fbpx

หลักสูตรฐานสมรรถนะไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นวัฒนธรรม

‘หลักสูตรฐานสมรรถนะ’ (Competency-based Curriculum) ไม่ใช่ศัพท์ใหม่ในหมู่นักการศึกษา แต่ยังสดใหม่และเป็นที่กล่าวถึงทั่วไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในขณะนี้ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นความหวัง ความเคลือบแคลง หรือความสนใจก็ตาม เพราะอนาคตของเด็กๆ ในศตวรรษที่ 21 ดูจะผูกพันกับคำสั้นๆ ที่มีความหมายคลุมเครือนี้อย่างแยกไม่ออก

โดยทั่วไป หลักสูตรฐานสมรรถนะหมายถึงหลักสูตรที่เน้นส่งเสริมสมรรถนะของผู้เรียนในการปรับใช้องค์ความรู้ที่หลากหลายในสถานการณ์จริง ออกแบบกลยุทธ์และแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยพลิกแพลงและอย่างยืดหยุ่นในระยะยาว ตลอดจนมีสุขภาวะที่ดี สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางชีวิตให้สอดคล้องกับความผันผวนของโลกและความก้าวหน้าทางวิทยาการได้

ฟังเผินๆ ดูจะไม่แตกต่างจากปลายทางแห่งการปฏิรูปการศึกษาที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้น คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่คำถามที่ว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะจะส่งเยาวชนในวันนี้สู่ฝั่งฝันในวันหน้าได้จริงหรือไม่ แต่เป็นคำถามที่ว่าอุปสรรคซึ่งขัดขวางเจตนารมณ์อันดีนั้นอยู่ที่ใด และหากหลักสูตรใหม่จะเป็นความหวังได้จริง การปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในเวลาอันใกล้นี้ จะเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดในอดีตได้บ้าง

คำตอบของอันเดรอัส ชไลเชอร์ (Andreas Schleicher) ในงานเสวนาขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คือการปรับใช้หลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งต้องไม่เป็นเพียงคำสั่งหรือกระทั่งนโยบาย แต่ต้องเป็น ‘วัฒนธรรม’

หลักสูตรฐานสมรรถนะในระบบการศึกษาไทย

OECD จัดงานเสวนา Teaching, learning, and assessing 21st century skills: Thailand’s experience เพื่อทบทวนสถานการณ์ทั่วไปของการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในไทย และเพื่อรวบรวมความคิดเห็นตลอดจนคำชี้แนะของผู้เชี่ยวชาญจากองค์การ

สิริกร มณีรินทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไล่เรียงกำหนดการปัจจุบันของการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ นับแต่การเล็งเห็นข้อบกพร่องของการจัดการเรียนรู้โดยยึดโยงกับเนื้อหารายวิชาเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางหลักของการจัดการศึกษา จนถึงการรวบรวมข้อมูลเพื่อออกแบบหลักสูตรใหม่ และการเริ่มต้นนำร่องหลักสูตรในระดับประถมศึกษาตอนต้น ในวันที่ 11 ตุลาคม 2564

สิริกรอธิบายว่า มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการจัดการศึกษานับแต่โลกเริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยความตระหนักว่าระบบการศึกษาไทยขณะนั้นไม่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่อีกต่อไป และไม่ช้าก็เร็ว เยาวชนไทยจะขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ความพยายามปฏิรูปการศึกษาไม่ประสบความสำเร็จนักด้วยความผันผวนทางการเมือง ทำให้การดำเนินนโยบายด้านการศึกษาขาดความต่อเนื่อง กระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปการจัดการศึกษาจึงทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะจวบจนปัจจุบัน ท่ามกลางความไม่พอใจของนักเรียนที่แสดงออกผ่านการชุมนุมและเคลื่อนไหวของเยาวชนทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

โดยสมรรถนะหลัก 6 ประการที่ปรากฏในร่างกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะไทย ได้แก่ 

