ทศวรรษแห่งการสูญความเชื่อมั่น
เพียงข้ามปี 2568 ยังไม่ครบสามเดือน หรือเพียงกว่าหกเดือนของรัฐบาลแพทองธาร วิกฤตความเชื่อมั่นทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ถาโถมกระหน่ำเป็นระลอกคลื่น ถ้าเปรียบเป็นนาวากลางทะเลก็อยู่ในสภาพใกล้อับปางเข้าไปทุกขณะ
จีดีพีปี 2567 ขยายตัว 2.5 เปอร์เซ็นต์และคาดการณ์ปี 2568 ที่ 2.8-2.9 เปอร์เซ็นต์ โตต่ำสุดในอาเซียน เหนือกว่าแค่พม่า
ดัชนีหุ้นล่าสุดต่ำกว่า 1,200 จุด ติดลบหนักสุดในรอบ 12 ปี (ถ้าไม่นับช่วงโควิด) และเป็นครั้งแรกที่ดัชนีหุ้นเวียดนามแซงไทยไปเรียบร้อย
ดัชนีคอร์รัปชันปี 2567 จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ได้ 34 คะแนน ลดลงจากปี 2566 ที่ได้ 35 คะแนน
ดัชนีว่าด้วยเสรีภาพสื่อและประชาธิปไตย จัดโดยฟรีดอมเฮาส์ ลดอันดับไทยจากประเทศ ‘เสรีบางส่วน’ เป็น ‘ไม่เป็นเสรี’ เช่นเดียวกับเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน
รัฐสภายุโรปแถลงเรียกร้องให้กลุ่มประเทศอียูใช้การเจรจาข้อตกลงเอฟทีเอกดดันให้ไทยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เรียกร้องให้ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 นิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีการเมือง
สหรัฐฯ คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงครอบครัว ด้วยมาตรการทางวีซ่า จากกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับจีน
ยังไม่นับมรสุมลูกย่อยๆ ในประเทศอีกหลายลูก ทั้งเรื่องสินค้าเกษตรหลายรายการตกต่ำ เอสเอ็มอีไทยถูกทุนจีนบดขยี้จนล้มหายตายจากระเนระนาด
วิกฤตความเชื่อมั่นนี้กัดกินทำลายประเทศครบจบทั้งสามด้านคือ trust – confidence – sentiment กรรมหนักจึงตกกับคนไทยแทบทั้งประเทศ ยกเว้นคนที่อยู่บนยอดพีระมิดเพียงหยิบมือ
จากประยุทธ์ถึงแพทองธาร ‘ผู้นำกำมะลอ’
ทว่าจะโทษกรรมหนักที่คนไทยกำลังแบกว่าทั้งหมดเป็นเพราะรัฐบาลแพทองธารคงไม่ถูกต้องนัก แต่ต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของการทำลายความเชื่อมั่นในระบอบของประเทศ จากการรัฐประหารในปี 2549 ต่อด้วยการใช้นิติสงครามทำลายล้างทางการเมือง เช่น การยุบพรรคและตัดสิทธินักการเมืองที่ไม่พึงประสงค์ของชนชั้นนำฝ่ายขวา โดยขัดหลักการประชาธิปไตยสากล
ก่อนจะกระทืบซ้ำความเชื่อมั่นให้จมดินหนักเข้าไปอีกด้วยการรัฐประหารปี 2557 พร้อมกำเนิดรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดกติกาว่าด้วย ‘ระบอบประชาธิปไตยอุปโลกน์’
