เลือกตั้ง อบจ. 2568: บทเรียนสนามท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ

1 กุมภาพันธ์ 2568 ประชาชนทั่วประเทศเดินหน้าเข้าคูหาเพื่อกำหนดชะตาการเมืองในระดับท้องถิ่นอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้ง อบจ. ไม่เพียงสะท้อนพลวัตการเมืองในระดับพื้นที่ที่ ‘เครือข่ายตระกูลการเมือง’ ยังคงรักษาอำนาจไว้ได้ แต่ยังเป็นการ ‘สะสมพลัง’ และ ‘ปรับกระบวนทัพ’ ของบรรดาพรรคการเมืองเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570 

วันโอวันเปิดวงสนทนากับ ณัฐกร วิทิตานนท์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2568 แสดงวิสัยทัศน์ของพรรคในการบริหารท้องถิ่น พร้อมถอดบทเรียนเพื่อเดินหน้าสู่สนามเลือกตั้งระดับชาติในอีกสองปีข้างหน้า

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากรายการ101 One-on-One Ep.353 : เลือกตั้งอบจ. นับหนึ่งสู่เลือกตั้ง 2570 เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

YouTube video

เลือกตั้งท้องถิ่น 2568: บ้านใหญ่ยังอยู่ยั้งยืนยง – ณัฐกร วิทิตานนท์

เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่ ณัฐกร วิทิตานนท์ให้ข้อสังเกตว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ ‘สูสี’ ที่สุดนับตั้งแต่ที่เปิดให้มีการเลือกตั้ง อบจ. โดยตรง เนื่องจากส่วนต่างคะแนนระหว่าง ‘พิชัย เลิศพงศ์อดิศร’ ผู้สมัครนายก อบจ. สังกัดพรรคเพื่อไทยที่ได้รับชนะชัยเหนือ ‘พันธุ์อาจ ชัยรัตน์’ ผู้สมัครนายก อบจ. จากพรรคประชาชนอยู่ที่ประมาณ 20,000 คะแนนเท่านั้น ขณะที่การเลือกตั้ง อบจ. ในอดีต พรรคไทยรักไทยหรือพรรคพลังประชาชนในขณะนั้นมักชนะแบบขาดลอยด้วยส่วนต่างคะแนนหลักแสน หรือกระทั่งการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังรัฐบาลประยุทธ์สอง ปลดล็อกการเลือกตั้งท้องถิ่น ผลต่างคะแนนระหว่างผู้ชนะและผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ก็ยังไม่สูสีในระดับเดียวกันกับการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ 

อย่างไรก็ตาม การที่พรรคเพื่อไทยชนะด้วยส่วนต่างคะแนนที่ไม่มากนักในสนามเลือกตั้ง ‘บ้านเก่า’ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรนำไปสู่คำถามว่า อิทธิพลทางการเมืองของทักษิณเสื่อม ‘มนต์ขลัง’ แล้วหรือไม่ ณัฐกรให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า “ยังไม่สามารถสรุปได้” เนื่องจากสามารถมองได้สองมุม มุมแรกคือ การลงพื้นที่ช่วยหาเสียงของทักษิณอาจช่วยเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะแบบเฉียดฉิว ส่วนอีกมุมคือ การลงพื้นที่ช่วยหาเสียงของทักษิณอาจทำให้คะแนนเสียงที่ผู้สมัครพรรเพื่อไทยควรได้ลดลงเนื่องจากทำให้ผู้สมัครถูกจับตามองมากกว่าเดิม

ขยายภาพไปยังพื้นที่อื่นในภาคเหนืออย่างจังหวัดเชียงราย ซึ่งผู้สมัครพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้สมัครอิสระที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ‘ค่ายสีน้ำเงิน’ หรือเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย ณัฐกรมองว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการแข่งขันกันระหว่างตระกูลการเมืองขนาดกลางในพื้นที่จังหวัดมากกว่าการเสื่อมอิทธิพลของทักษิณหรือการขยายเครือข่ายสีน้ำเงิน เนื่องจากเชียงรายไม่ใช่พื้นที่ของเพื่อไทยในสนาม อบจ. ตั้งแต่การเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2563 