จากเว็บไซต์ cbethailand.com

  1. การจัดการตนเอง (Self-management) รู้จัก รัก เห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีเป้าหมายในชีวิต จัดการอารมณ์และความเครียดได้ แก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ตลอดจนฟื้นคืนสู่ภาวะสมดุลหลังเผชิญวิกฤตได้ และมีสุขภาวะที่ดี
  2. การคิดขั้นสูง (Higher Order thinking) สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้
  3. การสื่อสาร (Communication) รับสารและส่งสารได้อย่างปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา
  4. การรวมพลังทำงานเป็นทีม (Teamwork collaboration) จัดระบบและออกแบบกระบวนการทำงานทั้งของตนเอง และกระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้นำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้
  5. การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Civic literacy) เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เคารพกติกา และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสาธารณะอย่างมีวิจารณญาณ ยึดมั่นในความเท่าเทียม ค่านิยมประชาธิปไตย และสันติวิธี
  6. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน (Sustainable coexistence with nature and science) เข้าใจปรากฏการณ์ของโลกและเอกภพ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และธรรมชาติในชีวิตประจำวัน สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้

วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เสริมว่าการร่างกรอบหลักสูตรนี้ ตลอดจนการกำหนดนโยบายเปลี่ยนผ่านจากหลักสูตรเดิมล้วนอยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ อันเป็นผลลัพธ์จากแนวทางการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่เน้นใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและความร่วมมือกับหลากหลายองค์กร โดยที่ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัญหาหลักที่กองทุนฯ พบจากการรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบายเปลี่ยนผ่านหลักสูตร และยังต้องการคำชี้แนะจากองค์กรพันธมิตรทั้งในและระหว่างประเทศ คือปัญหาการขาดแคลนครูที่พร้อมปรับใช้หลักสูตรดังกล่าวในหลายโรงเรียน

แนวทางปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในไทย

โดยแผนการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในไทยนั้นเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหา และความพร้อมในการปรับใช้หลักสูตรในโรงเรียนต่างๆ ติดตามด้วยการปรับปรุงพื้นฐานและยกระดับความพร้อมของโรงเรียนผ่านการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับนโยบาย การให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาโรงเรียน หรือการสนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษา เพื่อให้การปรับใช้หลักสูตรเป็นไปโดยราบรื่น สามารถผลิตทรัพยากรมนุษย์สู่ตลาดแรงงานแห่งศตวรรษที่ 21 ได้จริง โดยระหว่างทางจะมีการรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรระดับปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนานโยบายและหลักสูตรต่อไป

“ต้องประสานความร่วมมือกับโรงเรียนตั้งแต่เริ่มร่างกรอบหลักสูตร ไม่ใช่ร่างโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครแล้วให้ทุกโรงเรียนปรับใช้ เพราะแต่ละโรงเรียนต้องเผชิญปัญหาแตกต่างกัน” สิริกรร่วมแจกแจงแนวทางข้างต้น “ดังนั้น ในขั้นตอนการร่างกรอบหลักสูตร คณะกรรมการจึงเปิดโอกาสให้อาสาสมัครมากกว่า 100 คน ให้ข้อมูลด้วย โดยมากกว่า 30 คนในนั้นเป็นครู นอกจากนั้นก็เป็นผู้แทนจากหน่วยงานเอกชน โดยคณะกรรมการได้จัดทำเว็บไซต์ cbethailand.com เพื่อรวบรวมความคิดเห็นเหล่านั้นโดยเฉพาะ”

เมื่อได้รับฟังแนวคิด แผนการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ และความท้าทายที่นักการศึกษาไทยต้องเผชิญแล้ว อันเดรอัส ชไลเชอร์ ผู้แทนจาก OECD จึงกล่าวว่าเขาชื่นชอบสมรรถนะหลักหกประการของไทยทีเดียว แต่ “ปัญหาที่แท้จริงคือ หลักสูตรฐานสมรรถนะของคุณสอดคล้องกับกลไกอื่นๆ ในระบบการศึกษาหรือไม่ ทั้งการฝึกหัดครู และนโยบายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพราะนั่นเป็นจุดที่หลายประเทศ ‘ตกม้าตาย’”

