ไฟใต้ไม่เคยดับมอด
แม้ใครหลายคนจะรู้สึก ‘ชินชา’ ต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เปลวเพลิงของความรุนแรงไม่เคยจางหาย หากกลับมาลุกลามและรุนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังที่ปรากฏตามหน้าสื่อว่าเกิดทั้งเหตุระเบิดและกราดยิง ขณะที่เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางเริ่มกลายเป็นเป้าหมายก่อเหตุ
อันที่จริงเหตุการณ์ความไม่สงบมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่แพทองธาร ชินวัตรเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม[1] ข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) บ่งชี้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 31% ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มสูงขึ้นครั้งแรกในรอบสิบปี

ส่วนในปี 2568 วันโอวันรวบรวมข้อมูลจาก Deep South Watch และพบว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างน้อย 212 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 47 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 212 คน ซึ่งสถิติข้างต้นสร้างความกังวลแก่หลายภาคส่วน และต้องย้ำว่าตัวเลขเหล่านี้ยังไม่รวมเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้งในเดือนพฤษภาคม
เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ปะทุขึ้นท่ามกลางกระบวนการเจรจาสันติภาพที่หยุดชะงักและไร้ความคืบหน้า กล่าวคือรัฐบาลแพทองธารยังไม่ตั้งคณะกรรมการพูดคุยขึ้นอย่างเป็นทางการ หลายฝ่ายจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพอีกครั้งเพื่อลดแรงเสียดทานและลดความเสี่ยงอันตรายต่อพลเรือนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม คนจำนวนหนึ่งมองว่าสันติวิธีไม่ใช่ทางออก บ้างเสนอให้รัฐยุติปัญหาชายแดนใต้โดยการปราบปราม บ้างมองว่าคนที่เสนอให้เดินหน้าเจรจากระบวนการสันติภาพนั้น ‘ไร้เดียงสา’ ขณะที่คนจำนวนหนึ่งแปะป้ายว่าผู้ที่สนับสนุนให้รัฐบาลไทยเจรจาสันติภาพคือหนึ่งในแนวร่วมของกลุ่มบีอาร์เอ็น
กระทั่ง รักชาติ สุวรรณ ชาวพุทธผู้เกิดและโตที่ยะลา อดีตประธานเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ และอดีตประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ก็ถูกกล่าวหาด้วยคำปรักปรำเหล่านั้น
“ถ้าบอกว่าเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ต้องแก้ด้วยความรุนแรงหรืออาวุธ อยากให้นึกถึงคนในพื้นที่ด้วยว่าพวกเราจะอยู่กันอย่างไร”
“หรือถ้าจะโจมตีกันด้วยมิติศาสนา ก็อยากนึกถึงด้วยว่าคนในพื้นที่จะอยู่กันอย่างไรต่อไป ที่ผ่านมาพวกเราอยู่กันแบบวิถีชีวิตดั้งเดิม พบปะ พูดคุย กินน้ำชา และมีอะไรก็หารือกัน”
เงื่อนไขความรุนแรงระลอกใหม่
รัฐบาลแพทองธารไม่ตั้งคณะพูดคุยสันติภาพ ประกอบกับท่าทีของภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ที่สร้างเงื่อนไขว่าต้องการคุยกับบีอาร์เอ็น ‘ตัวจริง’ ที่มีอำนาจเจรจาได้เท่านั้น เหล่านี้อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นไฟความไม่สงบในช่วงที่ผ่านมา
แม้ไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน แต่นี่คือคำสันนิษฐานของรักชาติ
