้ ณัฐพงษ์ย้ำถึงความสำคัญของเงื่อนไขว่า “สส. ของเราจะใช้เสียงทั้งหมดที่มีเพื่อกำกับทิศทางของประเทศโดยนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ผมเชื่อว่าเสียงของเราจะเป็นเสียงสำคัญในสภาในการกำกับนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว” 

คำถามคือหากพรรคใดยอมรับเงื่อนไข แต่ผิดคำสัญญาภายหลังจะเป็นอย่างไร ณัฐพงษ์ย้ำว่าที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละชุดมักผิดสัญญากับประชาชนหลายครั้ง หากครั้งนี้ทำผิดสัญญากับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนก็จะจดจำ และตัดสินนักการเมืองที่โกหกประชาชน 

เมื่อถามถึงการยุบสภาและความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่ ณัฐพงษ์ยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่ได้ตั้งเงื่อนไขขึ้นบนความได้เปรียบหรือเสียเปรียบของพรรค แต่มองว่าหากประเทศจะหาทางออกได้ ก็จำเป็นจะต้องมีรัฐบาลที่มีความชอบธรรมเท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่


ภูมิใจไทยตอบรับข้อเสนอและเงื่อนไขพรรคประชาชน ชิงตั้งรัฐบาลแข่งเพื่อไทย


อีกพรรคหนึ่งที่กำลังกลายเป็นที่จับตามองหนีไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย ที่มีข่าวว่าหัวหน้าพรรค อนุทิน ชาญวีรกุล กำลังรวมเสียงเพื่อชิงตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคเพื่อไทย และได้เดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาชนเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าพรรค ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แทบจะทันทีหลังสิ้นสุดการแถลงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

ไม่นานนับจากนั้น พรรคภูมิใจไทยก็ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า “รับข้อเสนอของพรรคประชาชน และดำเนินการรวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดของสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้สนับสนุนหลัก”

นอกจากนี้แถลงการณ์ของพรรคภูมิใจไทยยังระบุว่าภายหลังจากการรับข้อเสนอของพรรคประชาชนในวันนี้แล้วจะเชิญพรรคการเมืองต่างๆ มาหารือขอรับการสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาล เพื่อบริหารประเทศท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาที่มีอยู่หลายด้าน โดยพรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอนโยบายและภารกิจหลักของรัฐบาลใหม่สามประการ ได้แก่

1. การแก้ปัญหาความมั่นคงกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา 

2. การจัดทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยเร็ว 

3. การยุบสภาผู้แทนราษฎร คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองภายในเวลาสี่เดือน นับจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น

พรรคภูมิใจไทยยังได้ทิ้งท้ายในแถลงการณ์ว่า “พรรคภูมิใจไทย ขอขอบคุณพรรคประชาชนที่ได้นำเสนอแนวทางจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้การเมืองไทยดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้อย่างราบรื่น และขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนพรรคการเมืองทุกพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อแก้วิกฤติของประเทศ แก้ปัญหาของประชาชน และ คืนอำนาจให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ตัดสินใจทางการเมือง อีกครั้งหนึ่ง” 


ทัศนะนักวิชาการต่อคำพิพากษาและฉากทัศน์การเมืองไทย


ภายหลังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า “คำวินิจฉัยสร้างความไม่แน่นอนและความไร้เสถียรภาพของระบบการเมือง ไม่ใช่แค่รัฐบาล”

นอกจากนั้น สิริพรรณยังย้ำว่าไม่เห็นด้วยที่ศาลมีอำนาจในการสั่งนายกฯ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากทำให้การถ่วงดุลอำนาจนั้นไม่สมดุล และยังอาจเป็นผลเสียต่อระบบตุลาการเองในอนาคต 

“เมื่อศาลมีอำนาจตัดสินนักการเมือง ก็จะยิ่งทำให้นักการเมืองต้องการมาแทรกแทรงการตัดสินของศาล และผลกระทบที่ตามมาคือทำให้ศาลถูกตั้งคำถามถึงความเป็นกลาง ความซื่อตรงต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นผลเสียระยะยาวต่อสถาบันศาล” สิริพรรณกล่าว

ขณะที่เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าการถอดถอนรัฐมนตรีโดยอำนาจตุลาการได้กลายเป็นการสร้างสภาวะความปกติใหม่ให้กับการเมืองไทยไปแล้ว และทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วต่อให้เลือกตั้งใหม่และมีนายกรัฐมนตรีใหม่ ก็อาจจะหลุดด้วยอำนาจของตุลาการได้อีก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นเข็มทองจึงเสนอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ที่จะแก้ไขในเรื่องนี้ แต่ก็ยังดูไม่เห็นวี่แววว่าจะแก้ได้จริง

“ในสถานการณ์แบบนี้ซึ่งยิ่งควรจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองกลับยิ่งไม่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมองว่าเป็นเรื่องยากจนเกินไป และกลายเป็นว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่เน้นไปที่การสร้างขั้วอำนาจใหม่เพื่อให้พรรคอยู่รอดแทน” เข็มทองกล่าว

