มีปัญญายุบพรรค-รัฐประหาร แต่ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง ความอับจนชนชั้นนำฝ่ายขวา

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรค จากการชูนโยบายหาเสียงเรื่องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือการคาดเดาของคนในสังคม

ตลอดเส้นทางของเรื่องนับแต่วันแรกที่ศาลรับคดีนี้ไว้พิจารณาก็มีหลายฝ่ายหลายคนออกมาวิเคราะห์ด้วยการอ้างอิงหลักกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ นานา แต่ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อว่า ‘ไม่รอด’

27 ปีแห่งการยุบพรรค-รัฐประหาร

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘การยุบพรรค’ เป็นท่าไม้ตายซึ่งฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยมนำมาเล่นงานปฏิปักษ์ทางการเมือง สลับกับ ‘การรัฐประหาร’

หากนับการเมืองในช่วงหลังรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็น ‘ประชาธิปไตย’ สูงและเข้มแข็งเป็นลำดับต้นๆ เท่าที่เราเคยมีมา (ศาลรัฐธรรมนูญก็เกิดขึ้นครั้งแรกจากฉบับนี้) ประเทศไทยผ่านการยุบพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนสูงสุดมาแล้วสามครั้ง (รวมครั้งนี้) และผ่านการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่นำโดยพรรคการเมืองได้รับความนิยมสูงสุดมาแล้วสองครั้ง

ไทยรักไทย ‘เหยื่อ’ นำร่อง

พรรคการเมืองที่น่าจะเจ็บปวดสุดกับการตกเป็นเหยื่อ ‘ยุบพรรค-รัฐประหาร’ คือพรรคเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร

เริ่มจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็น ‘ร่างแรก’ หลังชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2548 ได้รับคะแนนเสียงถึง 19 ล้านเสียง คิดเป็นจำนวน สส. 377 คน (จากทั้งหมด 500 คน) ด้วยผลงาน ‘ปฏิรูปโครงสร้าง’ หลายด้าน ทั้งสาธารณสุข, เศรษฐกิจ, การศึกษา, การกระจายอำนาจ, ระบบราชการ และกองทัพ

กล่าวโดยรวมก้าวแรกของการปฏิรูปการเมืองจนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ฐานล่างพีระมิดเข้าใจและมองเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยที่ส่งผลกับชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของพวกเขา ก็คือพรรคไทยรักไทยนี่เอง

ไม่เกินเลยหากจะยกย่องว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร คือผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘ประชาธิปไตยกินได้’ ให้ดังก้องในจิตใจประชาชน

เพราะพลังจากการปฏิรูปนี้เองที่กลายเป็นคลื่นกระทบสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชนชั้นนำอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม จนนำมาสู่การใช้ท่าไม้ตาย ‘แบบเก่า’ คือการทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 และบดขยี้ซ้ำด้วยท่าไม้ตาย ‘แบบใหม่’ ที่คิดค้นขึ้นมาได้ คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารไทยรักไทย ในวันที่ 30 พ.ค. 2550 ด้วยข้อหาจ้างวานพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 เพื่อเลี่ยงกฎได้คะแนนเสียงไม่ถึง 20% ในเขตนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ต่อมาในวันที่ 7 ม.ค. 2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรมว.กลาโหมและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยในคดีถูกกล่าวหาจ้างวานพรรคเล็กลงเลือกตั้งดังกล่าว

แต่การยุบพรรคไทยรักไทยสำเร็จไปแล้ว ความยุติธรรมเดินทางล่าช้าเกือบ 7 ปี

พลังประชาชน ‘เหยื่อซ้ำรอย’

หลังไทยรักไทยถูกยุบพรรคก็มีการจัดตั้งพรรคพลังประชาชน แต่ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 พรรคพลังประชาชนก็กลายเป็นเหยื่อซ้ำรอย ถูกสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง หลังชนะเลือกตั้งปี 2550 ได้เป็นรัฐบาลยังไม่ทันครบปี

ชนวนที่นำไปสู่การยุบพรรคครั้งนี้คือกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้ใบแดงจากการถูกกล่าวหาทุจริตเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550

ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของนายยงยุทธเป็นเรื่องที่พรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

พรรคเพื่อไทย ‘เหยื่อซ้ำสาม’

หลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบ เครือข่ายทักษิณแปลงร่างใหม่เพื่อต่อสู้ทางการเมืองในนามพรรคเพื่อไทยและกลับมาชนะเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2554 ได้เป็นรัฐบาลภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

แม้จะอยู่ได้นานกว่ารัฐบาลพลังประชาชนภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี แต่แล้ววันที่ 22 พฤษภาคม 2557 รัฐบาลเพื่อไทยก็ตกเป็นเหยื่อซ้ำสามจากฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม คราวนี้หวนกลับไปใช้ท่าไม้ตาย ‘แบบเก่า’ คือการทำรัฐประหาร

ขณะนั้นนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี แทนยิ่งลักษณ์ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี (จากการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.)