อีกปัจจัยหนึ่ง รักชาติสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่ชายแดนใต้ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวคืออาจยังมีความขุ่นเคืองและไม่พอใจอดีตนายกรัฐมนตรีต่อกรณีสลายการชุมนุมตากใบ ซึ่งความไม่พอใจนั้นอาจสะท้อนผ่านเหตุระเบิดบริเวณสนามบินนราธิวาสที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนทักษิณลงเครื่อง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ รักชาติเห็นถึงความพยายามเดินหน้ากระบวนการพูดคุยสันติภาพของรัฐบาลเศรษฐา แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่าคณะพูดคุยในรัฐบาลเศรษฐาเป็นชุดคนที่มักทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะนักวิชาการฝ่ายรัฐที่มักจะเต็มไปด้วยความกังวล เช่น กังวลว่าเจซีพีพีหรือแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม (Joint Comprehensive Plan towards Peace : JCPP) ที่ดำเนินการมาระยะหนึ่ง จะทำให้รัฐบาลตกเป็นรองบีอาร์เอ็น เป็นต้น
“ต้องมองถึงนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย การแถลงถึงความขัดแย้งบริเวณสามจังหวัดนั้นน้อยมากตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา แทบไม่อยู่ในประเด็นหลักของสองรัฐบาลล่าสุด รัฐบาลดูจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจตะเข็บชายแดนใต้ ซึ่งภาครัฐมองว่าหากแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จะช่วยลดความรุนแรงและลดจำนวนขบวนการที่เขาคิดว่าไม่มีงานทำ แต่หากเราแก้ไขเศรษฐกิจโดยไม่ตั้งคณะพูดคุยเลย ก็อาจมีการก่อเหตุอยู่ดี”
“เราทิ้งกระบวนการพูดคุยไม่ได้เลย เพราะการโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน กลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มอ่อนแอแทบไม่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการเจรจา” รักชาติกล่าว
มากไปกว่าการเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งโต๊ะเจรจาสันติภาพ รักชาติระบุว่ากระบวนการเจรจาสันติภาพควรต้องเป็นวาระแห่งชาติที่มีเสถียรภาพและต้องไม่อิงกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล กล่าวคือการพูดคุยเพื่อสันติสุขระหว่างไทยกับบีอาร์เอ็นต้องดำเนินการต่อได้แม้เปลี่ยนรัฐบาล เพื่อให้การสร้างสันติภาพสำเร็จลุล่วงมากที่สุด
ทำไมต้องเจรจา ทำไมไม่ใช้ยาแรง?
“ความไม่สงบระลอกนี้สะท้อนว่าคนนอกยังไม่เข้าใจกระบวนการพูดคุย บางคนอยากให้กวาดล้าง บางคนบอกว่าอย่าคุยกับคนที่ฆ่าคน นี่คือการบ้านที่ยากชิ้นหนึ่งของรัฐในการสร้างความเข้าใจเรื่องกระบวนการพูดคุยกับคนนอกพื้นที่”
ความไม่เข้าใจที่ว่า บางครั้งก็ปรากฏผ่านถ้อยคำรุนแรงอย่าง ‘สันติวิธีไม่ใช่ทางออก’ ‘รัฐต้องทำสงครามเต็มรูปแบบ’ หรือ ‘สังหารให้หมดจึงจะชนะ’
ทว่าคนชายแดนใต้จำนวนหนึ่งเรียกร้องสันติภาพมากกว่าการปราบปราม รักชาติเชื่อว่ากระบวนการเจรจาสันติภาพคือหนึ่งในวิธีลดความขัดแย้งในพื้นที่ ขณะเดียวกัน เขามองว่าการใช้ความรุนแรงปะทะความรุนแรงอาจยิ่งสร้างความสูญเสีย ไม่ใช่แค่กับผู้ถืออาวุธ แต่รวมถึงพลเรือนผู้บริสุทธิ์ด้วย
“หรือต่อให้ใช้ยาแรงปราบปราม คำถามคือรัฐรู้หรือไม่ว่า ‘ตัวจริง’ อยู่ไหน ปัญหาคือเมื่อฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัวใครสักคน ก็มักจะเปิดหน้าและเผยแพร่ผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย แต่เมื่อสืบสวนแล้วปรากฏว่าเขาไม่ใช่ ฝ่ายความมั่นคงก็ปล่อยไปดื้อๆ โดยไม่อธิบายว่าจับมาแล้วแต่เขาไม่ใช่” รักชาติระบุ
เขาอธิบายต่อว่าตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา สถิติเหตุการณ์ความไม่สงบค่อยๆ ลดลงซึ่งสัมพันธ์กับการมีคณะเจรจาพูดคุย ต่างจากช่วงแรกของเหตุการณ์ที่สถิติความรุนแรงค่อนข้างสูง คำอธิบายนี้สอดคล้องกับข้อค้นพบของ Deep South Watch ที่วิเคราะห์ฐานข้อมูลความไม่สงบในรอบ 20 ปีและพบว่าเหตุการณ์ความไม่สงบลดลงอย่างเป็นระบบหลังปี 2556 อันเป็นปีที่รัฐบาลไทยเริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการ
ขณะที่ผู้สนับสนุนโต๊ะพูดคุยสันติภาพ -ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม- มักโดนผลักว่าเป็นแนวร่วมหรือผู้สนับสนุนบีอาร์เอ็น หรือบางครั้งก็ถูกแปะป้ายว่าช่างโง่เขลา ไม่ทันเกม และไร้เดียงสา รักชาติมองว่าวิธีคิดเช่นนี้สะท้อนถึงการ “ไม่เข้าใจคนพุทธและประชาชนในพื้นที่” พร้อมตั้งคำถามกลับว่า “คุณจะให้เราจับอาวุธขึ้นสู้หรือ ทั้งที่รัฐก็ต้องดูแลพวกเราเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ กอ.รมน. หรือ ศอ.บต. แต่รวมถึงรัฐบาลและผู้บริหารสูงสุดของประเทศ”
ไม่ว่า ‘สันติภาพที่ถูกต้อง’ สำหรับรัฐจะหน้าตาเป็นอย่างไร หรือหากถึงที่สุดรัฐบาลยืนยันไม่สานต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ รักชาติย้ำว่าสิ่งสำคัญยิ่งคือรัฐต้องปกป้องและคุ้มครองความปลอดภัยพลเรือนทุกคน ทั้งในมิติของชีวิตและทรัพย์สิน เขาเสนอว่า “ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องยึดหลัก IHL” กล่าวคือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law : IHL) ซึ่งระบุถึงสิทธิและความคุ้มครองของผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม อาทิ พลรบ พลเรือน ทหารที่ได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถสู้รบต่อได้ เชลยศึก เป็นต้น รวมถึงจำกัดการโจมตีที่อาจส่งผลกระทบอย่างไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสมต่อพลเรือน
รอยห่างระหว่างศาสนา
เมื่อไฟใต้ยังคุกรุ่น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ต้องการคือความปลอดภัย นั่นคือการไม่ต้องระแวงระหว่างเดินทาง การไม่ต้องหวาดกลัวที่จะนั่งหน้าบ้านยามเย็น การไม่ต้องกังวลต่อคนภายนอกที่เข้ามา ตลอดจนความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติในพื้นที่
ทั้งนี้ “ชาวไทยพุทธบางพื้นที่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องมุสลิม เรายังพูดคุยและรู้สึกดีต่อกัน” รักชาติกล่าว แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน เขากังวลว่าบรรยากาศการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกันอาจหายไป ซึ่งอาจส่งผลให้ระยะห่างระหว่างศาสนาเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกันกับความไม่ไว้วางใจที่มีต่อกัน
“หากคนเริ่มรู้สึกห่าง รู้สึกหวาดระแวง และรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อกัน ต่อให้กระบวนการพูดคุยประสบความสำเร็จก็อาจสมานผู้คนไม่ได้ อย่าคิดว่ามีแค่คนพุทธที่ย้ายออกจากพื้นที่ คนมุสลิมก็ย้ายออกจากพื้นที่เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนกัน” รักชาติระบุ
การบริหารความรู้สึกของคนพื้นที่โดยภาครัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญ รักชาติตั้งข้อสังเกตว่าหากภาครัฐไม่บริหารความรู้สึกระหว่างมุสลิมและพุทธศาสนิกชนอย่างเท่าเทียม และหากภาครัฐไม่ทำให้ประชาชนต่างศาสนารู้สึกว่าสามารถพูดคุยกันได้ ร่องรอยความห่างที่เกิดขึ้นอาจไม่จางหายไป
เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนชายแดนใต้ต้องทบทวนตนเอง รักชาติตอบถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนและดูแลประชาชนในพื้นที่ ภายใต้สภาวะที่ชาวพุทธในพื้นที่เหลือน้อยลงทุกที ส่วนในมิติของกระบวนการสันติภาพ เขาเสนอว่าพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ต้องเรียนรู้ว่าการทำงานเชิงสันติภาพจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ ในความหมายที่ว่าการทำงานด้านสันติภาพนั้นใช้เพียงความรู้สึกไม่ได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์และขบคิดว่าควรเดินหน้าต่ออย่างไร