อันเดรอัสตื่นเต้นที่จะได้เห็นการนำร่องหลักสูตรในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 และเขาเห็นด้วยกับการนำร่องอย่างยิ่ง ในฐานะการเคลื่อนไหวที่รอบคอบ กระนั้น “สิ่งที่คุณต้องพิจารณาคือ จะทำอย่างไรให้ข้อบังคับที่ดีกลายเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสม และจะทำอย่างไรให้แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกลายเป็นวัฒนธรรม” อันเดรอัสให้ความเห็น “จุดที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษไม่ใช่จำนวนโรงเรียนที่สามารถปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะได้ อย่างที่หลายประเทศก้าวพลาดเสียแล้ว และจุดที่ต้องให้ความสำคัญก็ไม่ใช่จำนวนงานวิจัยหรือหลักฐานที่รวบรวมได้ แต่เป็นคำถามที่ว่าจะเปลี่ยนข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยเหล่านั้นเป็นกรอบความคิดของผู้ปกครองและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศได้อย่างไร”

ประเทศที่ทำได้ดีสำหรับอันเดรอัสคือหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะฟินแลนด์ และหากเป็นในเอเชีย ก็คือสิงคโปร์และญี่ปุ่น รวมถึงเกาหลีใต้ที่กำลังมีพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยสิงคโปร์นั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูให้เป็นนักวิจัย กล่าวคือไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การพัฒนางานวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานใหญ่ๆ มากไปกว่าสนับสนุนให้ครูสามารถดำเนินการวิจัยอย่างมีคุณภาพด้วยตนเอง และนำผลการวิจัยไปพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศได้ เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ส่งเสริมให้มีการแบ่งปันนวัตกรรมระหว่างครูด้วยกัน

“สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์สามารถทำให้ค่านิยมหลัก (core values) ของหลักสูตรที่เน้นสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นแกนของทุกสิ่งในประเทศได้ สิงคโปร์ไม่ได้เพียงแขวนคำว่า ‘สมรรถนะ’ (competency) ไว้เหนือเนื้อหาในหลักสูตร แต่เขียนเนื้อหาในหลักสูตรใหม่โดยใช้สมรรถนะเป็นฐาน เพื่อให้เด็กควบคุมตนเองได้ มีความรับผิดชอบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และใฝ่รู้” อันเดรอัสอธิบาย

กรอบความคิดว่าด้วยสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

จากเว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์

ดังที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ สิงคโปร์กำหนดให้ค่านิยมหลัก 6 ประการเป็นแกนกลางของการจัดการศึกษาและการกำหนดนโยบาย ได้แก่ ก) ความเคารพ (respect) เห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น ข) ความรับผิดชอบ (responsibility) ประพฤติตนโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อตนเองชุมชน ค) ความยืดหยุ่น (resilience) เข้มแข็งเมื่อเผชิญวิกฤต และแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม ง) ความมีคุณธรรม (integrity) กล้าหาญ ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้อง จ) ความเอาใจใส่ (care) มีเมตตาและโอบอ้อมอารี และ ฉ) ความรอมชอม (harmony) ยอมรับความแตกต่างและหลากหลายในสังคม

จากนั้นจึงกำหนดสมรรถนะเชิงสังคม-อารมณ์ (วงกลมสีชมพู) คือ ความตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง (Self-Awareness) ความสามารถในการจัดการตนเอง (Self-Management) ความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ (Responsible Decision-Making) ความตระหนักรู้เกี่ยวกับสังคม (Social Awareness) และความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์ (Relationship Management)

ในที่สุด จึงออกแบบสมรรถนะแห่งศตวรรษที่  21 (วงกลมสีแสด) ให้สอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้นด้วย คือมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมโลก มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และคิดได้อย่างสร้างสรรค์ สามารถปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นได้ เป็น ‘ผลลัพธ์’ แห่งการเรียนรู้ที่ชาวสิงคโปร์คาดหวัง คือเป็นผู้เรียนที่นำการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เป็นผู้มีความมั่นใจตนเอง เป็นพลเมืองผู้ตระหนักรู้ และเป็นผู้เต็มใจอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น (อักษรสีชมพู)