ปิดฉาก ‘ผีทักษิณ-ระบอบทักษิณ’ ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยมเพียรวาดภาพมาหลายสิบปี

พร้อมกับเริ่มนับหนึ่ง ‘ระบอบประยุทธ์’ ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2566

พรรคอนาคตใหม่: ผีตัวใหม่ที่ถูกยุบ

หลังกำราบผีทักษิณใกล้อยู่หมัดก็กลับเกิดผีตัวใหม่ในนามพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาท้าทายการดำรงอยู่ของฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม

แม้ในสนามเลือกตั้งสมัยแรกปี 2562 พรรคอนาคตใหม่จะไม่ใช่พรรคอันดับหนึ่ง เป็นเพียงพรรคอันดับสาม ได้ สส. 81 คน แต่ด้วยจุดยืนและนโยบายที่ท้าทายการเปลี่ยนแปลง ‘สิ่งเก่าๆ’ ไปสู่ ‘สิ่งใหม่ๆ’

พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นผีตัวใหม่และโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้แทนพรรคเครือข่ายทักษิณไปโดยปริยาย

ใช้เวลาไม่นานฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยมก็จัดการสำเร็จด้วยท่าไม้ตาย ‘แบบใหม่’ คือยุบพรรคเพื่อให้สอดคล้องกับ ‘การเมืองใหม่’

พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคและตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563 ด้วยเหตุธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้ยืมเงินเพื่อทำกิจกรรมก่อนเลือกตั้งปี 2562

โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการบริจาคเงิน ฯลฯ ตามมาตรา 66

พรรคก้าวไกล: ผีตัวล่าสุด ‘ไม่รอด’

จากอนาคตใหม่ เมื่อถูกยุบก็แปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกลและยิ่งเติบใหญ่ขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะประชาชน ‘ซื้อ’ อุดมการณ์และนโยบายที่ว่าด้วยการเมืองใหม่ การเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวหน้าในทุกมิติ

จากชัยชนะเหนือคำทำนายทั้งปวงในการเลือกตั้งปี 2566 ยิ่งสร้างความตระหนกกับฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้พรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และยังตามเผด็จศึกโดยไม่เห็นหัวประชาชน ตลอดจนไม่สนใจประชาคมโลก ด้วยการยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรค ฐานมีพฤติกรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง อันเนื่องมาจากการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำไปใช้หาเสียงเลือกตั้ง

ดังเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา

เหตุการณ์นี้พึ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ผมไม่ขอลงรายละเอียด ทุกท่านคงทราบจากข่าวทุกช่องทางอยู่แล้ว

เพียงอยากย้ำว่า แม้ฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยมจะมีปัญญายุบพรรค-รัฐประหารอีกกี่ครั้ง แต่พวกเขาไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้ว่าหลังการยุบพรรคหรือรัฐประหารทุกครั้ง พรรคที่ฝ่ายอนุรักษนิยมและอำนาจนิยมสร้างใหม่เพื่อสืบทอดอำนาจ หรือพรรคเก่าที่พวกเขาแอบสนับสนุนอยู่ ไม่เคยชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับหนึ่งแซงหน้าพรรคที่พวกเขาบดขยี้ทำลายเลย

“ชนะในห้องพิจารณาคดี ในรัฐสภา หรือแม้แต่บนท้องถนน แต่ไม่ชนะใจประชาชน เพราะขาดความชอบธรรมทางการเมือง”

โควตที่ยกมาสรุปปิดท้ายนี้ ผมขออนุญาตดัดแปลงบางส่วนจากปาฐกถาของ อ.ธงชัย วินิจจะกูล ที่กล่าวไว้เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2567 ในวาระครบรอบ 92 ปี 24 มิ.ย. 2475

แล้วเราจะได้เจอกันในปี 2570

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save