ส่วนกรณีจังหวัดลำพูนที่พรรคประชาชนได้รับชัยชนะ ณัฐกรมองว่า “ไม่ได้น่าประหลาดใจหรือพลิกล็อก” เพราะหากพิจารณาจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 จะพบว่าพื้นที่ในลำพูนเลือก สส.จากพรรกก้าวไกลในสัดส่วนที่สูงมาก กล่าวคือ พรรคประชาชนมีฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (ผลจากการเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2563 ไม่สามารถนำมาเทียบได้เนื่องจากคณะก้าวหน้าไม่ได้ส่งผู้สมัครลงแข่งในจังหวัดลำพูน) 

อย่างไรก็ตาม มีหลายจังหวัดที่พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 แต่กลับไม่สามารถคว้าเก้าอี้นายก อบจ. ได้ เช่น นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม จันทบุรี ตราด หรือระยอง ฯลฯ ณัฐกรวิเคราะห์สาเหตุเบื้องต้นว่า เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นเขตที่นายก อบจ. ดำรงตำแหน่งติดต่อกันหลายสมัยและผูกขาดอำนาจมานาน สมมติฐานหนึ่งที่ต้องรอการพิสูจน์คือ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่โหวตให้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งระดับประเทศอาจมีความผูกพันกับผู้สมัครจากบ้านใหญ่ในระดับการเมืองท้องถิ่นผ่านผลงานและการใช้จ่ายงบประมาณในพื้นที่มากกว่า กล่าวคือ ปัจจัยส่วนบุลคลมีผลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นมากกว่าปัจจัยเชิงอุดมการณ์

“จากผลการเลือกตั้งที่ออกมา เราสามารถกล่าวได้ว่าบ้านใหญ่ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในสนามการเมืองท้องถิ่นอยู่ จะเห็นว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นใน 62 จังหวัดที่นายก อบจ. คนเดิมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนใหญ่สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ มีเพียง 17 จังหวัดเท่านั้นที่นายก อบจ. คนเดิมแพ้ ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้จากการแข่งกันเองระหว่างเครือข่ายการเมือง จึงกล่าวได้ยากว่าผู้สมัครคนใหม่ส่วนใหญ่ที่ล้มผู้สมัครคนเดิมได้คือคนใหม่ที่แท้จริง” 

ทั้งนี้ ณัฐกรทิ้งท้ายว่าต้องการเห็นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นที่เปิดกว้างต่อการแข่งขัน 

“การเมือง อบจ. ถือว่าผูกขาดอำนาจค่อนข้างสูง นายก อบจ. หลายจังหวัดดำรงตำแหน่งเข้าสู่สมัยที่สามแล้ว ยังไม่นับว่ามีการส่งไม้ต่อไปทายาทางการเมืองอีก กฎหมาย พ.ร.บ. จัดตั้งกำหนดให้นายก อบจ. ดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกินสองวาระ แต่ล่าสุดมีข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยเริ่มโยนหินถามทางถึงความเป็นไปได้ที่จะปลดล็อกเงื่อนไขดังกล่าว ผมขอว่าอย่าเพิ่งแก้กฎหมาย ปล่อยให้เกิดการแข่งขันไปก่อน ไม่เช่นนั้นผู้สมัครคนเดิมจะได้เปรียบเหนือผู้สมัครคนใหม่อย่างมาก”

‘ลำพูน’ ชัยชนะเพียงหนึ่งเดียวและภารกิจแก้เกมการเมืองของพรรคประชาชน – วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

สำหรับพรรคประชาชนที่สามารถคว้าที่นั่งนายก อบจ. ได้เพียงแค่จังหวัดลำพูนแห่งเดียว วิโรจน์ ลักขณาอดิศรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง 

ส่วนในพื้นที่ที่พรรคก้าวไกลเคยได้รับชัยชนะระดับ ‘กวาด สส. ยกจังหวัด’ ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 อย่างที่จังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด แต่กลับไม่สามารถคว้าเก้าอี้นายก อบจ. ได้ วิโรจน์ยอมรับเช่นกันว่า ความพ่ายแพ้คือหนึ่งในฉากทัศน์ที่พรรคเคยประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้น 