ด้วยเหตุนี้ เมื่อครูชาวสิงคโปร์ปฏิบัติการสอนในแต่ละวัน พวกเขาจึงมีเป้าหมายชัดเจนว่าเด็กจะนำองค์ความรู้นั้นๆ ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร เมื่อเรียนรู้แล้วจะมีสมรรถนะใดบ้าง ขณะที่ฟินแลนด์เน้นสร้างสมรรถนะทั้ง 7 ของเยาวชนผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์ กล่าวคือให้นักเรียนเป็นผู้กำหนดปรากฏการณ์ที่ตนสนใจศึกษา และเรียนรู้แง่มุมต่างๆ ของปรากฏการณ์นั้น ผ่านมุมมองที่หลากหลายของสารพัดสาขาวิชา ซึ่งมีหลักการดังนี้

เจตนารมณ์ของวิธีการนี้ไม่ใช่เพื่อทดแทนการเรียนเนื้อหารายวิชา แต่เป็นการมองวิชาต่างๆ ในมุมที่กว้างขึ้น เรายังสามารถศึกษาเนื้อหารายวิชาด้วยการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ได้ด้วย เมื่อผู้เรียนสืบเสาะหาความรู้โดยตั้งตนจากคำถามของพวกเขาเอง ความสร้างสรรค์ก็จะได้รับการปลูกฝังลงไปด้วย …

โดยพื้นฐาน การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์นั้นควรไปไกลเกินขอบเขตสาขาวิชาเดียว ปรากฏการณ์ซึ่งกำหนดโดยผู้เรียนถือเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะได้พัฒนาโมเดลความคิดที่ยืดหยุ่น การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ช่วยวิเคราะห์ปราฏการณ์ต่างๆ ในโลก เช่น ความยากจน การพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือเศรษฐกิจโลก และผ่านกรอบของสาขาวิชาต่างๆ โดยไม่ใช่เพียงการกระโจนลงไปสู่เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่มีอยู่เดิมของเราขึ้นมาใหม่ ขณะที่ผู้เรียนทบทวนสมมติฐานที่มีอยู่เดิมด้วยการอภิปราย วาดแผนผังความคิด เขียน หรือวิธีอื่นๆ แล้วไตร่ตรองคำถามที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญจริงๆ พวกเขาก็ได้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 อื่นๆ อีกมากมายไปด้วย[i]

สอดคล้องกับความกังวลอีกอย่างหนึ่งของผู้แทนจาก OECD คือ อุปสรรคในการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงไม่ใช่อุปสรรคภายในระบบการศึกษา แต่เป็นผู้ปกครองของนักเรียน เพราะโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของหลักสูตรนี้คือจะทำอย่างไรให้ครูสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้น้อยลงได้ โดยที่เด็กสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้นั้นด้วยตนเองได้ดีขึ้น ซึ่งมักจะเป็นปัญหาในสังคมอนุรักษนิยมที่ให้ความสำคัญแก่องค์ความรู้และการเตรียมสอบเป็นพิเศษ หลายประเทศแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม การสร้างความเข้าใจในหมู่ผู้ปกครองนั้น “จะรีบร้อนไม่ได้ ดังนั้นจึงผูกการศึกษากับการเมืองไม่ได้ เพราะการพัฒนาการจัดการศึกษาต้องใช้เวลา จะเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับไม่ได้”

สิริกรเห็นด้วยกับความกังวลดังกล่าว และอธิบายว่าขั้นตอนการสร้างความเข้าใจในปัจจุบันยังดำเนินต่อไป ไม่เพียงกับครูและผู้ปกครองเท่านั้น แต่รวมถึงกับมหาวิทยาต่างๆ ด้วย เพราะหากความคาดหวังของแต่ละมหาวิทยาลัยต่อองค์ความรู้ของเด็กยังคงเดิม การปฏิรูปการศึกษาก็ไม่อาจไปได้ไกลกว่านี้