จาก : รักชาติ -คนพุทธในพื้นที่-
ถึง : รัฐและสังคมไทย
ถึงรัฐไทย
รัฐไทยเองก็มีสิ่งที่ต้องทบทวนเช่นกัน
รักชาติรับรู้ถึงความพยายามปรับตัวของรัฐไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องการปิดล้อมตรวจค้นหรือการซ้อมทรมาน แต่เขาก็ตั้งคำถามเช่นกันว่าเมื่อมีการปิดล้อมตรวจค้น เป้าหมายของการเอาคืนมักเป็นประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ แล้วรัฐจะปรับตัวหรือดูแลส่วนนี้อย่างไร
“ในทางเดียวกันหากรัฐเลือกไม่เจรจาและใช้ไม้แข็ง รัฐจะปกป้องคนไทยพุทธและประชาชนในพื้นที่อย่างไร” คือคำถามจากปากรักชาติ จะเห็นว่าความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่คือสิ่งที่เขาเน้นย้ำตลอดบทสนทนาที่ผ่านมา
“สส. ที่ได้คะแนนเสียงจำเป็นต้องลงมาดูแลคนในพื้นที่บ้าง ผู้แทนราษฎรต้องดูแลพลเรือน ไม่ว่าจะพุทธหรือมุสลิม ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม”
สมาชิกผู้แทนราษฎรจำนวนมากในเขตสามจังหวัดมาจากพรรคร่วมรัฐบาล -ประชาชาติ ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ- รักชาติเสนอด้วยว่าผู้มีอำนาจบริหารประเทศต้องกลับมาพิจารณาปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้อีกครั้ง โดยทำให้ปัญหาความไม่สงบเป็นวาระระดับชาติ และหาทางขจัดความรุนแรงด้วยมิติการเจรจาพูดคุย
ถึงสังคมไทย
อย่าราดน้ำมันใส่กองไฟ สังคมไทยเติบโตมากับสำนวนนี้
ปฏิกิริยาของสังคมโดยรวมต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้มีหลากหลาย แน่นอนว่าผู้คนรู้สึกสะเทือนใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่คนจำนวนไม่น้อย -โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว- อาจกำลังยุยงให้เกิดความระแวงแตกแยกระหว่างคนในพื้นที่ และอาจกำลังส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาแบบล้างแค้นเอาคืน
“เข้าใจความห่วงใยและความหวังดีจากพี่น้องต่างพื้นที่ เข้าใจความเจ็บปวดแทนคนที่เสียชีวิต แต่ผมอยากให้มีสติ ถ้าอยากช่วยอะไรก็ให้กำลังใจกัน ไม่ว่าจะชาวพุทธหรือชาวมุสลิม” รักชาติว่า
การอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่นั้นสำคัญ เนื่องจากหากความขัดแย้งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คนที่ต้องเดือดร้อนและได้รับผลกระทบก็หนีไม่พ้นชาวบ้าน ดังที่รักชาติกล่าวว่า “เหยื่อคือประชาชนในพื้นที่”
“นอกจากเหยื่อเหตุการณ์แล้ว มีประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของคนข้างนอกด้วย จากการที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางคนสื่อสารให้ฆ่ากันไปเลย ฆ่าคนเพราะศาสนาที่นับถือไปเลย ผมคิดว่ามันแย่และแรงมาก ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจและใช้อารมณ์บังคับไม่ได้”
เพราะเพียงพริบตาเดียว กองไฟที่ขนาดใหญ่อยู่แล้วก็อาจขยายเป็นกองเพลิงขนาดยักษ์ที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง รักชาติและคนสามจังหวัดจำนวนหนึ่งยังคงมีความหวังต่อสันติภาพในพื้นที่ เวลาเช่นนี้ความเห็นอกเห็นใจต่อกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ
“คนที่ต้องเจ็บปวดคือคนในพื้นที่” รักชาติทิ้งท้าย
↑1 | ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่แพทองธารถูกโปรดเกล้าเป็นนายกฯ จนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 ข้อมูลจาก Deep South Watch ระบุว่าเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างน้อย 375 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิต 75 คน |
---|