ส่วนในแง่ฉากทัศน์การเมืองต่อจากนี้นั้น เบื้องต้นสิริพรรณมองว่าทั้งฝั่งพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยที่กำลังแข่งตั้งรัฐบาลกันอยู่ ต่างอยากให้มีการเลือกนายกฯ ไวที่สุด 

“พรรคเพื่อไทยอาจพยายามจะจบให้เร็วก่อนวันที่ 9 กันยายน เนื่องจากเป็นวันตัดสินคดีของทักษิณในคดีชั้น 14 ในขณะที่ฝั่งอนุทิน (ภูมิใจไทย) ก็มีการเคลื่อนไหวเร็วมากหลังจากศาลตัดสิน ซึ่งจริงๆ อาจเคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว” สิริพรรณกล่าว 

นอกจากนี้สิริพรรณชี้ว่า พรรคประชาชนได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชะตาว่าฝั่งไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่ว่าพรรคประชาชนจะโหวตให้ฝั่งไหนนั้น ทั้งสองฝั่งก็ต่างจะอยู่ยาก เพราะจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เนื่องจากพรรคประชาชนยืนยันไม่ร่วมรัฐบาล เพียงแต่โหวตให้ฝั่งที่รับเงื่อนไขของพรรคเท่านั้น 

หลังพรรคประชาชนประกาศเงื่อนไข พรรคภูมิใจไทยได้แถลงการณ์ตอบรับแทบจะทันที ขณะที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ จึงทำให้หลายคนจับตาว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมรับดีลของพรรคประชาชนหรือไม่ ซึ่งเข็มทองให้ความเห็นว่า “สองพรรคนี้ไม่ได้ขัดแย้งแค่เรื่องผลประโยชน์ แต่มีเรื่องส่วนตัว เรื่องศักดิ์ศรี ทำให้จับมือยาก แต่ประชาชนหลายคนเท่าที่เห็นก็เชียร์ให้จับมือกับก้าวไกล เพราะเป็นทางลงที่ดูจะสง่างามที่สุดแล้ว”

รัฐบาลชุดต่อไปจะนำโดยพรรคเพื่อไทยหรือพรรคภูมิใจไทยนั้นยังมีโจทย์ที่แตกต่างกัน โดยสิริพรรณชี้ว่า “ในฝั่งภูมิใจไทยนั้นมีเรื่องคดีความเขากระโดงและคดีฮั้ว สว. เพราะฉะนั้นถ้าภูมิใจไทยเข้ามา สิ่งที่ภูมิใจไทยต้องการคือการคุมกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสำคัญๆ ให้ได้ ขณะที่ในส่วนเพื่อไทยคือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งสิ่งที่เพื่อไทยต้องการมากที่สุดคือเวลาที่จะเรียกคะแนนนิยมกลับคืนมา”

นอกจากฉากทัศน์ที่พรรคเพื่อไทยหรือพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ยังมีการมองถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การยุบสภา ซึ่งสิริพรรณและเข็มทองมีความเห็นต่างในเรื่องอำนาจการยุบสภาของนายกฯ รักษาการ โดยสิริพรรณมองว่ารักษาการนายกฯ มีอำนาจยุบสภาได้ ขณะที่เข็มทองมองว่าเนื่องจากศาลตัดสินให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรีหลุดตำแหน่งทั้งคณะไปแล้ว อำนาจจึงต้องกลับไปสู่รัฐสภา แปลว่ารัฐสภาต้องเลือกนายกฯ ให้เสร็จก่อนจึงยุบสภาได้

อีกฉากทัศน์หนึ่งที่มีการพูดถึงกันคือจะมีการเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ รัฐมนตรีหรือไม่ แต่ก่อนไปถึงประเด็นนั้น เข็มทองชี้ว่าต้องพิจารณาก่อนว่าประยุทธ์สิ้นสุดสถานะแคนดิเดตนายกฯ แล้วหรือยัง เพราะประยุทธ์ได้เป็นองคมนตรีซึ่งถือเป็นข้าราชการไปแล้ว จึงอาจถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่สิริพรรณชี้ว่ามีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ข้าราชการในพระองค์ไม่นับเป็นข้าราชการ ซึ่งอาจนับได้ว่าประยุทธ์ยังเป็นแคนดิเดต

อย่างไรก็ตามสิริพรรณมองว่าประยุทธ์อาจไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ แต่ก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้เสียทีเดียว

“เมื่อดูท่าที่ของอนุทินที่เคลื่อนไหวหาคะแนนเสียง กับท่าทีของพลเอกประยุทธ์ที่นิ่งเฉย ก็อาจจะมองได้ว่าพลเอกประยุทธ์อาจไม่เข้ามายุ่งการเมือง แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ว่าสุดท้ายการโหวตอาจไหลไปถึงพลเอกประยุทธ์ได้เช่นกัน” สิริพรรณกล่าว

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save