รัฐประหาร 2557 ไม่เพียงได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอุปโลกน์ แต่ยังทำให้ได้มาซึ่ง ‘ผู้นำกำมะลอ’ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าเขาอาจจะเคยเป็นนายทหารที่มากด้วยความสามารถ? จึงเติบโตขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของเหล่าทัพในฐานะ ผบ.ทบ. อยู่หลายปี แต่บทบาทหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีกับ ผบ.ทบ. นั้นแม้เป็นระดับ ‘ผู้นำ’ เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดของเนื้องานและวิสัยทัศน์ที่จำเป็นต้องมีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่ขำขื่นไปกว่านั้นคือการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาเพราะอำนาจรถถังกับปืน จึงขาดความชอบธรรมทางการเมืองเป็นพื้นฐาน
ออกสตาร์ตด้วยภาพลักษณ์ติดลบ ระหว่างทางตลอดเก้าปีของการดำรงตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกตั้งคำถามและข้อสงสัยมาตลอดว่า ‘ฝีมือไม่ถึง’ สำหรับสถานะ ‘นักบริหารประเทศ’ และ ‘ผู้นำประเทศ’
เก้าปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยพาจีดีพีประเทศไทยเติบโตถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ผลงานที่คนพอจดจำในทางเศรษฐกิจมีเพียงโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน ขณะที่ช่องว่างความเหลื่อมล้ำยิ่งขยายตัว สิทธิเสรีภาพทางการเมืองตกต่ำ คดีทางการเมืองเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ถ้าเปรียบนายกรัฐมนตรีเป็นเหมือนกัปตันทีมฟุตบอลลีกอาชีพ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คล้ายหัวหน้า รปภ. สนามที่อยากลงเล่นในตำแหน่งดังกล่าว เพราะคิดว่าตัวเองฝีเท้าถึง จึงใช้กำลังและอาวุธยกพวก รปภ. ข่มขู่ผู้จัดการทีมให้มอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ตัวเอง แต่พอลงเล่นจริงๆ จึงรู้ว่า ‘ไม่ง่าย’ เหมือนที่เคยดู ระหว่างทำหน้าที่ รปภ. แต่กระนั้นกลัวเสียหน้าจึงถูลู่ถูกังเล่นสองฤดูกาล ระหว่างนั้นด้วยความอายจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลยสั่ง รปภ. ลูกน้องเก่าให้ข่มขู่และปิดปากคนดูที่ชอบวิจารณ์ทางลบเป็นระยะ
กว่าจะยอมแขวนสตั๊ด ทีมก็บอบช้ำ คะแนนรวมอยู่กลางตารางค่อนไปทางหนีตกชั้น เพราะความสามารถจริงแค่ ‘กัปตันกำมะลอ’
มาถึงยุคเปลี่ยนผ่าน เศรษฐา ทวีสินส้มหล่นเป็นกัปตันทีมต่อ แม้จะไม่เคยเล่นลีกนี้ แต่เศรษฐายังเคยเล่นลีกรองมาบ้าง บวกกับความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง คนดูจึงไม่โห่ฮาตั้งแต่แรก แถมมีจุดเด่นเรื่องขยัน แม้ทำประตูไม่ค่อยได้ แต่ขยันช่วยทีมวิ่งเพรสคู่แข่ง ดูแล้วยังดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ แต่เศรษฐาโชคร้ายถูกปลดเพราะคณะกรรมการจัดการแข่งขันวินิจฉัยว่าทำผิดกฎ ฐานเสนอชื่อเพื่อนคนหนึ่งที่เคยติดคุกเข้าร่วมทีม