ไกรยสยอมรับเช่นกันว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะไทยต้องการเวลาเพื่อหยั่งรากและสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องอีกมาก “คุณต้องการวัฒนธรรมแห่งความเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้เรายังมุ่งไปข้างหน้าด้วยนโยบาย และยังผลักหลักสูตรฐานสมรรถนะไปสู่สังคมไม่ได้ ตลอดจนไม่ได้รับการสนับสนุนจากสังคม การผสานองค์ความรู้กับการสนับสนุนจากสังคมในอัตราส่วนที่เหมาะสมคือความก้าวหน้าที่เราพยายามไปให้ถึง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นเพียงองค์กรเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างสังคมและผู้กำหนดนโยบาย และเราจะพยายามหาวิธีใหม่ๆ เพื่อให้การปฏิรูปนี้ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนต่อไป”

วิจารณ์เห็นด้วยกับไกรยส และเสริมว่ากองทุนได้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนโรงเรียนในการปรับใช้หลักสูตรอย่างมหาศาล ด้วยหวังว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนผ่านจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่จากบนลงล่าง “เราเริ่มต้นจากการฟังครูให้มากๆ พยายามสร้างสายสัมพันธ์ด้วยความปรารถนาดี สื่อสารว่าเราจะนำแนวคิดใหม่ๆ ทรัพยากรใหม่ๆ มาให้โรงเรียน แต่เราต้องฟังโรงเรียนด้วยว่าโรงเรียนกำลังพยายามทำอะไรดีๆ ให้เด็กๆ และชุมชนอยู่หรือเปล่า จากนั้น เราที่เป็นคนนอกของชุมชนการเรียนรู้นี้จึงเข้าไปแทรกแซง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดี และทำให้เกิดสายสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนกับทีมวิจัยของเรา”

โดยเขาหวังว่า เมื่อเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ อย่างโรงเรียนได้แล้ว ก็จะขยายวงแห่งความร่วมมือไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาการผลิตครูรุ่นถัดไปได้ กระนั้น วิจารณ์เองก็เห็นว่าระบบการศึกษาไทยยังต้องเรียนรู้อยู่มาก

อันเดรอัสจึงส่งท้ายการเสวนาอย่างคมคายว่า “คุณมีประเด็นและความตั้งใจที่ดีแล้ว แต่อาจจะรอให้สังคมมาสนับสนุนคุณเท่านั้นไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่โจทย์ที่ถูกต้อง คุณต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าหลักสูตรใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของลูกหลานของพวกเขาอย่างไร และการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้ปกครองของเด็กคือหนทางที่ดีที่สุดในการจูงใจพวกเขา”

“พวกเขาอาจไม่ได้อยู่บนยอดพีระมิดของนโยบายนี้ แต่ก็เป็นครูของเยาวชนของเราเหมือนกัน พวกเขาได้ยินทุกรัฐบาลให้คำสัญญาว่าจะปฏิรูปการศึกษา แต่ไม่มีใครทำให้พวกเขาเชื่อถือได้ ดังนั้น หากคุณดึงผู้ปกครองเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาได้ พวกเขานั่นเองที่จะเป็นกำลังสำคัญของการปรับใช้หลักสูตรนี้ กระทั่งการเปลี่ยนผ่านประสบความสำเร็จ”

ปัจจุบัน หลักสูตรฐานสมรรถนะสำหรับช่วงชั้นที่หนึ่งที่ประกอบด้วย 7 สาระการเรียนรู้ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของนักการศึกษาจำนวนไม่น้อยว่าสับสน ไม่สามารถพัฒนาสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 และบ่มเพาะเยาวชนให้เป็นพลเมืองโลกที่มีสำนึกประชาธิปไตยได้จริง ซึ่งหากการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะอย่างราบรื่นต้องอาศัยการสนับสนุนจากสังคม ตลอดจนความร่วมมือในระยะยาวระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในระบบการศึกษา ประเด็นดังกล่าวก็เป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องรับฟังความคิดเห็นและแสวงหาหนทางแก้ไขต่อไป


[i] จากหนังสือ Phenomenal Learning: นวัตกรรมการเรียนรู้แห่งอนาคตแบบฟินแลนด์ (สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป, 2563)


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save