วิโรจน์ประเมินว่าสาเหตุที่ชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ไม่สามารถส่งแรงหนุนมาสู่การเลือกตั้งท้องถิ่นได้ เนื่องจากธรรมชาติที่ต่างกันของการเลือกตั้งระดับประเทศและการเลือกตั้งท้องถิ่น กล่าวคือ การชนะเลือกตั้งท้องถิ่นต้องอาศัย ‘เวลา’ เพื่อให้ผู้สมัครเข้าใจปัญหาเฉพาะในพื้นที่ เป็นที่รู้จักและทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างความยืดโยงในพื้นที่มากกว่าการเสนอการพัฒนาเชิงนโยบายอย่างในสนามการเมืองระดับประเทศ

อย่างไรก็ตาม วิโรจน์มองว่าความผิดหวังที่เกิดขึ้นจะต้องนำไปสู่การหาหนทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานระดับท้องถิ่นในอนาคต กล่าวคือ พรรคต้องตัดสินใจเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งให้เร็วขึ้น เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการทำงานในพื้นที่ เชื่อมโยงกับเครือข่ายชุมชนในท้องถิ่นอย่างแน่นแฟ้นจนนำไปสู่การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้สมัครและประชาชนในพื้นที่

ส่วนแนวทางสู้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่นที่พรรคอาจนำไปปรับใช้เพื่อแก้เกมในอีกสี่ปีข้างหน้าคือ กรณีจังหวัดลำพูนที่พรรคประชาชนได้รับชัยชนะไป วิโรจน์อธิบายเพิ่มเติมว่า ‘วีระเดช ภู่พิสิฐ’ ว่าที่นายก อบจ. ของพรรคมีประวัติการทำงานในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดเชิงนโยบายที่ชัดเจนควบคู่กันไป

แม้ว่าจะเอาชนะในสนามเลือกตั้งนายก อบจ. ได้เพียงหนึ่งจังหวัดเท่านั้น แต่พรรคประชาชนสามารถคว้านั่งในสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ได้ทั้งหมด 132 ที่นั่งทั่วประเทศ หมายความว่า สจ.พรรคประชาชนต้องเข้าไปทำงานร่วมกับนายก อบจ. สังกัดต่างพรรค วิโรจน์มองว่าทำงานร่วมกันต้องอาศัยการประนีประนอม ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณางบประมาณที่ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรหรือการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาในพื้นที่ ขณะเดียวกัน การประสานงานภายในพรรคในระดับจังหวัดผ่าน ‘สามประสาน’ หรือคณะกรรมการพรรคระดับจังหวัด-สส.- สจ.พรรคประชาชน ก็ต้องทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อเพื่อสนับสนุนหรือทำลายข้อจำกัดการทำงานของ ส.อบจ.

หากมองข้ามช็อตไปยังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2570 วิโรจน์ไม่ปฏิเสธว่า ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นจะส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งใหญ่ในอีกสองปีข้างหน้า “วันนี้เราต้องยอมรับว่ากระแสนิยมต่อพรรคประชาชนถูกตั้งคำถาม ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสส.และคณะกรรมการจังหวัดที่ต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อให้ประชาชนมอบความไว้เนื้อเชื่อใจแก่พรรคประชาชนเหมือนอย่างที่เคยมอบให้พรรคก้าวไกล 

“การทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นในสภา นอกสภา รวมถึงการนำปัญหาของพี่น้องประชาชนเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง จริงใจ และมีผลงานออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนไว้ใจได้” 

ชัยชนะ (ไม่) เบ็ดเสร็จของพรรคเพื่อไทยกับเส้นทางสู่เลือกตั้ง 2570 – สรวงศ์ เทียนทอง