เศรษฐาจึงพ้นจากตำแหน่งด้วยเวลาสั้นๆ แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็น ‘กัปตันทีม’ ที่เก่งพอหรือไม่ แต่อย่างน้อยน่าจะไม่เข้าข่าย ‘กัปตันกำมะลอ’
ส่วนแพทองธาร กัปตันทีมคนล่าสุด ผู้ทำสถิติอายุน้อยสุดในบรรดากัปตันของทีมนี้ ได้ปลอกแขนมาเพราะวาสนาล้วนๆ ด้วยการเป็นลูกผู้จัดการทีมตัวจริงที่กลับมาบริหารทีม หลังอ้างว่าป่วยอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน ทั้งๆ ที่ฝีเท้าของแพทองธารอยู่เพียงระดับเด็กฝึกในอคาเดมี เมื่อถูกดันขึ้นมาให้รับตำแหน่ง ลงแข่งจริง เผชิญกับเกมการแข่งขันระดับลีกอาชีพจึงล้มเหลวในการทำหน้าที่ อ่านเกมไม่ออก สั่งการไม่เป็น ไม่ขยัน ไม่เข้าใจระบบการเล่นและแทกติก หนักไปกว่านั้นเทคนิคส่วนตัวต่ำต้อยกว่าทุกคนในสนาม ไม่ว่าฝ่ายตัวเองหรือคู่แข่ง
จะโทษแพทองธารก็ไม่เต็มปาก เพราะเพิ่งอยู่ระดับอคาเดมี แต่พ่อที่เป็นผู้จัดการทีมอยากเข็นครก (แพทองธาร) ขึ้นภูเขาเอง
เสียงตะโกนจากคนดูว่า “กัปตันกำมะลอๆ” ทุกครั้งที่บอลมาถึงแพทองธารจึงกึกก้องทั้งสนาม บางทีเธอเลยเล่นด้วยความลนลาน สะดุดบอลล้มบ้าง เลี้ยงบอลห่างตัวบ้าง ไปเข้าทางให้ฝ่ายตรงข้ามโต้กลับเร็วจนทีมตัวเองเสียประตูก็มี
ด้านผู้เป็นพ่อที่เป็นผู้จัดการทีมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะวางมือไปนานนับสิบปี กลับมาคราวนี้ศาสตร์ฟุตบอลและกติกาการแข่งขันยกระดับไปอีกขั้น แต่ยังหลงความสำเร็จในอดีต ยึดแทกติกเก่าๆ กับทีมสตาฟหน้าเดิมๆ ยุคเดียวกับตัวเอง ความตกยุคจึงทำให้ทีมแพ้และเสมออยู่บ่อยๆ ที่ชนะมีน้อยครั้ง
สถานการณ์ ‘ทีมประเทศไทย’ จึงร่อแร่ใกล้ตกชั้นด้วยประการฉะนี้
ยุบสภา-ครบวาระเลือกตั้ง ‘จุดกลับตัว’
ถ้าเปรียบเป็นกราฟหุ้น สถานการณ์ทีมไทยทางเทคนิคจึงเป็น ‘ขาลง’ เต็มตัวและยังมองไม่เห็นจุดต่ำสุดและจุดกลับตัว
อภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้จะเป็นอีกปัจจัยว่าจะลงลึกถึง 1,100 จุดหรือไม่ ระหว่างนี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยบวก มีแต่ปัจจัยลบเต็มไปหมด
อย่างไรก็ดีในทางจิตวิทยาการเมือง (และตลาดหุ้นด้วย) หากมีการเปลี่ยนตัว ‘ผู้นำ’ ที่คนส่วนใหญ่ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเป็น ‘ผู้นำกำมะลอ’ วันนั้นอาจเป็นจุดต่ำสุดของกราฟขาลงและมีโอกาสขยับเป็นจุดกลับตัวต่อไป
ไม่ว่าจะเปลี่ยนเพราะ ‘ยุบสภา’ ก่อนครบวาระหรือเปลี่ยนเพราะอยู่จนครบวาระก็ตาม
แต่ถ้าถามต่อว่า จุดกลับตัวจะฟอร์มเป็นทรงกราฟขาขึ้นรอบใหม่ได้หรือไม่และขึ้นไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัว ‘ผู้นำ’ คนใหม่ว่าเป็นใครและองค์กรประกอบรัฐบาล (ทีมประเทศไทย) ชุดนั้นมีพรรคใดร่วมและมีนโยบายสำคัญๆ อย่างไร
เป็นความเห็นส่วนตัวในฐานะนักวิเคราะห์ข้างสนาม โปรดใช้วิจารณญาณ