ส่วนพรรคเพื่อไทยที่สามารถเก็บชัยชนะในสนามเลือกตั้งนายก อบจ. ได้ถึง 10 ที่นั่งจากที่ส่งผู้สมัครทั้งหมด 16 คน สรวงศ์ เทียนทอง ประเมินว่าพรรค “ประสบความสำเร็จ” อีกทั้งผลเลือกตั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นครั้งแรกนับตั้งการปลดล็อกเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปี 2563 ที่เพื่อไทยส่งผู้สมัครในนามพรรคอย่างเต็มตัว กล่าวคือ ผู้สมัครของพรรคมีสถานะเป็นผู้ท้าชิงในแทบทุกจังหวัดที่ลงเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม สรวงศ์มองว่ามีสนามเลือกตั้งบางจังหวัดที่ผู้สมัครสังกัดพรรคเพื่อไทยพลาดในการคว้าชัยชนะไป ทั้งๆ ที่คาดว่าน่าจะคว้าชนะได้เพราะผู้สมัครมีผลงานในพื้นที่ นั่นคือ จังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงราย

หากพรรคเพื่อไทยจะแก้มือในสนามเลือกตั้ง อบจ. ที่ยังคว้าชัยชนะไม่ได้ สรวงศ์มองว่า พรรคต้องนำคะแนนมาพิจารณาหาทางแก้ไขแยกเป็นรายเขตไป เนื่องจากชัยชนะในสนามการเมืองท้องถิ่นขึ้นอยู่กับความไว้วางใจของประชาชนต่อนักการเมืองในพื้นที่ ต่างจากการเมืองระดับประเทศที่อาศัยกระแสและข้อเสนอเชิงนโยบาย ส่วนกรณีที่ทักษิณนำนโยบายรัฐบาลมาปราศรัยขณะเดินสายช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทยหาเสียง สรวงศ์อธิบายว่าเป็นไปเพื่อให้ประชาชนเห็นภาพว่าผู้สมัครในระดับท้องถิ่นของพรรคจะเชื่อมนโยบายรัฐบาลลงมาสู่พื้นที่ได้อย่างไร

ต่อคำถามที่ว่าอิทธิพลของทักษิณ ‘เสื่อมมนต์ขลัง’ แล้วหรือไม่ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถกวาดชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จในทุกสนามแม้ทักษิณจะลงแรงช่วยหาเสียงในพื้นที่ด้วยตนเองอย่างเข้มข้น สรวงศ์ประเมินว่า มนต์ขลัง “ยังไม่หมด” เพียงแค่ว่า New voter ซึ่งเติบโตในช่วงหลังรัฐบาลทักษิณและยังไม่เคยเห็นผลงานของ พรรคไทยรักไทยหรือพรรคพลังประชาชนในขณะนั้นมาก่อน ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงต้องพยายามส่งมอบนโยบายเพื่อให้ผลงานของพรรคเป็นที่ประจักษ์ต่อ New voter 

สำหรับจังหวัดที่พรรคเพื่อไทยได้เข้าไปบริหารระดับท้องถิ่นตลอดสี่ปีต่อจากนี้ สิ่งที่พรรคจะลงมือทำคือ “ให้ท้องถิ่นเป็นหูเป็นตา” และสะท้อนปัญหาท้องถิ่นไปยังระดับชาติเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา เช่น การจัดทำงบประมาณจากส่วนกลางตามความต้องการของท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม สรวงศ์มองว่าต้องเกิดการกระจายอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารจัดการ หารายได้ได้ด้วยตนเอง และสามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ “ต้องยอมรับว่าการกระจายอำนาจในขณะนี้เป็นไปอย่างจำกัด ทำให้ท้องถิ่นแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ยาก” พร้อมกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยต้องการสานต่อวาระการกระจายอำนาจที่พรรคไทยรักไทยเคยดำเนินค้างไว้ 

หากมองการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570 สรวงศ์มองว่าผลการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้จะส่งผลบวกต่อการเลือกตั้งระดับประเทศ เนื่องจากเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยถอดบทเรียนว่ามีอะไรที่พรรคทำแล้วยังไม่โดนใจประชาชน ดังนั้น ในช่วงเวลาสองปีที่เหลือ พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ตนเองผ่านการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง โดยโจทย์ที่พรรคจะผลักดันให้สำเร็จลุล่วงคือ การแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชนและการส่งมอบนโยบายด้านสวัสดิการ เช่น OFOS เพื่อสร้างงานและรายได้ให้แก่ประชาชน 

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save